Sunday, 23 June 2024
พิชิตชื่นบาน

ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 40 สว. ฟัน 'เศรษฐา-ถุงขนม' พ้น 'นายกฯ-รัฐมนตรี'

(17 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความเคลื่อนไหวของวุฒิสภา (สว.) ว่า สว. ได้ร่วมกันเข้าชื่อ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ของนายพิชิต ชื่นบาน หลังมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) และ (5) ประเด็นที่ว่าด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบีติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ผ่านนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา และล่าสุดเรื่องดังกล่าวถูกส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาแล้ว

โดยนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สว. ในฐานะผู้ร่วมลงชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของ สว. ที่ต้องทำหน้าที่ ในฐานะเป็นผู้แทนปวงชน หลังประเด็นการดำรงตำแหน่งของนายพิชิตนั้นมีผู้แสดงความเห็นในวงกว้าง และเวทีสาธารณะว่าเหมาะสมหรือไม่ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายเห็นว่าควรส่งให้องค์กรที่มีหน้าที่ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย โดยมี สว. ร่วมเข้าชื่อ 40 คน จากที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสว.ที่มีอยู่

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุผลที่ระบุและบรรยายให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา คือ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งกรณีของนายพิชิตนั้น มีข้อเท็จจริงที่ปรากฎให้เห็นว่ามีการละเมิดอำนาจศาล และมีคำสั่งศาลสั่งให้จำคุก ทั้งนี้มีคำบรรยายรายละเอียดข้อเท็จจริงของศาลที่ชัดเจนว่ามีพฤติกรรมทุจริต ติดสินบนต่อกระบวนการยุติธรรม และถูกนำเรื่องเข้าสู่สภาทนายความให้ลบชื่อจากการเป็นทนายความ ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดแจ้งว่าไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และยังมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวถึงกรณียื่นให้พิจารณาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของนายเศรษฐา ด้วยว่า เป็นกรณีสืบเนื่องกัน โดยมีประเด็นที่ทักทวงต่อการตั้งนายพิชิตให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี แต่ทำไมนายกฯยังเสนอชื่อและโปรดเกล้าฯ ให้นายพิชิตดำรงตำแหน่งในตำแน่งรัฐมนตรีอีก ดังนั้นจึงถือเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ

แต่กรณีของนายกฯ ต้องให้ความเป็นธรรมด้วย ส่วนที่ระบุว่าได้หารือกับกฤษฎีกาแล้ว พบว่าเป็นการหารือที่ไม่ตรงประเด็น ทั้งระยะเวลาการพ้นโทษ และการตีความระหว่างคำสั่ง กับคำพิพากษาเหมือนกันหหรือไม่ ทั้งนี้เรายังพบประเด็นที่เป็นปัญหา จึงเข้าชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวด้วยว่าตนทราบว่าสำนักงานวุฒิสภาได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และจากสำเนาเอกสารทราบว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องแล้วในวันที่ 16 พ.ค. เวลาา 10.20 น. ดังนั้นหากศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา ต้องพิจารณาในประเด็นความสิ้นสุดลงของรัฐมนตรี และตำแหน่งนายกฯด้วย โดยรายละเอียดต่อจากนี้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา ทั้งนี้ยืนยันว่าเป็นการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทยตามหน้าที่และอำนาจของสว. ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องจากนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ไว้พิจารณาวินิจฉัย หลังจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กว่า 40 คน ได้เข้าชื่อ และยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 2 สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่

โดยประธานวุฒิสภา ได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 16 พ.ค.67 และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับคำร้อง ไว้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2567 เวลา 10.20 น.

40 สว.แผลงฤทธิ์ จับ 'เศรษฐา-พิชิต' ขึ้นเขียง ส่ง 'ศาลรธน.' ฟัน!! ชี้ขาดคุณสมบัติสิ้นสุด?

ตอนแรกคาดกันว่า การเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 จะเป็นปฏิบัติการทิ้งทวนสั่งลาของสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.ชุดรักษาการ...แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่...เมื่อปรากฏข่าวว่า 40 สว.เข้าชื่อกันเสนอให้ประธานวุฒิฯ ทำหนังสือส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่า...

ความเป็นรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และนายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรธน.มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(4)(5) หรือไม่...

หนังสือที่ว่าถึงโต๊ะ ศาลรธน.เรียบร้อยแล้ว...ทีนี้ก็มาเปิด รธน.ดูกันอีกครั้ง

มาตรา 170 ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160

สำหรับมาตรา 160 รัฐมนตรีต้อง...
(4) มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์
(5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ขยายความตามท้องเรื่องก็คือ...เป็นประเด็นเดิมที่สื่อมวลชน-สังคมเคยถูกเถียงกันว่า กรณีนายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่เคยถูกคำสั่งศาลจำคุก 6 เดือน (เมื่อปี 2551) ฐานละเมิดอำนาจศาลกรณี 'ถุงขนม' หรือกรณีติดสินบนศาล ยังจะเป็นรัฐมนตรีได้จริง ๆ หรือ...

และต่อมาก็มีการเปิดเผยเอกสารลับการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ประเด็นที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีถามเรื่องคุณสมบัติไปเมื่อเดือน ก.ย.2566 นั้น ถามเฉพาะหรือเพียงว่าขัด รธน.มาตรา 160 (6) ที่ระบุว่าไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (ลักษณะต้องห้ามกรณีลงสมัคร สส.) เท่านั้น...ไม่ได้ถามมาตราอื่น

สรุปว่างานนี้ สว.40 คน เขาได้ทำหน้าที่แทนประชาชนที่คับข้องหมองใจได้ครบถ้วนกระบวนความ เหตุที่ต้องพ่วงนายกฯ ไปด้วย แทนที่จะเป็นรมต.ถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน คนเดียว...ก็เพราะนายกฯ เป็นผู้นำความกราบบังคมทูล...ถ้านายพิชิตมีคุณสมบัติไม่ถูกต้อง นายกฯ ผู้ทูลเกล้าฯ ก็ผิดไปด้วย...ประมาณนั้น...

คนที่ได้ยินคำว่า '40 สว.' ก็สะดุ้งนิดหน่อย เพราะบังเอิญไปตรงกับกลุ่ม 40 สว.เมื่อหลายปีก่อน ที่ค่อนข้างเป็น 'สว.น้ำดี' จากการเลือกตั้งและลากตั้ง...แต่ 40 สว.เฉพาะกิจรอบนี้ก็ดังที่รู้กันว่า...ไม่ใช่...

สายข่าวระบุว่า เมื่อตรวจสอบ 40 รายชื่อแล้วหลายคนเป็น สว.สายเขียว เป็นเตรียมทหารรุ่น 12 เพื่อน 'บิ๊กตู่' นำโดย 'บิ๊กเจี๊ยบ' พล.อ.อรรคนิตย์ หมื่นสวัสดิ์ และยังมี สว.สายทหารรุ่นอื่น ๆ อีก เช่น พล.อ.บุญธรรม โอริส...นอกนั้นก็เป็น สว.ตัวตึงที่คุ้นชื่อกันดี เช่น สมชาย แสวงการ, ประพันธ์ คูณมี, ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม, มหรรณพ เดชวิทักษ์ เป็นต้น

คาดว่างานนี้จะใช้เวลาไม่นาน...เพราะเป็นเรื่องข้อกฎหมายแทบจะล้วน ๆ พูดกันตรงไปตรงมาก็นับว่าชวนเสียวไส้ไม่น้อยเพราะในอดีต นายกรัฐมนตรีของพรรคทักษิณเคยถูกศาล รธน.วินิจฉัย หลุดจากตำแหน่งนายกฯ มาแล้ว 3 คน 

ปี 2551 สมัคร สุนทรเวช คดีทับซ้อนผลประโยชน์จัดรายการชิมไปบ่นไป / ปี 2557 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกรณีใช้อำนาจมิชอบปลด นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช.

ปี 2567 ถ้าเศรษฐาร่วง ก็ต้องบอกว่าเพราะตั้งรมต.ถุงขนม

รวมความแล้ว เดือน พ.ค.-ก.ค. ได้ลุ้นระทึกกัน 3 เรื่องราวเป็นอย่างน้อย...

- 29 พ.ค. อัยการจะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องทักษิณ ชินวัตร คดีถูกกล่าวหาผิดมาตรา 112
- มิ.ย.-ก.ค. คดียุบพรรคก้าวไกล และรวมทั้งคดี 'เศรษฐา-พิชิต'

ยิ่งถ้าใครไปพลิกคำทำนายของโหราจารย์สำนักต่าง ๆ ในยามนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าระทึก โดยเฉพาะคำทำนายว่า แถว ๆ ส.ค.-ก.ย. อาจจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลัน ไม่ใช่ยึดอำนาจ แต่ก็เหมือนยึดอำนาจ และบางโหรระบุว่า เศรษฐามีโอกาสเก้าอี้หาย...อีกต่างหาก

นานาสถานการณ์ล้วนแล้วแต่กระพริบตาไม่ได้..!!

‘สว. ดิเรกฤทธิ์’ ยันไม่มีใบสั่ง ยื่นศาลรธน. ถอด ‘เศรษฐา-พิชิต’ พ้นตำแหน่ง  แจง!! ไม่เปิดชื่อทั้งหมด เพราะเป็นเอกสิทธิของแต่ละบุคคล รวมทั้งกังวลผลกระทบ

(19 พ.ค.67) นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส.ว. ในฐานะ 1 ใน 40 สว. ที่ร่วมลงชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ปฏิเสธการเข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมระบุว่ามีผู้นำเชื่อไปแอบอ้าง ว่า กรณีดังกล่าวไม่มีผลใดๆ ต่อการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีการลงชื่อครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกที่มี หรือ 25 คน ซึ่งการลงลายมือชื่อดังกล่าวมี ส.ว. เข้าชื่อ จำนวน 40 คน ส่วนที่มีข้อเรียกร้องให้เปิดเผยรายชื่อส.ว. ทั้งหมดที่ร่วมลงนามนั้น เป็นเอกสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ได้ อีกครั้งบางคนไม่อยากให้เปิดเผย เพราะกังวลว่าจะมีผลกระทบ หรือทำให้เกิดการได้หรือเสียเปรียบต่างๆ

“ส.ว.หลายคนเป็นผู้ใหญ่ไม่อยากออกสื่อ หรือไม่จำเป็นต้องแสดงตัว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตีตราลับและใช้สิทธิยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทั้งนี้รายชื่อของส.ว.นั้น ถูกเปิดเผยต่อศาลแล้ว หากมีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยจะเปิดเผยในรายละเอียดอยู่ แต่ในระหว่างการดำเนินการไม่อยากให้เปิดเผย ทั้งนี้ผมในฐานะผู้ร่วมลงชื่อ ยอมรับว่าไม่ได้เห็นรายชื่อทั้งหมด” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวยืนยันด้วยว่าการเข้าชื่อของส.ว. ไม่มีการใช้เครดิตของบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เพราะ ส.ว.แต่ละคนมีหน้าที่และมีสิทธิเท่ากัน และเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนที่หลายฝ่ายถามหาเหตุผลว่าทำไมต้องทำในช่วงที่สว.ปัจจุบันหมดวาระแล้ว นั้นข้อเท็จจริงคือส.ว.ปัจจุบันยังมีเงินเดือนและค่าตอบแทน ยังทำหน้าที่อยู่ ซึ่งส.ว.ปัจจุบันจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีส.ว.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องของการทำในระหว่างหมดวาระ

“ผมยืนยันว่าไม่มีใบสั่งหรือรับงานมาจากไหน แต่ยอมรับว่าส.ว.มีความเห็นหลากหลายในแต่ละกลุ่ม ซึ่งแต่ละคนล้วนมีเหตุผลและการพิจารณาเนื้อหา ส่วนผมนั้นไม่ใช่คนเกเร หรือเห็นแก่ประโยชน์ใด และที่ผ่านมาการทำหน้าที่ของผมนั้นเป็นไปเพื่อ่ประโยชน์ของประชาชน” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

'พิชิต' แฉ!! กระบวนการคว่ำคุณสมบัติ รมต.หวังกระทบชิ่งล้มนายกฯ  ท้า 40 สว.เจอทีละคน ลั่น!! ไม่ยึดติดเก้าอี้ หากขาดคุณสมบัติ

(21 พ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เปิดใจก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณี 40 ส.ว. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติรัฐมนตรี รวมถึงกระแสข่าวให้ลาออก ว่า ต้องขอโทษทุกคนที่ไม่ได้รับสายถึงกรณีดังกล่าวเนื่องจากติดภารกิจอยู่ที่องค์การสหประชาชาติในการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก ทั้งช่วงเช้าและบ่าย ในการต้อนรับผู้นำพระสงฆ์จาก 73 ประเทศ มีโปรแกรมติดกันแน่นตลอดทั้งวันจึงขอเอาบุญมาฝาก และเชิญชวนทุกคนร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชาในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ขอบอกบุญกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ตออนนี้ต้องทำบุญกันเยอะ ๆ

นายพิชิต กล่าวว่า ขอชี้แจงเรื่อง 40 สว. ยื่นผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องคุณสมบัติโดยมีส.ว. หลายฝ่ายออกมาท้วงติง ต้องขอพูดจากความเป็นตัวตนของตัวเองที่ทำงานแบบมืออาชีพ ถึงประเด็นที่เกี่ยวกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือปรับครม.ไม่ได้มีความผิดอะไร และไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากนายกฯคนอื่นในอดีต โดยเวลาที่จะตั้งครม.จะต้องมีกระบวนการทางการบริหารราชการแผ่นดิน บุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีต้องกรอกรับรองคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม โดยสลค.สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จะต้องตรวจสอบ โดยส่งเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตรวจประวัติ ว่าไปทำความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาทุกหมวดหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากร 

ดังนั้น สลค. และ ป.ป.ช.ไม่สามารถช่วยใครได้ ถึงอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ และเวลาที่จะประมวลว่าใครซื่อสัตย์และมีจริยธรรมหรือไม่ต้องดูทุกเรื่อง หากมีเรื่องไหนที่สงสัยจึงถามคณะกรรมการกฤษฎีกา 

นายกฯ ก็ทำตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย แล้วจึงมาสรุปว่าจะตั้งรัฐมนตรีคนใดได้หรือไม่ได้ และการที่ตั้งตนก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไร ไม่ได้มาเพราะท่านคนนั้นคนนี้ แต่มาเพราะสติปัญญาของตน มาเพราะมีสมองที่จะทำงาน ถ้าตนทำผิดทำชั่วมายืนที่จุดนี้ แม้นายกฯ อยากจะตั้งแต่ถ้าตนมีปัญหาก็ตั้งไม่ได้ และหน่วยงานที่ตนได้กำกับดูแลก็มีแต่ตัวหนังสือและกฎหมาย ส่วนการกล่าวหาเรื่องประเด็นจริยธรรม ให้ไปดูช่องทางกฎหมายให้ดี เพราะมีคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นแบบอย่างไว้แล้ว

“ถามสว. มาเอาเรื่องนายกฯ ทำไม เพราะท่านตั้งใจทำงาน และขอพูดอย่างไม่อายว่าผมเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ เศรษฐา และเป็นองครักษ์พิทักษ์หลายนายกฯ มาแล้ว ขอให้เอาความจริงมาพูดกันโดยไม่มีวาระทางการเมือง เราไม่ควรเอาเรื่องกับนายกฯ และขอวิงวอนให้นายกฯ ได้ปฎิบัติหน้าที่ ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน และทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ผมทำงานกับนายกฯ มา 6-7 เดือน อยู่บนเนื้องานไม่เคยประจบสอพลอ และนายกฯ เป็นคนทำงานอย่างตรงไปตรงมาใช้งานเป็นวัคซีน และทำไปตามขั้นตอนกฎหมาย”

นายพิชิต กล่าวว่า ต้องขอบคุณ และไม่โกรธ 40 สว. ที่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะทำให้ตนได้ชี้แจงเรื่องที่ถูกกระทำมาตั้งแต่ปี 2551 และโหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต เพราะถูกตัดสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม ถูกตัดสินโดยศาลเดียวแล้วจบ ทั้งที่มี 3 ศาล จึงเป็นความขมขื่นในใจ และบอกตัวเองก่อนมาเป็นรัฐมนตรีว่าถ้าถูกตั้งกระทู้ถามในสภาฯ หรืออธิบายไม่ไว้วางใจ ก็สามารถตอบได้ทุกคำถาม ตนไม่ได้หวั่นไหวเพราะมั่นใจว่าหลักของความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญมีจริง และคำวินิจฉัยของศาลจะผูกพันทุกองค์กร ต่างจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงนี้เข้าทางของตนและรอจังหวะนี้มานานแล้ว และอยากให้มีการตัดสินเป็นบรรทัดฐาน หากศาลรัฐธรรมนูญ มีการพิจารณาคดีใหม่จะเป็นโอกาสที่ตนได้ดีแคร์ชีวิตใหม่ และในคำสั่งของศาลฎีกา ถ้ามีตรงไหนระบุว่าตนเป็นคนหิ้วถุงเงิน 2 ล้าน จะลาออกในวันนี้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ที่ผ่านมามีการติติงตนแบบคนไร้สติโดยไม่ได้หาดูประเด็นในคำสั่ง และการไต่สวนในวิธีพิจารณาว่าละเมิดอำนาจศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก ไม่เคยมีบทบัญญัติให้เอาประมวลกฎหมายอาญามาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี และในคำสั่งของศาลฎีกาที่ตนติดใจ คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ที่ปรากฎใส่คำว่า “ผมน่าจะรู้” จึงมีคำสั่งคุมขัง 6 เดือน ทั้งที่คำว่าน่าจะรู้คือมีข้อสงสัย ที่ควรจะยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะเป็นสมมติฐาน ทั้งที่เรื่องของตนเป็นคดีแพ่ง ทั้งนี้ตนจะอยู่หรือไปจากตำแหน่งไม่ยึดติด เพราะถือว่าต่อสู้เพื่อกระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในชีวิต จึงต้องขอบคุณ 40 สว.ที่ทำเรื่องนี้ให้เข้าทางตน และขอให้ย้อนกลับไปดูในคำสั่งของศาลให้ดี จะพบข้อสงสัยและข้อพิรุธอีกมาก และต้องถามว่าสมัยที่ตนเป็นสส. 2 ปี 6 เดือน คนที่หมั่นไส้หรือไม่ชอบตน ทำไมไม่ยื่นถอดถอนเรื่องจริยธรรม ส่วนเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตถามว่าใช้ตรงไหนมาวัด หากไปถามกฤษฎีกาก็คงตอบไม่ได้เพราะเป็นปัญหาเรื่องข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ ว่าสิ่งที่ถูกคำสั่งศาล คำว่าน่าจะ เป็นที่ประจักษ์ตรงไหน ขอให้กลับไปดูในชั้นของคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีกรรมาธิการบางคน ซึ่งยังรับราชการอยู่แต่ตนไม่ขอเอ่ยชื่อได้แย้งว่าคำว่าซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์จะทำให้เป็นการกลั่นแกล้งกล่าวหาในทางการเมืองได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรมวัดกันไม่ได้ ถึงต้องย้อนไปตั้งแต่การตรวจสอบประวัติว่าตนไม่มีคดี ไม่มีประวัติใน ป.ป.ช. ไม่เคยถูกฟ้องในคดีแพ่ง และโทษที่ตนได้รับเป็นเรื่องทางแพ่ง เป็นโทษตามคำสั่งศาลฎีกา และคำสั่งกับคำพิพากษาต่างกัน ไม่ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา ซึ่งในคำอธิบายของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุเรื่องคุณสมบัติได้ยกเว้นเรื่องของคำสั่ง หมายความว่าตนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี

“เรื่องที่เกิดเป็นวาระวงจรอุบาทว์ ทั้งที่นายกบริหารราชการอยู่ดี ๆ แล้วจะมาทำให้ ผู้นำประเทศหลุดจากตำแหน่ง ผมมีเพื่อนใน สว.รู้รายละเอียดการกระทำครั้งนี้ ว่า มีพฤติกรรมอย่างไร เป็นคนของใคร แต่ขอไม่พูดและขอบคุณนายเสรี สุวรรณภานนท์ นายวันชัย สอนศิริ ที่ออกมาพูดความจริง ว่าตนไม่ได้ต้องคำพิพากษาประพฤติผิดจริยธรรม“

นายพิชิต กล่าวว่า ส่วนข่าวลือเรื่องการลาออก ขอย้ำว่าไม่ยึดติดประโยชน์ของตนแต่ยึดมั่น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 164 คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน คำตอบของเรื่องนี้เพื่อแก้วงจรอุบาทว์คือให้บุคคลเหล่านั้นไปคิดมาว่าถ้าตนลาออกแล้วทุกอย่างจบ ตนจะทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศ และพร้อมตั้งแต่วันนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองที่ต้องการล้ม นายเศรษฐาใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า “แน่นอน“ เมื่อถามยามว่าหากนายพิชิต ลาออก แล้วนายกฯ อยู่ต่อได้ก็พร้อมจะทำใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า เพราะวงจรอุบาทว์มาเล่นแบบนี้ ให้ช่วยกลับไปคิดว่าวันนี้มีนายกและบ้านเมืองปกติแล้ว มาทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิงขาดนายกทำไม ดังนั้นคนเหล่านั้นไปคิดเองเพราะไม่ใช่การบ้านของตน และตนจะไม่คุยอะไรให้นายกฯ หนักใจ

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าไม่มีแนวคิดที่จะลาออกในวันนี้หรือก่อนวันที่ 23 พ.ค.นี้ รมต.ประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า ขอโยนโจทย์ไปให้บางคนที่อยากให้ตนอยู่หรืออยากให้ออก ขอย้ำว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯและขอท้า 40 สว. ให้มาเจอกับตนทีละคน และให้อาจารย์นักกฎหมาย3คน มาเป็นกรรมการ เพื่อถามว่าที่ลงชื่อไปได้อ่านคำสั่งของศาลฎีกาหรือยัง เพราะบางคนลงชื่อยื่นตีความยังไม่รู้เลยว่าอะไร บางคนยกประเด็นรื้อฟื้นจำนำข้าวทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุผลเรื่องของคุณสมบัติ เมื่อถามว่าจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯจนกว่าจะมีคำสั่งศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นายพิชิต กล่าวว่า เราเคารพดุลยพินิจศาล ไม่ก้าวล่วงและเชื่อว่าสิ่งที่พูดไปศาลรัฐธรรมนูญได้ยิน ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

เมื่อถามว่าหากระหว่างนี้มีการกดดันให้ต้องถอย จะตัดสินใจอย่างไรในพิชิตกล่าวว่าองคาพยพที่เกี่ยวข้องก็ไปคิดก็แล้วกัน โดยไม่ขอเจาะจงไปที่ใครแต่ให้ยืนยันให้ได้ว่า ตนจากตำแหน่งแล้วจบ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลัง สว.คือใคร นายพิชิตกล่าวว่า ตนรู้หมด ไม่ขอก้าวล่วงเอาเป็นว่ามีขบวนการในเรื่องนี้ก็แล้วกัน เมื่อถามว่ามีขบวนการล้มนายกฯหรือล้มรัฐบาลนายพิชิต กล่าวว่า ไม่กล่าวหาแต่ ข้อมูลเป็นเช่นนั้นจริง

เมื่อถามว่าวงจรอุบาทว์หมายถึงกลุ่มอำนาจเก่าหรือไม่นายพิชิตกล่าวว่า ไม่ตอบคำถามนี้ ไปพิจารณาพิจารณากันเอง ถามว่ามีกระบวนการแบบนี้จริง ถ้าแค่ติดใจเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามของตนก็แค่ยื่นเฉพาะกับตนคนเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายพิชิตให้สัมภาษณ์จบ ก่อนเดินเข้าห้องประชุมครม.ได้ชูกำปั้นแสดงความมั่นใจในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่าไม่กังวลสบาย และตัวเบาตั้งแต่วันที่เข้ามารับตำแหน่งแล้ว

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชี้ ‘พิชิต’ ลาออกตอนนี้ ก็สายเกินไปแล้ว พร้อมตั้งข้อสงสัย หากไม่ด่างพร้อย เหตุใดต้องลาออก

(22 พ.ค.67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart เกี่ยวกับกรณีที่นายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้ยื่นลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ โดย นายนันทิวัฒน์ ได้ระบุว่า ...

ลาออกไม่ใช่คำตอบ

ว่าแล้วต้องมาทางนี้ ลาออกจะช่วยอะไรให้ดีขึ้นหรือหวังตัดตอนให้ศาลจำหน่ายคดีมันจะช่วยได้หรือ

สว. 40 เข้าชื่อฟ้องนายกและพิชิตไม่ได้ฟ้องพิชิตคนเดียวนายกเป็นจำเลยที่หนึ่ง จำเลยที่สองลาออกก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหากคาดหวังให้ศาลยุติการพิจารณาถือว่าเดาใจศาลรัฐธรรมนูญผิดเพราะนายกเป็นคนเสนอชื่อรัฐมนตรีและลงนามสนองพระบรมราชโองการ ถ้าชื่อที่กราบบังคมทูลขัดรัฐธรรมนูญความผิดสำเร็จแล้ว ถ้าจะผิดก็ผิดเต็มๆ ศาลรัฐธรรมนูญคงเดินหน้าต่อ ไม่หยุดแน่

หากคิดว่า. ตัวขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องคุณสมบัติถูกต้องไม่ด่างพร้อย ไม่ขัดรัฐธรรมนูญตั้งแต่แรก
ลาออกทำไมถึงเวลานี้ ทุกอย่างมันสายไปแล้ว

‘ดิเรกฤทธิ์’ น้อยใจ หลังถูกเพื่อนสว. ตำหนิ กรณียื่นตรวจสอบ ‘เศรษฐา-พิชิต’  ย้ำ!! ตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง ทำตามหน้าที่อย่างถูกต้อง ไม่มีใบสั่งจากใครทั้งสิ้น

(22 พ.ค.67) นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สว. ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลการลาออกจากรองประธานกมธ.พัฒนาการเมืองฯว่า ยอมรับน้อยใจในการทำงาน กรณี 40 สว.เข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบคุณสมบัตินายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นความตั้งใจดีในการทำงานเพื่อประเทศ  แต่กลับถูกเพื่อนสว.บางคนตำหนิผ่านสื่อในทำนองว่า ไม่สมควรทำ เพราะสว.หมดวาระไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เหมือนกับเป็นการสร้างปัญหาให้ประเทศ ต้องการล้มรัฐบาล จินตนาการไปไกล การให้ความเห็นเช่นนี้ต่อสาธารณะเหมือนต้องการให้ความน่าเชื่อถือตนลดลง ไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพกัน ทั้งที่ต่างคนต่างทำหน้าที่ เมื่อพิจารณาดูเวลาทำงานที่เหลือช่วงปลายสมัยจึงขอลาออกจากกมธ.พัฒนาการเมือง ส่วนตำแหน่งกมธ.อื่นๆ ยังคงทำงานต่อไป 

เมื่อถามว่า ได้ปรับความเข้าใจกับสว.ที่ให้สัมภาษณ์เชิงตำหนิแล้วหรือยัง นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ต้องเคลียร์ใจอะไร เป็นสไตล์การทำงานของบางคนที่เอาแต่ตำหนิคนอื่น ทำให้ประชาชนเข้าใจสว. คลาดเคลื่อน

"ผมตั้งใจทำงาน แต่ถูกบั่นทอนกำลังใจ ยืนยันว่า การยื่นตรวจสอบนายกฯและนายพิชิตเป็นการทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ไม่มีใบสั่งจากใครทั้งสิ้น" นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

'นายกฯ สมาคมทนายฯ' ฟันธง!! 'เศรษฐา' รอดปมเสนอชื่อ 'พิชิต' นั่งรมต. ชี้!! หน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการคัดสรรอยู่ที่ 'สลค.'

(27 พ.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย’ โพสต์ข้อความ ‘บันทึกจากนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย’ นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ดังนี้...

บันทึกจากนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย

กรณีตามข้อกล่าวหาของ 40 สว. ที่อ้างว่านายพิชิต ชื่นบาน มีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) การที่นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อนายพิชิต ทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี จึงทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) นั้น

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 บัญญัติให้อำนาจ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดสรรผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และเป็นผู้นำรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดสรรขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี

แต่อำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการคัดสรร เป็นหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) โดยผู้ที่ได้รับการคัดสรรจะเป็นผู้กรอกประวัติของตน จากนั้นเมื่อ สลค. ได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับการคัดสรรมีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะนำความกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อผู้ได้รับการคัดสรรขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายต่อไป

ดังนั้น  เมื่อคุณสมบัติของนายพิชิตได้รับการตรวจสอบโดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจแล้ว การที่นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อของนายพิชิตฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ จึงมิได้เป็นการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตตามมาตรา 160 (4) และที่อ้างว่าไม่ได้สอบถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็เพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ต้องสอบถาม ส่วนข้อกล่าวหาตาม 160 (5) ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงนั้น ก็อยู่ในอำนาจการไต่สวนของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 234 (1) และเป็นอำนาจวินิจฉัยของศาลฎีกาตามมาตรา 235 (1) ส่วนศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยในประเด็นนี้ ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี จึงไม่สิ้นสุดลงจากข้อกล่าวหาของ 40 สว.

นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์
นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย
27 พฤษภาคม 2567

ลุ้น!! 'ชูศักดิ์ ศิรินิล' เข้าป้ายรัฐมนตรีแทน 'พิชิต ชื่นบาน' หลังทุ่มเทให้ค่ายนี้แบบสุดลิ่ม แค่ไม่มีถุงขนมให้ใคร

ไล่เช็กชื่อบุคคลในพรรคเพื่อไทยในเวลานี้คงไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่า รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย ในการเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทน พิชิต ชื่นบาน ที่ลาออกไปด้วยเหตุผลถูก 40 สว.ลงชื่อกันให้ตรวจสอบคุณสมบัติ และพิชิต ยอมเป็นม้าให้ขุนกิน

ชูศักดิ์จึงเหมาะสมยิ่งในการเข้ามาดูแลงานด้านกฎหมายให้รัฐบาล เพราะมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นใคร

ชูศักดิ์ อดีตอาจารย์รามคำแหง สอนวิชากฎหมาย เคยเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ และไต่เต้ามาจนได้รับเลือกจากชาวรามคำแหง (อาจารย์ นักศึกษา เจ้าหน้าที่) ให้เป็นอธิการบดี

‘ติงลี่’ คือฉายาที่ได้รับจากชาวรามคำแหง ด้วยรูปร่าง หน้าตา บุคลิคตอนวัยหนุ่มใกล้เคียงกับพระเอกหนังจีน ‘ติงลี่’ ไว้หนวดเหนือริมปาก เป็นอธิการบดีต่อ ‘สุขุม นวลสกุล’

ออกจากรามคำแหงก็มุ่งหน้าสู่สายการเมือง ร่วมในภารกิจผลักดันพรรคไทยรักไทยมีตั้งแต่ยุคต้น ๆ และเป็น 1 ในกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนานถึงสิบปี

ชูศักดิ์ เมื่อพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ ก็ยังร่วมภารกิจกับเพื่อไทยมาโดยตลอด โดยไม่เคยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อนเลย ทั้ง ๆ ที่เสียสละ ทุ่มเทให้กับค่ายนี้มาโดยตลอด ไม่มีการเรียกร้อง เคลื่อนไหว กดดัน แม้จะมีโอกาสก็ตาม

แม้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจเต็มจะมองไม่เห็น เพราะเพิ่งเข้ามาทีหลัง แต่เชื่อว่า ‘เจ้าสำนักจันทร์ส่องหล้า’ น่าจะมองเห็นกับผลงานเป็นที่ประจักษ์ ประวัติก็ไม่ด่างพล้อย เพียงแต่ไม่มีถุงขนมให้ใคร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top