Sunday, 16 June 2024
SPECIAL

มุกดาหาร-ตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมกับจังหวัดมุกดาหาร แถลงการณ์จับกุม ยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด

วันนี้ 21 ธันวาคม 2566 เวลา 10.00 น. จังหวัดมุกดาหาร แถลงการณ์จับกุมยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) รายสำคัญ โดย พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พล.ต.ต.ชัชชัย วงค์สุนะ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ สภ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร 

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 กล่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลและการขับเคลื่อนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ซึ่งในครั้งนี้มีการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างตำรวจภูธรภาค 4 ตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร โดย สภ.นิคมคำสร้อย ร่วมกับฝ่ายปกครอง ทหาร กอ.รมน. กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้ร่วมกันในแผนสกัดกั้นการลำเลียง การนำเข้าเพื่อนำเข้าสู้พื้นที่ตอนใน ในครั้งนี้ สภ.นิคมคำสร้อย ได้ปฏิบัติตามแผนสกัดกั้นยาเสพติดและสามารถสกัดกั้นจับกุมการขนลำเลียงยาเสพติดรายใหญ่ 1.2 ล้านเม็ด ผู้ต้องหา 6 คน ยึดทรัพย์ได้ 1 ล้านบาทเศษ และจะมีการขยายผลสืบทรัพย์และติดตามขยายผลขบวนการค้ายาเสพติดต่อไป

สำหรับการดำเนินการ จับกุมผู้ต้องค้ายาเสพติดรายสำคัญ ในครั้งนี้ เมื่อ 20 ธ.ค.66 เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นิคมคำสร้อย ได้ทำการตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด บริเวณจุดตรวจโชคชัย บ.โชคชัย ต.โชคชัย อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ขณะตั้งจุดตรวจได้มีรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว ทะเบียน 1 ขภ 5367 กรุงเทพมหานคร ขับขี่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จึงได้เรียกทำการตรวจค้น และได้ทำการตรวจปัสสาวะ บุคคลที่อยู่ภายในรถ โดยมีนายยุทธนา (นามสมมุติ) (คนขับ) และมี นายสารัตน์ (นามสมมุติ) นายธนบดี (นามสมมุติ) เป็นผู้นั่งโดยสารมากับรถคนดังกล่าว ลักษณะท่าทางมีพิรุธ จึงได้ทำการเรียกตรวจค้น ขณะที่ทำการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สังเกต เห็นนายสารัตน์ (นามสมมุติ) คุยโทรศัพท์จึงได้ตรวจสอบโทรศัพท์ พบว่ามีการพูดคุยกันกับนายวริทธิ์ธร (นามสมมุติ) ทางแมสเซนเจอร์ บอกว่าตอนนี้จอดรออยู่หน้าเซเว่นฯ สาขาเลิงนกทา

ซึ่งเป็นรถที่ใช้ขนยาเสพติด (ยาบ้า) เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไปที่เซเว่นฯ สาขาเลิงนกทา และพบรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ สีขาว ทะเบียน กจ 214 นครพนม และพบนายวริทธิ์ธร  เดินออกมาจากเซเว่น  เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นภายในรถยนต์เก๋ง พบห่อพลาสติกสีดำ พันด้วยเทปกาว จำนวน 3 ห่อ สอบถาม นายวริทธิ์ธร  ให้การว่าเป็นกระสอบบรรจุยาบ้า เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดและได้ให้ ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเก็บลายนิ้วมือและหลักฐานอื่นๆ และทำการตรวจนับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) จำนวน 3 กระสอบ ตรวจนับได้ประมาณ 1,200,000 เม็ด และสามารถจับผู้ร่วมขบวนการได้อีก 2 คน คือ นายธนาธิป (นามสมมุติ) น.ส.สุกัญญา (นามสมมุติ) โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยกระทำการเพื่อการค้าและเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน  หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำผู้ต้องหา พร้อมยาบ้าและรถยนต์ของกลาง ซึ่งเป็นรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว ทะเบียน 1ขภ 5367 กรุงเทพมหานคร  รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีขาว ทะเบียน กจ 214 นครพนม โทรศัพท์มือถือ จำนวน  6 เครื่อง ทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.นิคมคำสร้อย เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และขยายผลจับเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ต่อไป

ตำรวจภาค 4 สกัดจับขบวนการค้ายาเสพติดมุกดาหาร ซุกยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด ขณะลำเลียงไปส่งลูกค้าในภาคอีสานและภาคกลาง

เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.66 เวลา 10.00 น. ที่ ภ.จว.มุกดาหาร พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 แถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รองผบช.ภ.4,พล.ต.ต.ชัชชัย วงค์สุนะ ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร, พ.ต.อ.ธานินทร์ อินทพรต รอง ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร, พ.ต.อ.กิตเตชิษฐ์ บำรุง รอง ผบก.ภ.จว.มุกดาหาร และ พ.ต.อ.พิชญ์วุฒิ โพธิ์จันทร์ ผกก.สภ.นิคมคำสร้อย

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นิคมคำสร้อย ทราบว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติด ใช้รถยนต์ ขนยาบ้าล็อตใหญ่ ผ่าน จ.มุกดาหาร จึงนำกำลังไปตั้งจุดตรวจจุดสกัดบริเวณตู้ยามโชคชัย ต.โชคชัย อ.นิคมคำสร้อย จว.มุกดาหาร ต่อมาเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 20 ธ.ค.66 พบรถเก๋งโตโยต้า ยาริส สีขาว หมายเลขทะเบียน 1xx 53xx กรุงเทพมหานคร ตรงตามข้อมูลที่ได้รับ ขับเข้าด่านตรวจ 

จึงเรียกตรวจค้น พบผู้ขับขี่ชื่อ นายยุทธนา โดยมีนายสารัตน์ และนายธนบดี โดยสารมากับรถคนดังกล่าว ระหว่างตรวจค้น ตำรวจสังเกตเห็นนายสารัตน์ ใช้โทรศัพท์ส่งข้อความแจ้งเตือนผู้อื่นว่ามีด่านอยู่ด้านหน้า จึงตรวจสอบโทรศัพท์ จากการสอบถามนายสารัตน์ รับว่าตนพร้อมพวกได้ขับรถนำทางให้นายวริทธิ์ธร ซึ่งเป็นคนขับรถลำเลียงยาเสพติด ระหว่างนั้น รถที่นายวิริท์ธร ขับขี่ ได้แล่นผ่านหน้าตู้ยามพอดี จึงนำกำลังไล่ติดตาม จนสามารถควบคุมรถเก๋งฮอนด้าซิตี้ สีขาว หมายเลขทะเบียน xx 21x นครพนม ได้บริเวณถนนชยางกูร จ.มุกดาหาร โดยรถคันดังกล่าวมีนายวริทธิ์ธร เป็นผู้ขับขึ่ และนายธนาธิป กับ น.ส.สุกัญญา นั่งโดยสารมาด้วย ตรวจค้นในรถพบกระสอบพลาสติกสีดำขนาดใหญ่พันด้วยเทปกาวสีเหลือง 3 กระสอบ ซุกซ่อนอยู่ภายในห้องโดยสารตอนหลัง สอบถาม นายวริทธิ์ธร รับสารภาพว่าเป็นกระสอบบรรจุยาบ้าจำนวน 1,200,000 เม็ด จึงแจ้งข้อหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต อันมีลักษณะเป็นการกระทำเพื่อการค้าและเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จากนั้นจึงจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่ง พงส.สภ.นิคมคำสร้อย ดำเนินคดี 

จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่าผู้ต้องหารับยาบ้ามาจากพื้นที่ใกล้แนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน กำลังจะขนยาบ้าไปส่งให้ลูกค้าในภาคอีสานตอนล่างและภาคกลาง โดยขนยาบ้าส่งลูกค้ามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งตำรวจภาค 4 จะได้สืบสวนสอบสวนขยายผล เพื่อกวาดล้างจับกุมผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งยึดอายัดทรัพย์สินทั้งหมดต่อไป

สรุป จับกุมผู้ต้องหา 6 คน ยาเสพติดของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ประมาณ 1.2 ล้านเม็ด ยึดอายัดทรัพย์สิน รวมมูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท ได้แก่
1. รถยนต์เก๋งโตโยต้า ยาริส สีขาว หมายเลขทะเบียน 1ขภ 5367 กรุงเทพฯ จำนวน 1 คัน 
2. รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ สีขาว หมายเลขทะเบียน กจ 214 นครพนม จำนวน 1 คัน 
3. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 6 เครื่อง 

ผบช.ปส. ลงพื้นที่ แถลงจับเครือข่ายนักบิน หลังตำรวจเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น เพื่อจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญ 4 จุด ในพื้นที่บ้านอาดี่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นการใช้ทุกมาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติด และยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นในการเร่งรัดดำเนินการป้องกันปราบปราม ยาเสพติดในทุกมิติ เนื่องจากปัญหายาเสพติดอาชญากรรมที่สร้าง ความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเป็นภัยสังคม

คดีที่ 2 ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ต.ค.66 เวลา 22.00 น. ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้ร่วมกันสืบสวนและจับกุม นายสุทธิศักดิ์ฯ กับพวก 4 คน พร้อมของกลางยาเสพติด ไอซ์ จำนวน 591 กก. ซุกซ่อนภายในรถยนต์กระบะ ทะเบียน ผต 64XX เชียงราย ในพื้นที่ อ.เทิง จว.เชียงราย ซึ่งยาเสพติดดังกล่าวถูกลำเลียงจากพื้นที่ชายแดนนำเข้ามาเก็บไว้ในพื้นที่ อ.เชียงของ จว.เชียงราย ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้กับเครือข่ายลำเลียง จนถูกตรวจค้นจับกุมดังกล่าว ชุดจับกุมทำการสืบสวนขยายผลถึงผู้สั่งการและบุคคล ในเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดดังกล่าวและทำการขออนุมัติหมายจับ จำนวน 2 ราย คือ นายอุดมศักดิ์ฯ พร้อมพวก

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 26 พ.ย.66 บช.ปส. โดย กก.2 บก.ปส.3 และ บก.ขส. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด หน่วยข่าวกรองทางทหาร ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามพฤติกรรมเครือข่าย ลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือ พบว่าจะใช้รถกระบะลักษณะตีคอก ก 13XX (ป้ายแดง) กำแพงเพชร และ รถกระบะอีซูซุ ยX 81XX เชียงใหม่ ลำเลียงยาเสพติดจาก จว.เชียงใหม่ ไปยังพื้นที่ จว.พระนครศรีอยุธยา โดยอำพรางด้วยพืชผลทางการเกษตร เป็นยาบ้า 10 ล้านเม็ด พร้อมผู้ต้องหา 5 คน ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตรวจยึด สามารถสืบสวนขยายผลทราบว่าผู้สั่งการ เครือข่ายลำเลียงยาเสพติดดังกล่าว คือ นายธวัชชัยฯ จึงได้ทำการขออนุมัติหมายจับ เพื่อทำการสืบสวนจับกุมขยายผล

คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.66 เวลาประมาณ 14.00 น. ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ร่วมกันเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารหน่วยปราบปรามยาเสพติด หน่วยข่าวกรองทางทหาร ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และ กองกำลังผาเมือง ทำการสืบสวนเครือข่าย นายจะแจฯ ใช้รถยนต์กระบะทะเบียน ยต 19XX เชียงใหม่ ซึ่งลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนด้าน อ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ เข้ามาพักคอยไว้ในพื้นที่ ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย ได้ทำการตรวจยึด ยาบ้า จำนวน 1,118,000 เม็ด ขณะเตรียมนำส่งมอบให้กับเครือข่ายเพื่อลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนใน เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจยึดได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งดำเนินคดี และขยายผลการจับกุมตรวจยึด และตรวจค้นในพื้นที่พักคอยยาเสพติด ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย 

ด้าน พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. กล่าวว่า ภายใต้แผนปฏิบัติการ “กวาดล้างเครือข่ายนักบินกลุ่มลำเลียงยาเสพติดชายแดนภาคเหนือ” มุ่งเป้าเพื่อดำเนินคดีและยึดทรัพย์ผู้สั่งการเครือข่ายยาเสพติดและ  ปิดล้อมตรวจค้นจับกุมขยายผลบุคคลเครือข่ายในพื้นที่พักคอย และดำเนินการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนอย่างจริงจัง โดยจะร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้มาตรการปราบปราม ทางกฎหมาย โดยเฉพาะในพื้นที่เร่งด่วนตามมาตรา 5 (10) ของประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งกำหนดสถานะของพื้นที่ชายแดนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน

เพื่อป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในพื้นที่ชายแดน 15 อำเภอ 3 จังหวัด ได้แก่ 6 อำเภอของ จว.เชียงราย, 5 อำเภอของ จว.เชียงใหม่ และ 4 อำเภอของ จว.นครพนม โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาภายในประเทศ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการสกัดกั้นตามแนวชายแดน

'บิ๊กต่อ' ชื่นชม 'ผู้การจ๋อ' ส่งทีมตาม 'ไล่ล่าสุดขอบฟ้า' ขึ้นเหนือตะครุบมือยิง 'ครูเจี๊ยบ' คาดอยปุยได้สำเร็จ

วันที่ 20 ธันวาคม พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.(สส) พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. แถลงผลการไล่ล่าคนร้าย ก่อเหตุยิงครูเจี๊ยบ ภายหลังสั่งการให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ,พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ,พล.ต.ต วิทวัส ชินคำ ผบก.น.5 , พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.สส.บช.น. ร่วมกับ พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 และ พ.ต.อ.จิตร์พิสุทธิ์ อิ่มสงวน รอง ผบก สส.ภ.5 ร่วมกันจับกุมตัว นายอนาวิน แก้วเก็บ หรืออั้ม อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 120 ม.6 ต.คลองพระอุดม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.1070/2566 ลงวันที่ 22 พ.ย. 66 ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาติ , ร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน , ร่วมกันสมคบตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้”

นายกฤติ ล้ำเลิศ หรือทิว อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 90/177 ซ.วัดหลวง แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ จ.กรุงเทพฯ ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.1198/2566 ลงวันที่ 16 ธ.ค. 66 ข้อหา “ร่วมกันสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน (ซ่องโจร)” จับกุมได้ที่ บนดอยปุย ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จับกุมได้เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 66 เวลา 09.00 น.

พฤติการณ์ตามที่ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. หลังมีการเปิดปฏิบัติการ "ปิดเมืองล่ามือยิงครูเจี๊ยบ และน้องหยอด" ไป 2 ครั้ง และสามารถจับกุมผู้ต้องหาในลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม จำนวน 22 ราย แต่ยังไม่สามารถจับกุม "มือยิงและมือขี่" ที่ลงมือก่อเหตุ 

ทาง พล.ต.ท.ธิติ จึงสั่งให้ พล.ต.ต.ธีรเดช คัดมือดีไล่ล่าติดตามมือยิงรายนี้ให้ได้ คดีนี้ ยอมรับว่า งานหินเพราะเจ้าตัว "หนีสุดชีวิต" และยังมีคนในองค์กรอาชญากรรม คอยช่วยเหลือในการพาหลบหนี

ภายหลังชุดสืบนครบาลได้เบาะแสว่าผู้ต้องหาหลบหนีไปบนดอยปุย  จังหวัดเชียงใหม่ จึงจัดทีมขึ้เหนือ โดยประสานงานกับ บก.สส.ภ.5 ขึ้นดอยปุย จนสามารถจับกุมตัว นายอนาวิน และนายกฤติ์ มือยิง ขณะกบดานกางเต้นอยู่บนดอย ขณะกำลังวางแผนเตรียมเดินทางออกนอกประเทศ

สอบสวน นายอนาวิน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาอยอมรับว่าเป็นมือยิงในคดีนี้ โดยเริ่มออกล่าตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 66 เวลา 22.00 น. แล้วไปขโมยแผ่นป้ายทะเบียนที่ละแวกเขตดินแดง จากนั้นได้เริ่มหาเหยื่อโดยไปหาเหยื่อละแวกร่มเกล้า แต่ไม่เจอ จึงไปจอดแอบกบดารละแวก คลอง 14 อยู่สักครู่ จากนั้นช่วงเช้าตรู่ได้เริ่มขับมาตระเวนหาเหยื่อในเมือง จนกระทั่งเจอกลุ่มนักศึกษาอุเทนถวาย จึงลงมือก่อเหตุ โดยยอมรับว่าตนเองยิงปืนนัดแรกกระสุนพลาดเป้าไปโดนคนด้านหลัง ซึ่งก็คือ ครูเจี๊ยบ จากนั้นได้ยิงซ้ำที่คอและศรีษะ ก่อนจะหลบหนีไปทางทาง จ.อยุธยา และพ่นเปลี่ยนสีรถ และไปทำลายรถ และหลบหนีไป จ.อุบลราชธานี

ส่วน นายกฤติ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง

‘ขกท.ทบ.’ ร่วม ‘ตร.ปส.’ บุกรวบแก๊งลอบขนยาจากชายแดน พร้อมยึดยาบ้า 1.1 ล้านเม็ด เร่งขยายผลสืบหาเครือข่ายใหญ่

(17 ธ.ค. 66) หน่วยข่าวกรองทางทหาร กองบัญชาการกองทัพบก (ขกท.ทบ.) บูรณาการร่วมกับ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส. (นปส.เชียงราย) หลังจากได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า นายจะแจ จะสึ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 314 หมู่ที่ 12 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ (อาศัยอยู่ที่บ้านในพื้นที่ตำบลห้วยชมพู อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย)  มีพฤติการณ์ ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ชายแดนด้าน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เข้ามาเก็บพักไว้พื้นที่ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีการทำกันเป็นขบวนการ และดำเนินการลักลอบลำเลียงยาเสพติดอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงดำเนินการสืบสวนเพื่อจับกุมบุคคลในเครือข่าย

โดยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 19.30 น. นายจะแจ ได้ขับรถยนต์ ทะเบียน ยต 1928 เชียงใหม่ ออกจากบ้านพัก ในพื้นที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ลักษณะการขับ ช้าบ้าง เร็วบ้าง และขับวนไป-มาในหมู่บ้าน จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.30 น. นายจะแจ ได้ขับรถยนต์ จอดบริเวณบ้านไม่มีเลขที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย เจ้าหน้าที่จึงร่วมกันเข้าพิสูจน์ทราบ แต่นายจะแจ ไหวตัวทัน และได้ขับหลบหนี ไปทางบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ต.แม่ยาวฯ เจ้าหน้าที่พยายามติดตามแต่ไม่พบตัว กระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 16 ธ.ค. 66 จึงได้ประสานผู้นำ ท้องถิ่น และเจ้าของ/ผู้ครอบครองบ้านหลังดังกล่าว เพื่อขอเข้าทำการตรวจค้น

จากการตรวจค้นพบของกลาง เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 4 กระสอบ จำนวนประมาณ 1,118,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณบ้านดังกล่าว เจ้าหน้าทราบข่าว จึงได้ทำการตรวจยึด และลงบันทึก จากนั้นได้นำของกลางยาเสพติดดังกล่าว ส่ง พงส.บก.ปส.3 บช.ปส. เพื่อดำเนินการตามกฏหมาย และตืดตามตัวนายจะแจ มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2566

ผู้สะสม... 
เป็นทุกข์ในโลก 
ผู้ปล่อยวาง... 
เป็นสุขทุกเมื่อ

- หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
 

‘อนุทิน’ กวดขันเข้ม บุกจับผับผิด กม. รับนโยบายเปิดผับถึงตี 4  พบ ‘เปิดเกินเวลา-ใบประกอบการหมดอายุ-ยาเสพติด’ เพียบ!!

(10 ธ.ค. 66) นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง,นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง, พ.ต.อ.วิชัย ณรงค์ รองผบก.น.4 , พ.ต.อ.เศรษฐพันธ์ ศรีสาคร ผกก.สน.โชคขัย, น.ส.สุวรรณา ว่องวาณิช ผอ.ส่วนวิเคราะห์ข่าวเฝ้าระวัง พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษ กรมการปกครอง, เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตลาดพร้าว, ตำรวจ สน.โชคชัย  สนธิกำลังการเข้าตรวจผับ ‘SONIC’ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. หลังมีเบาะแสว่า ผับดังกล่าวเปิดโดยไม่ได้รับอนุญาต เปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด และมีการใช้ยาเสพติดในสถานบริการ
จากการเข้าตรวจค้นพบเป็นร้านอาคารสูง 1 ชั้น ภายในเป็นห้องโถงที่มีการจัดวางโต๊ะ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นักเที่ยวชายหญิง 220 คน กำลังเต้นรำ-ดื่มกันอย่างสนุกสนาน เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้หยุดการใช้เครื่องเสียง และประกาศขอตรวจบัตรประชาชนและยาเสพติด โดยกลุ่มนักเที่ยวบางรายพยายามหลบหนีออกด้านนอก แต่กำลังของเจ้าหน้าที่ปิดล้อมไว้ทุกด้าน เบื้องต้นตรวจสอบไม่พบใบอนุญาตประกอบสถานบริการ

จากการตรวจบริเวณร้าน พบสารเสพติดบรรจุอยู่ในซองพลาสติก ประเภท ยาอี ยาเค ยาไอซ์ และ Happy water รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการเสพถูกโยนทิ้งเกลื่อนพื้น เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมตรวจบัตรประชาชนและตรวจปัสสาวะนักเที่ยวทุกคน

นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การตรวจค้นในครั้งนี้ พบนักท่องเที่ยว 220 คน แบ่งเป็นชาย 100 คน หญิง 120 คน และยังพบอีกว่า สถานประกอบการดังกล่าว ใบอนุญาตประกอบการหมดอายุตั้งแต่ปี พ.ศ 2563 แต่ยังคงลักลอบเปิดให้บริการเกินเวลาที่กฎหมายกำหนดมาจนถึงปัจจุบัน จากการตรวจค้นภายในร้านยังพบยาเสพติดหลายประเภท เช่น ยาบ้า ยาอี ไอซ์ เคตามีน Happy water เป็นต้น และยังพบอีกว่า ภายในร้านได้มีการจัดพื้นที่ให้ผู้ใช้บริการเข้าไปเสพยาเสพติด โดยห้องดังกล่าวจะเป็นห้องแยกอยู่ในห้องน้ำ ส่วนตัวเลขผู้ติดยาเสพติดนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งในภายหลัง เบื้องต้นได้มีคำสั่งให้ปิดสถานประกอบเป็นเวลา 5 ปี ตามคำสั่งของ คสช.ที่ 22/2558 โดยหลังจากนี้ จะมอบอำนาจให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลจัดการในเรื่องการดำเนินคดีทางกฎหมายต่อไป รวมทั้งจะดำเนินการขยายผลไปหาเจ้าของสถานประกอบการที่แท้จริง 

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่า การบุกจับกุมในครั้งนี้ เป็นการตอบรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่อนุญาตให้เปิดสถานบันเทิงถึงเวลา 04.00 น. เพื่อให้ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ คำนึงไว้อยู่เสมอว่า จำเป็นต้องมีใบอนุญาตประกอบการ และปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2566

ถ้าขาดความอดทน
ความดีอื่นก็ไม่เจริญ
อด...คือ อดต่อสิ่งที่ชอบ
ทน…คือ ทนต่อสิ่งที่ชัง

- หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม -

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม 2566

ความสุขที่ได้รับ เป็นของไม่เที่ยง
สักวันหนึ่ง...ก็ต้องจากเราไปทั้งหมด
แม้แต่ร่างกายที่คิดว่าเป็นของเรา
สุดท้าย...มันก็ไม่ได้เป็นของเราอย่างที่คิด

- พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป -

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2566

'ศัตรู' ก็คือ ใจของเรานั้นเอง อยากจะชนะสิ่งใด จงชนะใจตนเองให้ได้ก่อน เป็นนายของตนเองให้ได้ก่อน ชีวิตจะพบกับ ความสำเร็จได้ไม่ยากเลย

- หลวงปู่ดูลย์ อตุโล -

‘ตำรวจน้ำ-ปอศ.’ บุกรวบ ‘แก๊งค้าน้ำมันดีเซลปลอดภาษี’ คาเรือ พร้อมยึดน้ำมันของกลาง 23 ล้านลิตร โทษปรับ 2.7 พันล้านบาท!!

(24 พ.ย. 66) ที่ชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน., พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ., พล.ต.ร.ท.ดนัย สุวรรณหงส์ ผอ.ศูนย์ยุทธการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ผอ.ศยก.ศรชล.)

และ นายพยุง บุญสมสุวรรณ ผอ.สำนักงานตรวจสอบป้องกันและปราบปราม กรมสรรพสามิต ร่วมแถลงผลจับกุมเครือข่ายลักลอบขนถ่ายน้ำมันเขียวผิดกฎหมาย พร้อมน้ำมันดีเซล กว่า 23,231,700 ลิตร หลังจับกุมได้ในเขตน่านน้ำภายในทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่องฝั่งอ่าวไทย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนขบวนการลักลอบนำน้ำมันเขียว หรือ ‘น้ำมันดีเซลปลอดภาษี’ ของกระทรวงพลังงาน ที่ตามปกติจะขายกันอยู่กลางทะเล เพื่อเป็นการลดภาระต้นทุนของชาวประมง ที่เข้ามาขนถ่ายและขายในเขตน่านน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้มีการแอบขนถ่ายให้กับเรือโดยไม่ได้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ และยังส่งผลกระทบไปถึงกลุ่มเรือประมงที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ แต่ไม่มีน้ำมันเขียวเพียงพอที่จะใช้เติมได้

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวอีกว่า ตนจึงสั่งการให้ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ จัดกำลังลงพื้นที่ตรวจสอบจนทราบว่ากระทำกันเป็นเครือข่ายใหญ่ ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี สามารถตรวจยึดน้ำมันเขียวของเครือข่ายดังกล่าวได้กว่า 23,231,700 ลิตร พร้อมสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเรื่อยมา จนสามารถเรียกตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้วกว่า 10 ราย

ความผิดฐาน ‘ร่วมกันขนถ่ายสินค้าในเขตต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร และเคลื่อนย้ายสินค้าออกไปจากยานพาหนะโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร’ แบ่งเป็น 7 คดี 10 กรรม ซึ่งมีอัตราโทษสูงถึง 2,700 ล้านบาท เบื้องต้นจากการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่จะให้การรับสารภาพ มีบางรายเท่านั้นที่ให้การปฏิเสธ

สตม. จับกุมชาวลาวแอบแฝงเข้ามา รบเร้า ชักชวน เสนอแนะบริการนำเที่ยว หน้าด่านพรมแดน สะพานมิตรภาพไทย – ลาว จ.หนองคาย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย ในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ปิยะอนันต์ โตสกุลวงศ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.สิทธิ์ศิริ กังวานกุล รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.มณุวัฒน์ กอสนาน รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.กฤชมงกุฎ บูรณะภักดี ผกก.ตม.จว.หนองคาย, พ.ต.ท.ธียาฌพัตท์ รังสิพราหมณกุล รอง ผกก.ตม.จว.หนองคาย ร่วมแถลงข่าวการจับกุมชาวลาวแอบแฝงเข้ามา รบเร้า ชักชวน เสนอแนะบริการนำเที่ยว หน้าด่านพรมแดน สะพานมิตรภาพไทย – ลาว จ.หนองคาย 

วันนี้ (22 พ.ย.66) เวลาประมาณ 09.00 น. ชุดสืบสวน ตม.จว.หนองคาย ออกตรวจสอบคนต่างด้าวเข้ามารบเร้าชักชวนเสนอตัวนำเที่ยวใน สปป.ลาว บริเวณหน้าด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย –ลาว จ.หนองคาย ซึ่งสร้างความรำคาญแก่นักท่องเที่ยว พบ นายวันดี อายุ 60 ปี สัญชาติลาว และนายสวน  อายุ 63 ปี สัญชาติลาว ซึ่งแอบแฝงเข้ามาปะปนกับนักท่องเที่ยวบริเวณหน้าด่านฯ เข้ารบเร้าชักชวนนักท่องเที่ยวจะเดินทางข้ามไป สปป.ลาว ในลักษณะ  ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่นักท่องเที่ยวและสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดหนองคาย จึงได้ควบคุมตัวมาดำเนินคดีในข้อหา “ก่อความเดือดร้อนรำคาญ ฯลฯ ” นำตัวส่ง พงส.สภ.เมืองหนองคาย ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออก ประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษาเลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ตำรวจไซเบอร์รวบขบวนการหลอกทำภารกิจ เหยื่ออยากหารายได้ กลายเป็นสูญเงินเฉียดแสน

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ผู้เสียหายต้องการหารายได้พิเศษ จึงได้ค้นหาบนอินเตอร์เน็ต พบเว็บไซต์ชื่อ “หางานพาร์ทไทม์” จึงได้สนใจและสมัครทำงาน ต่อมาเว็บดังกล่าวได้ให้ผู้เสียหาย แอดไลน์ชื่อ “ฝ่ายบริการพลอย” แล้วให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นไลน์ดังกล่าวได้ให้ผู้เสียหายเริ่มทำภารกิจกับบริษัท Asset shop online โดยอ้างว่ามีค่าตอบแทนให้ประมาณวันละ 500 - 3000 บาท โดยการกดจองออเดอร์สินค้าในแพลตฟอร์มชื่อดังต่างๆ เช่น Shopee Lazada และอีกหลายแพลตฟอร์ม

ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงได้ทดลองทำภารกิจโดยเริ่มต้นจากการโอนเงิน 50 บาท เข้าบัญชีธนาคารคนร้าย ต่อมาปรากฏเป็นภาพบัญชีกระเป๋าตังค์ของผู้เสียหายในเว็บไซต์ของ Asset shop online พบยอดเงินในบัญชี 50 บาท ผู้เสียหายจึงได้กดเข้าไปที่ร้านค้า Shopee ผ่านทางกระเป๋าตังค์และจากนั้นพบว่ามีผลตอบแทนในกระเป๋าตังค์ของผู้เสียหายเพิ่มมาจำนวน 15 บาท แล้วมีการเงินตอบแทนมายังบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย จำนวน 65 บาท ผู้เสียหายจึงมั่นใจว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนจริง จึงโอนเงินเพื่อลงทุนเพิ่มอีกเรื่อยๆ ตั้งแต่ 300 - 500 บาท โดยยังคงได้รับผลตอบแทนกลับมาจริง

ต่อมาผู้เสียหายจึงโอนเงินเพื่อลงทุนเพิ่มอีกเรื่อยๆ อีกหลายครั้ง ตั้งแต่ 800 - 3,500 บาท เมื่อโอนเสร็จผู้เสียหายต้องการถอนเงินแต่ทำไม่ได้ อ้างว่าภารกิจยังไม่สำเร็จ ต้องโอนเงินเพิ่มอีก ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปอีก 12,000 บาท เมื่อทำภารกิจเสร็จ มิจฉาชีพแจ้งว่าผู้เสียหายทำภารกิจผิดพลาด ต้องติดต่อฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อทำการแก้ไขแผนลงทุน จึงให้โอนเงินเพิ่มอีก 32,520 บาท เมื่อโอนเสร็จยังถอนไม่ได้ ต้องโอนเพิ่มอีก 32,520 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป แต่คนร้ายแจ้งว่าดำเนินการไม่สำเร็จ ให้โอนเงินเพิ่มอีกจำนวน 99,907 บาท แต่ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกแน่นอน จึงได้แจ้งความกับตำรวจไซเบอร์เพื่อดำเนินคดี โดยผู้เสียหายโดนหลอกโอนเงินไปทั้งสิ้น จำนวน 82,190 บาท 

ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ บก.สอท.3 โดย กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3  ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายบุลากร อายุ 23 ปีชาวบางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็น 1 ในกลุ่มขบวนการดังกล่าวที่ถูกออกหมายจับ จึงทำการวางแผนเข้าจับกุม จนสามารถเข้าจับกุมตัวได้ขณะเดินอยู่ริมถนนหน้าบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ม.8 ต.ช้างแรก อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงแจ้งข้อหา“ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” จึงนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.๓,พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.๓ สั่งการให้ พ.ต.ท.ภาคภูมิ บุญเจริญพานิช รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3, พ.ต.ท.เลอศักดิ์ พิเชษฐไพบูลย์ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ พ.ต.ต.รุ่งเรือง มีสติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, พ.ต.ต.ธวัช ทุเครือ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, ร.ต.อ.อาณัติ เข็มทอง รอง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ, บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนร่วมกันจับกุม

‘ธนกร’ แนะ!! ตำรวจควรใช้โอกาสนี้ ถอนรากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังรวบเครือข่ายรายย่อยออกจากเล้าก์ก่าย เพื่อหาตัวการใหญ่

(19 พ.ย.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศให้การช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่เล้าก์ก่าย ประเทศเมียนมา ว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้โอกาสการช่วยเหลือคนไทย ที่มีข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ว่าอาจถูกหลอกเป็นเหยื่อของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปทำงานในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อสาวถึงตัวการรายใหญ่ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน โดยพบว่ามีการว่าจ้างคนไทย หลอกคนไทยด้วยกันเองให้ไปทำงานกับขบวนการนี้และไม่เพียงเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น ยังมีเหยื่อที่ถูกบังคับค้าประเวณี ค้ามนุษย์ และเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย

เมื่อถามว่า แต่ตัวการรายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังส่วนมากจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน นายธนกร กล่าวว่า ขบวนการนี้ทำเป็นเครือข่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนมีข้อมูลว่าผู้ต้องหามีทั้งคนไทยที่สมรู้ร่วมคิดหลอกคนในประเทศออกไปทำงานยังประเทศเพื่อนบ้าน หากติดตามสืบสวนสอบสวนแล้วจะสามารถสาวไปถึงตัวการที่อยู่ประเทศเพื่อนบ้านได้ โดยเมียนมา กัมพูชา ไทยได้ประสานความร่วมมือระหว่างกันเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน โดยเฉพาะคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ผ่านมาในรัฐบาลชุดที่แล้ว ได้ประสานกัมพูชา เพื่อดำเนินการเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหามาแล้วหลายราย

“ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้โอกาสที่ช่วยเหลือคนไทยในเมียนมาออกมาได้ สืบสวนสอบสวนสาวให้ถึงต้นตอผู้บงการรายใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังจากที่ใช้เครือข่ายโทรหลอกลวงประชาชนทำสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก บางคนถึงกับหมดเนื้อหมดตัวคิดสั้นก็มี ซึ่งเชื่อว่ามีคนไทยรู้เห็นสมคบคิดในขบวนการนี้ด้วย ทั้งนี้ หากตัวบงการรายใหญ่อยู่ต่างประเทศทั้งในเมียนมาและกัมพูชา ก็สามารถประสานความร่วมมือเข้าจับกุมผู้ต้องหาได้ ขอให้ใช้โอกาสนี้ ถอนรากถอนโคน ใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการเร่งแก้ปัญหาให้กับประชาชน” นายธนกร ระบุ

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2566

‘ศีลธรรม’ คือเครื่องคุ้มครอง
ถ้าศีลธรรมจากเราไป
เราก็ขาด ‘หลักประกัน’
เหมือนอยู่บ้านที่ไม่มี ‘หลังคา’

-พระพรหมมังคลาจารย์
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ-


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top