Wednesday, 3 July 2024
NEWS FEED

โอบาม่า-บุช-คลินตัน พร้อมฉีดวัคซีน Covid-19 การันตีความปลอดภัย

3 อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ “บารัค โอบาม่า”, “จอร์จ บุช” และ “บิล คลินตัน” พร้อมที่จะฉีดวัคซีน Covid-19 โชว์ออกโทรทัศน์ เพื่อโปรโมทการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน และยังเป็นการรับประกันความปลอดภัย ไร้กังวล สำหรับชาวสหรัฐที่ยังไม่มั่นใจที่จะรับวัคซีน

จากสถานการณ์ Covid-19 ล่าสุดในสหรัฐอเมริกา ผู้ติดเชื้อยังพุ่งต่อเนื่อง ยอดผู้ติดเชื้อรายวันแตะที่ระดับ 2 แสนคนต่อวัน และมีผู้ติดเชื้อสะสมทะลุ 14 ล้านคนไปเรียบร้อยแล้ว

ที่น่าตกใจยิ่งกว่ายอดผู้ติดเชื้อ ก็คือยอดผู้เสียชีวิต ที่มีรายงานว่ายอดผู้เสียชีวิตในวันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา สูงถึง 3,157 คน เป็นยอดที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ที่สหรัฐเจอวิกฤติ Covid-19 ทำให้ตอนนี้สหรัฐมีผู้เสียชีวิตจาก Covid-19 ไปแล้วมากกว่า 270,000 คน

ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐคาดการณ์ว่า หากยอดผู้ติดเชื้อยังคงพุ่งสูงเช่นนี้ อาจทำให้สหรัฐมีผู้เสียชีวิตมากถึง 450,000 คนภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 หากเป็นเช่นนั้นจริง จะทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจาก Covid-19 ในสหรัฐสูงกว่ายอดผู้ที่เสียชีวิตในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐถึง 2 เท่า

แต่ถึงจะมียอดผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตสูงมากแค่ไหนก็ตาม กลับมีชาวสหรัฐเป็นจำนวนมากที่จะไม่ยอมฉีดวัคซีนแม้รัฐบาลจะให้ฉีดฟรีก็เถอะ

จากผลโพลล่าสุดที่จัดทำโดยสำนักวิจัย Gallup พบว่ามีชาวอเมริกันถึง 42% ในกลุ่มสำรวจ ยังคงยืนยันว่าจะไม่ฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน แม้ว่าจะฉีดฟรี เพราะไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัย อีกทั้งในสหรัฐมีกลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีน และกลุ่มที่เชื่อทฤษฎีสมคบคิด QAnon ที่เชื่อว่าการฉีดวัคซีนมีจุดประสงค์แอบแฝงอื่น

อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ SiriusXM โดยผู้ประกาศข่าวโจ แมดิสัน ว่า หาก ดร. แอนโธนี ฟาวซี หัวหน้าศูนย์ Covid-19 แห่งสหรัฐยืนยันว่าวัคซีนไหนปลอดภัย เขาก็พร้อมที่จะฉีดวัคซีนออกสื่อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้คนอเมริกัน

หลังจากนั้นไม่นาน โฆษกประจำตัวของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช และ บิล คลินตัน ก็ออกมาบอกว่า ทั้งบุช และ คลินตัน ก็พร้อมที่จะฉีดวัคซีนออกสื่อเหมือนกัน เพื่อให้ชาวอเมริกันที่ยังระแวง เปิดใจรับวัคซีน จะได้ยับยั้งการแพร่ระบาดของ Covid-19 ในสหรัฐได้เสียที

แต่ว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ณ เวลานี้อย่าง โดนัลด์ ทรัมพ์ ยังคงเก็บตัวเงียบ ไม่พูดถึงเรื่องปัญหา Covid-19 แต่อย่างใด

และในสัปดาห์หน้า องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐจะประชุมกันเพื่อลงมติอนุมัติวัคซีน Covid-19 ล็อตแรกของบริษัท Pfizer และ BioNTech แล้ว

ด้วยปริมาณวัคซีนที่สั่งจอง และพร้อมผลิต ก็มีพอที่จะทยอยฉีดให้ประชาชนทั่วไปได้ในปีหน้า เรื่องงบไม่มีปัญหา กลัวเพียงแต่ว่า คนอเมริกันไม่ยอมมาฉีด

แต่หากให้พรีเซนเตอร์แม่เหล็กอย่าง โอบาม่า – บุช - คลินตัน ออกมาฉีดวัคซีนโชว์ออกสื่อ ก็น่าจะสร้างแรงจูงใจให้คนอเมริกันยอมมารับวัคซีนกันไม่น้อย แต่สุดท้ายก็คงเป็นสิทธิ์ของคนอเมริกันว่าจะสมัครใจฉีดวัคซีนกันหรือเปล่า หรืออาจสละสิทธิ์ก่อนเพื่อขอดูผลข้างเคียงจากกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนล็อตแรกไปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ดังนั้นสงครามต่อสู้กับเจ้าเชื้อ Covid-19 ก็ยังไม่จบง่าย ๆ แน่นอน


แหล่งข่าว

https://www.theguardian.com/us-news/2020/dec/03/obama-clinton-bush-covid-vaccine-safety

https://www.theguardian.com/world/2020/dec/03/us-logs-a-record-3157-coronavirus-deaths-in-one-day

https://news.gallup.com/poll/325208/americans-willing-covid-vaccine.aspx

อังกฤษไฟเขียววัคซีนโควิด-19 "ไฟเซอร์" พร้อมฉีดจริงสัปดาห์หน้า...เพียงพอ 20 ล้านคน

หลังการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในปีนี้ ได้ทุบเศรษฐกิจโลกพังยับเยิน รวมถึงมีผู้สังเวยโรคร้ายดังกล่าวไปแล้วกว่า 1.5 ล้านคนทั่วโลก

นั่นจึงทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างรอคอยวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินชีวิตกลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง

ปัจจุบันวัคซีนที่กำลังเป็นที่จับตาเป็นของ "ไฟเซอร์ - ไบโอเอ็นเทค" และวัคซีนจาก "โมเดอร์นา" ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐฯ ได้รับการยืนยันถึงประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 สูงกว่า 90% โดยทั้ง 2 ชนิดต่างเป็นวัคซีนแบบตัดต่อสารพันธุกรรมหรือที่เรียกกันว่า RNA (mRNA)

ล่าสุดอังกฤษกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุมัติการใช้งานวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทเวชภัณฑ์ไฟเซอร์ (Pfizer) และ ไบโอเอ็นเทค (BioNTech)

โดยรัฐบาลอังกฤษ เห็นพ้องตามคำแนะนำจากสำนักงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและยา (Medicines and Healthcare products Regulatory Agency - MHRA) และรับรองการใช้งานวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทดังกล่าว

ด้าน แม็ตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ยอมรับว่า นี่เป็นข่าวดีมาก พร้อมประกาศว่าโครงการแจกวัคซีน โควิด-19 จะเริ่มแจกจ่ายทั่วสหราชอาณาจักรตั้งแต่ต้นสัปดาห์หน้า โดยโรงพยาบาลทั่วอังกฤษมีความพร้อมที่จะทำการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน ซึ่งเพียงพอสำหรับ 20 ล้านคน หลังจากรัฐบาลอังกฤษได้ทำสัญญาสั่งซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์จำนวน 40 ล้านโดส

ทั้งนี้ทางคณะกรรมการด้านวัคซีนจะพิจารณาว่าคนกลุ่มใดที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก ๆ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ตามสถานสงเคราะห์, เจ้าหน้าที่สาธารณสุข, ผู้สูงวัย หรือผู้ที่มีความเปราะบางเป็นพิเศษ ต่อไป


ที่มา: รอยเตอร์, BBC

ทัพภาค 4 ระดมพล!! เร่งรุดช่วยน้ำท่วมใต้ 7 จังหวัด

จากกรณีฝนตกติดต่อกันจนถึงวันนี้ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันใน 7 จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส

ผลกระทบจากน้ำท่วมฉับพลัน ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ประสบปัญหาอย่างหนัก ทาง พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จึงได้กำชับกองทัพภาคที่ 4 จัดหน่วยช่วยดูแลประชาชนให้ปลอดภัย

และคลี่คลายสถานการณ์ตามแผนการช่วยเหลือ ร่วมกับส่วนราชการประจำจังหวัด ตามที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการ โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีระดับน้ำท่วมสูงเกือบทุกอำเภอ

ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 4 ได้สำรวจเส้นทางและช่วยเหลือประชาชน โดยพลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้บินสำรวจสภาพน้ำและสั่งการให้หน่วยทหารในพื้นที่ 8 ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย เข้าช่วยประชาชนเร่งด่วนให้ทันน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่อง และถนนเส้นทางหลักในจังหวัดนครศรีธรรมราช ถูกตัดขาด 7 สาย

โดยตั้งแต่ช่วงเมื่อวาน จนถึงวันนี้ได้ทำการเร่งอพยพประชาชนจากพื้นที่ต่าง ๆ ไปยังสถานที่ที่ทางจังหวัดเตรียมไว้ พร้อมช่วยขนย้ายสิ่งของตามบ้านเรือนโรงเรียนขึ้นที่สูง เคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียงไปยังโรงพยาบาล รับส่งประชาชนที่ติดค้างที่ท่าอากาศยาน โดยงานเร่งด่วนคือการจัดรถครัวสนามและเร่งอพยพผู้คนที่ยังติดค้างมายังศูนย์อพยพโดยเร็ว ซึ่งคาดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายใน7วัน

นอกจากนี้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันมอบอาหารเครื่องดื่มสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นให้กับผู้อพยพที่เดินทางมาอาศัยพักพิง ณ ศูนย์อพยพชั่วคราวโรงเรียนเทศบาลวัดท่าโพธิ์ อ.เมือง ประมาณ 60 ครัวเรือน จำนวน 230 คน และคาดว่าจะมีผู้อพยพเข้ามาอีก 160 ครัวเรือนประมาณ 700 คนในเขตเทศบาล ขณะเดียวกันที่ อ.ทุ่งสง ซึ่งมีน้ำป่าไหลหลากเป็นวงกว้าง ทางกองบัญชาการช่วยรบที่ 4 ก็ได้เข้าช่วยประชาชนแล้วเช่นกัน

ในส่วนของจังหวัดสงขลา ได้มีการช่วยขนย้ายคนและสิ่งของ ทั้งนำกระสอบทรายไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบในเขต อ.เมือง ขณะที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มวลน้ำหนุนเข้าท่วมในพื้นที่ ฝนยังคงตกหนักส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขัง 30 - 120 ซม. ทางกองทัพจึงได้จัดกำลังพล ยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ ช่วยขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และขนย้ายปศุสัตว์ ในพื้นที่ ต.ทุ่งเตา อ.บ้านนาสาร คู่ขนานไปกับ ร.25 พัน.3 ที่ได้จัดกำลังพล ยานพาหนะ ช่วยขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง เเละอพยพประชาชนที่ ต.ท่าเคย อ.ท่าฉาง ซึ่งมวลน้ำได้เพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ฝนยังคงตกหนักและได้รับอิทธิพลน้ำหนุนมาจากพื้นที่ใกล้เคียง โดยคาดว่าภายใน 2 วันนี้ น้ำยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามภาพรวมในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ภาคใต้จะเกิดมรสุมประจำทุกปี โดยที่ผ่านมาทางกองทัพภาคที่ 4 ได้เตรียมความพร้อมบรรเทาอุทกภัย ช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบไว้ก่อนหน้า โดยมีการแบ่งมอบพื้นที่อย่างชัดเจน รวมถึงประสานการปฏิบัติกับทางจังหวัด ทางอำเภอ ติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลใกล้ชิด เชื่อว่า จนท.ทุกส่วนมีความพร้อมเข้าดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 4 หมายเลขโทรศัพท์ 075 - 383405 ตลอด 24 ชั่วโมง

รอรับได้เลย!! ภาคต่อนโยบายดันศก. "คนละครึ่งเฟส 2" & "เติมเงินบัตรคนจน"

ใครพร้อมเตรียมตัวให้ดี เพราะภาคต่อโครงการคนละครึ่งเฟส 2 และเติมเงินบัตรคนจน กำลังถูกเสิร์ฟต่อแบบติด ๆ

ในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 หรือ ศบศ. ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้มีการประชุมพิจารณาโครงการคนละครึ่งเฟส 2 และโครงการช่วยเหลือเงินค่าครองชีพให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14 ล้านคน ผ่านการชงโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

ทั้งนี้นายกฯ จะพิจารณาความเหมาะสมทั้งจำนวนที่จะเปิดเพิ่ม ระยะเวลาใช้จ่ายและเพิ่มเงินให้กับผู้ลงทะเบียนเก่าและใหม่โดยจะเปิดการลงทะเบียนรับสิทธิอีก 5 ล้านคน โดยโครงการคนละครึ่งรอบแรกจะมีการเติมเงินเพิ่มขึ้นอีก 500 บาท เป็นวงเงินอยู่ที่ 3,500 บาท และผู้ที่ถูกตัดสิทธิจากเฟสแรกเนื่องจากไม่ได้ใช้จ่ายภายใต้โครงการในวันที่กำหนด สามารถลงทะเบียนรอบที่ 2 นี้ได้ รวมถึงยังเตรียมพิจารณาปรับปรุงมาตรการ "เราเที่ยวด้วยกัน" และ "มาตรการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ" อีกด้วย

สำหรับเบื้องต้นโครงการคนละครึ่งเฟส 2 จะเปิดให้ลงทะเบียนช่วงเดือนธันวาคมนี้ เพื่อให้ใช้สิทธิ์ทันวันที่  1 ธันวาคม พ.ศ.2564 ระยะเวลาการใช้สิทธิประมาณ 2-3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม พ.ศ.2564 และบัตรคนจนจะมีการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเพิ่มอีก 500 บาท ต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น  3 เดือน
 

มติศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด ‘ลุงตู่’ รอดคดีบ้านพักทหาร นั่งนายกฯ ต่อ

เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2563 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดี ใช้บ้านพักภายในกรมทหารราบที่ 1 หลังเกษียนอายุราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่า ‘ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ’ ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีเหตุที่จะสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้มีสิทธิพักอาศัยในบ้านรับรอง .

เหตุผลเพราะเคยเป็นอดีตผู้นำสูงสุดของกองทัพบกมาก่อน อีกทั้งยังไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงแต่อย่างใด ความเป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่สิ้นสุดลง

"การบินไทย" คัมแบ็ค!! ปั้นรายรับน่านฟ้าสยาม ขนานรายได้ธุรกิจส่งผัก

หยุดทำการบินเส้นทางในประเทศไปตั้งแต่เดือนเมษายน ตอนนี้การบินไทยกำลังจะทะยานสู่น่านฟ้าอีกครั้ง!!

หลังจากรัฐบาลได้คลายล็อกดาวน์มาตรการคุมเข้ม โควิด-19 และสนับสนุนให้สายการบินไทยสมายล์ทำการบินแทนในเส้นทางที่การบินไทยเคยทำการบินอยู่

แต่ตอนนี้ การบินไทย เตรียมจะกลับมาบินในประเทศอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2563 - วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

โดยการบินไทยจะกลับมาเปิดบินใน 2 เส้นทาง ได้แก่

1.) ให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศเฉพาะเส้นทางกรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) - เชียงใหม่

2.) เส้นทางบินกรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) - ภูเก็ต

ทั้ง 2 เส้นทางดังกล่าว การบินไทย จะทำการบิน จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ให้บริการในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ด้วยเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777-200ER

.

- เส้นทางกรุงเทพฯ (BKKเชียงใหม่ (CNX) / เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ ได้แก่ TG108 (WE5108) BKK 1210 น.- CNX 13.30 น./TG109 (WE5109) CNX 14.30น. - BKK 15.55 น.

- เส้นทางกรุงเทพฯ(BKK) - ภูเก็ต(HKT) / ภูเก็ต-กรุงเทพฯ ได้แก่ TG205 (WE5205) BKK 12.05 น.- HKT 13.30น. / TG206 (WE5206) HKT 14.20 น.- BKK 15.45 น.

.

ทั้งนี้เบื้องต้นสามารถจองบัตรโดยสารได้จากเว็บไซต์ www.thaismileair.com ส่วนในเว็บไซต์ของการบินไทยคาดว่าจะเปิดให้จองในลำดับถัดไป

นอกจากการเปิดเส้นทางการบินในประเทศอีกครั้งของการบินไทยในครั้งนี้ จะเป็นแผนการหารายได้หนึ่ง

แต่การบินไทย ยังเตรียมหารายได้อื่นควบคู่กันไป โดยเฉพาะกับการเร่งหารายได้จากธุรกิจคาร์โก้

ซึ่งจะร่วมมือกับ 3 กระทรวง คือ กระทรวงคมนาคม / กระทรวงพาณิชย์ / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อกระตุ้นการขนส่งผักและผลไม้ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกร ภาคส่งออกและการบินไทยเองด้วย

ตรงนี้เป็นแนวทางต่อเนื่องของการบินไทยในการจัดบริการขนส่งผักและผลไม้ตามฤดูกาล ในราคาขนส่งถูกพิเศษ เพื่อสนับสนุนการส่งออก และช่วยกระจายสินค้าไปต่างประเทศ

ซึ่งเป็นอีกธุรกิจที่ได้รับการตอบรับดี โดยที่ผ่านมาการบินไทยได้ขนส่งสินค้าไปหลายประเทศ เช่น มะม่วง ได้รับการตอบรับอย่างดีจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และฮ่องกง

นอกจากนี้ยังได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอข้อมูลแนวโน้มการส่งออกสินค้าผักและผลไม้ปี พ.ศ.2564 เพราะปัจจุบันการบินไทยทำการบินกึ่งพาณิชย์ โดยมีจุดหมายปลายทางเพิ่ม อาทิ ยุโรป ซึ่งประเมินว่าธุรกิจคาร์โก้ปีหน้าจะสร้างรายได้สนับสนุนการบินไทยต่อเนื่อง

ชาวนาไทยได้เฮ! นายกฯ ลั่น “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างล่าง” อัดฉีดเงินประกันรายได้อีก 2.87 ล้านบาท

ชาวนาไทยเตรียมเฮอีกรอบ หลังจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน เห็นชอบปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1 เพิ่มเติมอีก 28,711.29 ล้านบาท

จากเดิมก่อนหน้านี้ ทางคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเบื้องต้น เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 จำนวน 18,096.06 ล้านบาท รวมเป็น 46,807.35 ล้านบาท

พร้อมมอบหมายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงพาณิชย์ จัดทำรายละเอียดโครงการฯ และงบประมาณให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561

และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปริมาณผลผลิต ประมาณการณ์วงเงินที่ใช้ เพื่อให้การจ่ายเงินถูกต้องครบถ้วน

โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานบอร์ด นบข. ยืนยันรัฐบาลพร้อมดูแลคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกร กำชับทุกฝ่ายให้ช่วยกันดูแล ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส สุจริต และสามารถตรวจสอบได้ และต้องส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างเป็นระบบ ให้ไทยมีพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ ล่าสุดทาง ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563/64 ตามนโยบายรัฐบาล ในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน วงเงินกว่า 28,000 ล้านบาท เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงแล้ววันนี้ (1 ธันวาคม พ.ศ.2563) จำนวนกว่า 400,000 ครัวเรือน หรือคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 1,600 ล้านบาท

''PT LPG'' แจกคูปองส่วนลดเติมก๊าซ 1,100 บาท ประคองต้นทุนคนขับแท็กซี่ 10,000 คัน

ค่อย ๆ ทยอยออกมาเรื่อย ๆ สำหรับนโยบายภาครัฐ ในการช่วยเหลือประชาชนแต่ละกลุ่มผ่านมาตรการต่าง ๆ กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ ก็เป็นอีกกลุ่มที่ถึงคิวในการช่วยเหลือจากภาครัฐ

เพื่อประคองต้นทุนในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตผู้ขับ ผ่านโครงการ ''PT LPG เพื่อแท็กซี่ สู้วิกฤต'' โดยมี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการ

สำหรับโครงการนี้ "สุวัชชัย พิทักษ์วงศาภรณ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอลิมปัส ออยล์ จำกัด บริษัทในเครือ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ "PTG" เปิดเผยว่า "บริษัทฯ ได้จัดงบประมาณอยู่ที่ 22 ล้านบาท เดินหน้าจัดโครงการส่งมอบความช่วยเหลือลดต้นทุนในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตผู้ขับรถแท็กซี่ต่อเนื่อง ภายใต้ชื่อ "PT LPG เพื่อแท็กซี่ สู้วิกฤต" โดยมอบคูปองส่วนลดมูลค่ารวม 1,100 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดต้นทุนเชื้อเพลิงแก๊ส,น้ำมัน,ค่าน้ำมันเครื่องยนต์,ค่าก๊าซหุงต้ม เป็นต้น"

โครงการดังกล่าว ทางบริษัทฯ ได้วางเป้าหมายผู้ขับขี่แท็กซี่เข้าร่วมกิจกรรมอยู่ที่ 10,000 คัน โดยจะเริ่มกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2563 - 1 มกราคม พ.ศ.2564 เฉพาะวันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8.00 – 17.00 น. สามารถเข้าไปขอรับคูปอง ณ สถานีบริการ LPG ของ PT ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลจำนวน 50 สถานี

นอกจากนี้ ในส่วนของสมาชิกแม็กการ์ด (Max Card) ที่มีจำนวนกว่า 13 ล้านราย เมื่อร่วมใช้บริการแท็กซี่ที่มีสัญลักษณ์ PT Taxi Rewards จะได้รับ 20 คะแนน

ส่วนลูกค้าใหม่ที่สมัครสมาชิกผ่านคิวอาร์โค้ดในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการสำเร็จจะได้รับคะแนน 100 คะแนน สะสมเพื่อใช้แลกเป็นส่วนลดสินค้าและบริการต่างๆ ของบริษัทฯได้ และจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่าย - เพิ่มรายได้แก่แท็กซี่ได้เช่นกัน

ไต้หวันประท้วงเดือด! ปาไส้หมูเละเต็มสภา

กลายเป็นข่าวดัง เจือกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วโลก เมื่อสส. ฝ่ายค้านประท้วงเดือด ด้วยการสาดถังไส้หมูใส่นายกรัฐมนตรีไต้หวันขณะที่กำลังแถลงนโยบายอยู่กลางสภา

สาเหตุของการประท้วงด้วยวิธีชวนแหวะนี้ เกิดจากนโยบายใหม่ของประธานาธิบดี "ไช่ อิงเหวิน" ที่ต้องการผ่อนปรนมาตรการการนำเข้าเนื้อหมู และเนื้อวัวจากประเทศสหรัฐอเมริกา

จากที่เคยแบนการนำเข้าเพราะมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงประเภท Ractopamine ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ของสหรัฐ

ซึ่งการใช้สารเร่งเนื้อแดง Ractopamine นี้ถูกแบนจากจีน และยุโรปเช่นเดียวกัน แต่เป็นสารที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้ในสหรัฐ

และการที่ประธานาธิบดี ไช่ อิงเหวิน และพรรค DPP ที่เป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลเห็นชอบที่จะอนุญาตให้เปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงชนิดนี้จากสหรัฐอเมริกาได้ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของข้อแลกเปลี่ยนในการเจรจาข้อตกลงทวิภาคีด้านการค้าร่วมกันนั่นเอง

เมื่อฝ่ายรัฐบาลพยายามดันนโยบายนี้ให้ผ่านสภา ทีมพรรคฝ่ายค้านที่นำโดนพรรคก๊กมินตั๋งก็ตั้งใจที่จะมาประท้วง และเมื่อนายซู เจินชาง นายกรัฐมนตรีไต้หวันกำลังอ่านแถลงนโยบายเรื่องนี้ในสภา สส.ฝ่ายค้านคนหนึ่งก็คว้าถังใส่ไส้หมูเข้ามาสาดโครมใส่นายกรัฐมนตรี

แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นความชุลมุนเมื่อสส.ทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลก็กรูกันออกมาตะลุมบอน จิกต่อย ขว้างปา ไส้หมู เครื่องใน กันให้เละเทะ เหม็นคละคลุ้งไปทั้งสภา

ถึงแม้ว่าการชกต่อยกลางสภาไต้หวันจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรในประเทศนี้ แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นปาไส้หมูในสภามาก่อน ที่พรรคฝ่ายรัฐบาลก็ออกมาประณามว่า ช่างเป็นวิธีการที่น่าขยะแขยง คลื่นไส้แล้วยังเสียของ ที่เอาของกินมาขว้างปาอย่างไร้ค่า จนเหม็นไปทั้งสภา ต้องเสียเวลามากวาดล้าง ก่อนที่ต้องมาประชุมกันต่อในประเด็นถัดไป

ส่วนประชาชนชาวไต้หวันบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะอนุญาตให้นำเข้าเนื้อที่อาจปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐ ก็ออกมาเดินขบวนประท้วงกันเป็นจำนวนมากเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ซึ่งทางพรรคฝ่ายค้านก็ออกมาร่วมโหนกระแส และวิจารณ์นโยบายเนื้อหมูของพรรค DPP ว่าเมื่อคราวที่เป็นฝ่ายค้านก็บอกว่าจะต่อต้านการนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สารเร่ง แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลก็กลับข้างมาเอาใจสหรัฐ โดยไม่คำนึงถึงผลข้างเคียงต่อประชาชน

แต่อย่างไรก็ตาม การประท้วงด้วยการปาไส้หมูกันเละเทะในสภาก็คลื่นไส้สุดจะทนจริง ๆ เอาเป็นว่าดูได้พอเป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่างจะดีกว่า


แหล่งข่าว

CBC

https://www.cbc.ca/news/world/taiwan-parliament-pork-brawl-1.5819250

CNN

https://edition.cnn.com/2020/11/28/asia/taiwan-pig-intestines-lawmakers-intl-hnk/index.html

The Guardian

https://www.theguardian.com/world/2020/nov/27/taiwan-politicians-throw-pig-guts-meat-row

วิเคราะห์ 3 ประสาน ทีมต่างประเทศของ "โจ ไบเดน"

หากจะพูดถึงทีม 3 ประสานในงานต่างประเทศที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแก๊งค์ 3 ช่าแห่งทำเนียบขาวในยุคของ 'โดนัลด์ ทรัมพ์' จะเป็นทีมไหนไปไม่ได้เลยนอกจากทีม ทรัมพ์ - ปอมเปโอ - โบลตัน อันประกอบด้วยตัวประธานาธิบดีเสี่ยใหญ่ 'โดนัลด์ ทรัมพ์' รัฐมนตรีต่างประเทศ 'ไมค์ ปอมเปโอ' และ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง 'จอห์น โบลตัน' ที่รับส่งนโยบายด้านต่างประเทศ สอดประสานกัน สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทุกมุมโลก

หากทีม 3 ประสานของทรัมพ์ นับเป็นทีมรวมดาวดังสายเหยี่ยว สไตล์เกรี้ยวกราดท้าชน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล 'โจ ไบเดน' ก็ได้วางทีม 3 ประสานของเขาไว้แล้ว ที่จะส่งผลต่อรูปแบบนโยบายการเมืองต่างประเทศของสหรัฐตามสไตล์การเล่นของประธานาธิบดีคนใหม่

โครงสร้าง 3 ประสานของโจ ไบเดน ได้วาง 'แอนโทนี บลินเคน' ไว้ในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และวางตัว 'เจค ซัลลิแวน' เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงประจำตัว ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นการรวมดาวของทีม ลับ ลวง พราง เบื้องหลังที่เคยทำงานร่วมกับไบเดนมานานเกือบ 20 ปี

                                                    แอนโทนี บลินเคน

.

ตามประวัติของ 'แอนโทนี บลินเคน' ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐ เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เกิดในนิวยอร์ค แต่ย้ายไปเรียนต่อที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส แล้วกลับมาเรียนต่อปริญญาตรีที่ฮาร์วาร์ด และด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศมาก และมีแนวคิดสนับสนุนการกลุ่มพันธมิตรแบบพหุภาคี และตลาดการค้าเสรี

ต่อมาบลินเคน ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในสภาฝ่ายความมั่นคงในปี 2002 และเป็นที่ที่เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของโจ ไบเดนเป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นไบเดนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสภาความมั่นคง จนเมื่อถึงสมัยของโอบาม่า โจ ไบเดน ได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี เขาดึงแอนโทนี บลินเคน มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำตัว ก่อนที่จะดันขึ้นไปนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ ให้กับฮิลลารี คลินตันในเวลาต่อมา

และคนที่มาแทนตำแหน่งที่ปรึกษาของไบเดน ต่อจากแอนโทนี บลินเคนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจค ซัลลิแวน นี่เอง

เจค ซัลลิแวน ก็เป็นหนึ่งในกุนซือฝ่ายต่างประเทศของพรรคเดโมแครตมาหลายปี เคยเป็นผู้ช่วยประจำตัวของฮิลลารี คลินตันมาก่อนที่จะมาทำงานคู่กับโจ ไบเดน ในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ที่มีส่วนสำคัญในการวางแผนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐในลิเบีย ซีเรีย และ พม่า

ดังนั้น ทั้งไบเดน - บลินเคน - ซัลลิแวน เคยทำงานในทีมเดียวกันมาก่อนในช่วงเวลา 8 ปีในสมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญของโลกหลายเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ที่ถือเป็นหนึ่งในผลงานสร้างชื่อเสียงที่ส่งให้บารัค โอบาม่า ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพในปีค.ศ.2009

แต่นอกเหนือจากภารกิจด้านสันติภาพ นโยบายต่างประเทศด้านอื่น ๆ ก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เช่นกระแสอาหรับสปริงในตะวันออกกลาง ที่สหรัฐมีส่วนสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในลิเบียเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี 'มูห์มา กัดดาฟี' คำสั่งปฏิบัติการเด็ดชีพ โอซามา บิน ลาเดน การสนับสนุนกลุ่มชาติพันธมิตรซาอุดิอารเบียใช้กำลังทหารแทรกแซงการเมืองในเยเมน การคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อตอบโต้การผนวกดินแดนไครเมีย หรือแม้แต่การส่งทหารเข้าร่วมฝึกกองรบให้กับกลุ่มกบฏในซีเรีย

ถึงแม้ผลงานเหล่านี้จะมีภาพของบารัค โอบาม่า หรือ ฮิลลารี คลินตัน เป็นแถวหน้า แต่เบื้องหลังในการขัดเกลานโยบาย หรือแสดงความเห็นสนับสนุนที่ปรึกษาคนสนิทมีส่วนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ แอนโทนี บลินเคน คือหนึ่งในผู้สนับสนุนแผนการบุกอิรักของสหรัฐในปี 2003 หรือการเพิ่มกำลังทหารในอาฟกานิสถานอีกกว่า 16,000 นายในสมัยของโอบาม่า

ดังนั้นสิ่งที่คาดเดาได้จากทีม 3 ประสาน ไบเดน - บลินเคน - ซัลลิแวน ก็ยังคงไว้ลายสายเหยี่ยว ไม่ต่างจากทีมเก่าของทรัมพ์ เพียงแต่รูปแบบในการดำเนินนโยบายจะแตกต่างกัน

                                                  เจค ซัลลิแวน

.

โจ ไบเดน เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของทรัมพ์ว่า เป็นนโยบายที่ทำให้สหรัฐเจ็บตัวมากกว่าได้ เพราะทรัมพ์ใช้ทุกทรัพยากร และอิทธิพลที่มีของสหรัฐชนศัตรูซึ่งๆหน้า ด้วยนโยบาย American First เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และการชนดะไม่ละเว้น ก็สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจในสหรัฐไม่น้อย ซึ่งไบเดนบอกว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้น

ดังนั้น 3 ประสานของไบเดน น่าจะเน้นนโยบายในการแทรกซึม ผ่านอำนาจขององค์กรระหว่างประเทศ หรือชาติพันธมิตรของสหรัฐอย่าง 'NATO EU' หรือ 'กลุ่มพันธมิตรซาอุดิอารเบีย' ในการเข้าร่วมกดดันประเทศที่สหรัฐถือว่าเป็นภัยคุกคาม อันได้แก่ จีน รัสเซีย อิหร่าน เป็นต้น

วิธีการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงหรือสนับสนุนกลุ่มกบฏในประเทศคู่ขัดแย้งอาจถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง รวมถึงกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ยืนอยู่ขั้วตรงข้าม ก็จะทวีความเข้มข้นขึ้นเช่นเดียวกัน

และดูจากประวัติการทำงานร่วมกันมาอย่างโชกโชนของ 3 ประสานชุดนี้ นับว่าแข็งแกร่ง และมีเป้าหมายชัดเจนพอที่จะทำให้โจ ไบเดน ประกาศออกมาได้อย่างมั่นใจว่า America is back! เรากลับมาแล้ว ที่ทั่วโลกจะต้องปรับเกมรับการเจาะสนามของ 3 ประสานทีมนี้ไว้ให้ดี มิฉะนั้น อาจมีสิทธิ์แพ้คาบ้านได้ง่าย ๆ


แหล่งข่าว

BBC

https://www.bbc.com/news/election-us-2020-55048975

Politico

https://www.politico.eu/article/nine-things-to-think-about-antony-blinken/

Wikipedia

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Antony_Blinken#cite_note-28

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Jake_Sullivan


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top