Sunday, 23 June 2024
NEWS

ร้านชาบูดัง ‘ปลาวาฬใจดี’ สาขาซอยมัยลาภ ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ค ยินดีรับชำระด้วย ‘ธนบัตรที่ระลึก’ ทุกชนิด หลังสาขาแกรนด์ โนนม่วง ขอนแก่น ประกาศไม่รับชำระด้วย ‘ธนบัตรที่ระลึก’ แต่กลับรับ ‘แบงค์เป็ด’ ของคณะราษฎร ใช้เป็นส่วนลดได้

โดยทางร้านปลาวาฬใจดี สุกี้&ชาบู "สาขาซอยมัยลาภ" ได้โพสผ่านเฟซบุ๊ค ระบุว่า

ประกาศ..จาก "สาขามัยลาภ (กทม.)"

ปลาวาฬใจดี สุกี้&ชาบู "สาขาซอยมัยลาภ" เป็นระบบเฟรนไชน์ ตั้งอยู่ที่ 129 ซอยประเสริฐมนูกิจ 29(รามอินทรา14หรือซอยมัยลาภ) เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร และเป็นคนละเจ้าของกับสาขาที่ขึ้นป้ายเกี่ยวกับธนบัตรที่ระลึก

ปลาวาฬใจดี สุกี้&ชาบู "สาขาซอยมัยลาภ" ขอแจ้งให้ทราบว่า ทางสาขาเรารับธนบัตรที่ระลึกเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกทุกชนิด ทุกราคา 1 บาท 10 บาท 50 บาท 100 บาท 500 บาทและ 1,000 บาท ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายที่ลูกค้านำมาใช้จ่าย ได้ตามปกติ

นอกจากนี้ ทางร้านปลาวาฬใจดี ยังร่วมแคมเปญ "โครงการคนละครึ่ง" และ "เราเที่ยวด้วยกัน" อีกด้วย

ที่มา : Facebook : ปลาวาฬใจดี สุกี้&ชาบู "สาขาซอยมัยลาภ"

‘หมอธีระ วรธนารัตน์’ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Thira Woratanarat วอนร้านอาหาร-ภัตตาคาร งดให้นั่งกินในร้าน แม้ภาครัฐไม่สั่งการ ย้ำเพื่อปกป้องกิจการของตัวเองด้วย

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เรียนท่านผู้ประกอบกิจการร้านอาหารและเครื่องดื่ม ภัตตาคาร และผู้บริหารโรงอาหารและศูนย์อาหารทุกท่าน

สถานการณ์ระบาดที่รุนแรงเช่นที่เราเห็นในปัจจุบัน ผมขอเรียนท่านตรง ๆ ว่า หากท่านเปิดให้คนมานั่งรับประทาน ไม่ว่าจะจัดการเช่นไร ก็จะยังคงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ครับ

ทั้งจากผู้ให้บริการ หรือจากลูกค้าไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนมีโอกาสติดเชื้ออยู่โดยไม่รู้ตัวได้ และหากเกิดขึ้น อาจส่งผลกระทบอย่างมากทั้งต่อกิจการของท่านเอง ลูกค้า รวมถึงคนอื่น ๆ ในสังคม

สิ่งที่เราควรทำตอนนี้คือ การเปิดบริการโดยขายเฉพาะให้นำกลับไปทานที่บ้าน (take away only) เท่านั้นครับ

ทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อปกป้องลูกค้าและสังคม แต่เป็นการปกป้องกิจการของท่านด้วยครับ

แม้รัฐไม่สั่งการ แต่เรารู้ว่ากำลังระบาดหนัก นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ท่านรอดได้ครับ มิฉะนั้นการระบาดซ้ำครั้งนี้จะมีโอกาสรุนแรงมาก และส่งผลกระทบในระยะยาว

หากท่านทำได้ โปรดช่วยกันทำเถิดครับ

ด้วยรักต่อทุกคน

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ขอบคุณข้อมูลและภาพ เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เดินหน้าเร่งดำเนินการทางกฎหมาย กับคนโพสต์ข้อความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับสถาบันฯ ทางสื่อออนไลน์ หลังแจ้งความนานกว่า 2 เดือน แต่ยังไม่คืบหน้า

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า ปี 2563 ที่ผ่านมา ตนไม่ได้นิ่งนอนใจหรือเพิกเฉยต่อกรณีการกระทำความผิดโพสต์ข้อความมีเนื้อหาและภาพไม่เหมาะสมเกี่ยวกับสถาบันฯ ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยได้เน้นย้ำให้กองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ(ปท.) กระทรวงดิจิทัลฯ ดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้นและส่งเรื่องต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งขอคำสั่งศาลส่งไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ดำเนินการทางกฎหมาย ไปแล้วนานกว่า 2 เดือน จึงอยากให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการสืบสวนนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ

ขณะที่พบว่าตั้งแต่เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2563 มีผู้โพสต์เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14(3),(5) รวมทั้งสิ้น 638 URLs (รายการ) พนักงานเจ้าหน้าที่พิสูจน์ทราบตัวตนบุคคลแล้ว 26 บัญชี ซึ่งได้แจ้งความให้ทาง ปอท.แล้ว และทราบว่าต้นเดือนนี้ปอท. เตรียมเรียก 9 รายมาสอบสวน ซึ่งพบว่าเป็นคนเดิมที่กระทำผิดซ้ำหลายครั้ง เจ้าหน้าที่จึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งจะเรียกรายอื่น ๆ ที่พิสูจน์ตัวบุคคลได้แล้วและจะเรียกพบเจ้าหน้าที่ในลำดับต่อไป

ขณะเดียวกัน ดีอีเอส ยังคงเดินหน้า แจ้งความเฟซบุ๊กและแพลตฟอร์มต่างชาติ 2 ราย ที่ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการปิดกั้นหรือลบข้อความไม่เหมาะสม ตามคำสั่งศาลที่พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งไป รวม 7 ชุด ทั้งหมด 8,443 URLs(รายการ) โดยFacebook มากสุด 5,494 URLs ลบข้อความบางส่วน แต่ยังคงเหลือ 2,387 URLs และTwitter คงเหลือจำนวน 611 URLs ซึ่งเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย 15 วัน โดยกระทรวงดิจิทัลฯได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับผู้ให้บริการทั้ง 2 รายต่อ ปอท.แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างเจ้าหน้าที่ดำเนินการสอบสวนตามกระบวนการกฎหมาย และประสานอัยการสูงสุด กรณีเฟซบุ๊ก ที่ล่าสุด อัยการสูงสุดได้รับเป็นคดีนอกราชอาณาจักรแล้ว

นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ประกาศล็อกดาวน์อังกฤษและสก็อตแลนด์ทั่วประเทศรอบใหม่ หลังโควิด-19 กลายพันธุ์ ดันยอดติดเชื้อพุ่ง

นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศรอบใหม่แล้ว เพื่อควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นและกำลังคุกคามระบบสาธารณสุขของอังกฤษอย่างรุนแรงในขณะนี้ โดยคำสั่งดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ในทันที

นายจอห์นสัน ได้ออกแถลงการณ์ ถ่ายทอดสดทั่วประเทศในวันจันทร์ (4 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นว่า ขอให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน และจะออกนอกบ้านได้ก็ต่อเมื่อต้องซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น ส่วนโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องปิดทำการ นอกจากนี้ ร้านค้าที่ไม่จำเป็น และธุรกิจบริการที่พักอาศัยจะต้องปิดทำการเช่นกัน

ทั้งนี้ คาดว่ารัฐบาลอาจจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงครึ่งหลังของเดือนก.พ. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาดหวังว่าผู้ที่อยู่ในบ้านพักคนชราทุกคน, ประชากรที่มีอายุเกิน 70 ปี และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าด้านสาธารณสุข จะได้รับการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด

อย่างไรก็ดี นายจอห์นสันยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับช่วงเวลาในการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และเรียกร้องให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเข้มงวด

ไวรัสโควิด-19 ชนิดกลายพันธุ์กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จนทำให้จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพุ่งขึ้นเกือบแตะระดับ 27,000 รายในอังกฤษ ซึ่งสูงกว่าในช่วงแรกเริ่มของการแพร่ระบาดในเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ล่าสุดนับจนถึงวันจันทร์ อังกฤษมีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มขึ้น 58,784 ราย เเละเป็นวันที่เจ็ดติดต่อกันที่พบผู้ติดเชื้อใหม่เกิน 50,000 คน ที่ผ่านมาอังกฤษพบผู้ติดเชื้อเเล้วกว่า 2.6 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตทั้งหมดมากกว่า 75,000 คนตามรายงานของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอพกินส์

ทั้งนี้ การประกาศมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่มีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากที่อังกฤษประเดิมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดเป็นประเทศแรกเมื่อวานนี้

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 5 มกราคม 2564 สำนักงบประมาณ เตรียมเสนอกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 กำหนดกรอบวงเงินไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2564 จำนวน 1.859 แสนล้านบาท

การประชุมครม. ผ่านระบบ Video Conference สำนักงบประมาณ เตรียมเสนอกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 หลังจากผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่มี สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 กำหนดกรอบวงเงินไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2564 จำนวน 1.859 แสนล้านบาท หรือลดลง 5.66% เป็นไปตามประมาณการจัดเก็บรายได้ที่ลดลงเหลือ 2.4 ล้านล้านบาท ภายใต้สมมุติฐานเศรษฐกิจขยายตัว 3.5% โดยยังมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 7 แสนล้านบาท ซึ่งในโครงสร้างของงบประมาณนี้ ส่วนใหญ่กว่า 75% เป็นงบประจำ โดยมีกรอบวงเงินงบประจำ อยู่ที่ 2.354 ล้านล้านบาท และมีงบลงทุนอยู่ที่ 6.49 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 19% ของวงเงินงบประมาณรวม

ส่วนวาระอื่นๆ กระทรวงพาณิชย์ เสนอร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ และกระทรวงแรงงาน เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้านและค้ำยัน และร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการและดำเนินการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง รวม 2 ฉบับ

ขณะที่ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอขยายเวลาประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่จะครบกำหนดในวันที่ 15 ม.ค.นี้ ออกไปอีก 45 วัน หรือประมาณสิ้นเดือน ก.พ. เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ตามมติของที่ประชุมศูนย์ ศบค. และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง

‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ลั่น ประชาชนไม่ใช่ภาระของประเทศ แต่คือประเทศ แนะแนวทางรับมือโควิด-19 จี้ รัฐเร่งเยียวยาทั่วถึง ‘ยึดหลักความได้สัดส่วนและเสมอภาค’ ชี้ ระยะสั้นใช้ 4 แสนล้าน ชดเชยถ้วนหน้า 3 พัน 3 เดือน

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จัดรายการเฟซบุ๊กไลฟ์พิเศษ ในหัวข้อ "ประเทศไทย 2021: ข้อเสนอจัดการโควิดและวิกฤติเศรษฐกิจ" เพื่อนำเสนอทางเลือกในการจัดการกับวิกฤติโรคระบาดไวรัสโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐ

โดยระบุว่า สถานการณ์ในขณะนี้มีความน่ากังวลเป็นอย่างมาก ถึงวันนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ล่าสุดมากถึง 745 คน วิกฤติดังกล่าวทำให้ตนต้องมาพูดถึงข้อเสนอในการจัดการ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดว่าประเทศไทยจะเดินหน้าไปทางไหนและจะใช้ชีวิตอย่างไรในปี 2564 นี้ ซึ่งในทางหลักการแล้ว การออกมาตรการต่างๆ ของภาครัฐจำเป็นจะต้องยึดหลักการที่สำคัญสองหลักการ นั่นคือ 1.ความได้สัดส่วน และ 2. การตั้งอยู่บนความเป็นธรรมและความเสมอภาค

ความได้สัดส่วน หมายความว่ามาตรการที่ออกมาจะต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่รุนแรงจนเกินเหตุ หรือไม่อ่อนจนเกินเหตุ เช่น ถ้าเราขอให้ประชาชนหยุดงานเพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนและให้ค่าชดเชยเพียงวันละ 100 บาท สิ่งนี้ไม่ได้สัดส่วน เพราะการเสียเวลาและโอกาสทางเศรษฐกิจต่อวันทีค่าสูงกว่านั้น

ส่วนเรื่องของความเสมอภาคเท่าเทียม หมายถึงการไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ให้คุณหรือไม่ให้โทษกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ ยกตัวอย่าง ถ้าบริเวณเดียวกันมีสถานที่สองแห่ง ที่หนึ่งถูกสั่งปิด แต่อีกที่หนึ่งมีลักษณะการใช้พื้นที่แบบเดียวกันแต่ไม่ถูกสั่งปิด นี่คือความไม่เสมอภาคและไม่เป็นธรรม

นายธนาธร กล่าวว่า การจะฝ่าฟันวิกฤติโควิดและวิกฤติเศรษฐกิจไปได้ด้วยกัน จะต้องรักษาความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นระหว่างรัฐบาลกับประชาชนให้เข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้สังคมไทยก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยความสามัคคี จะยึดหลักเรื่องนี้อย่างเคร่งครัดรัฐบาลต้องทำให้เห็น

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในปี 2563 นั้น มาตรการต่างที่รัฐบาลออกมาดูเหมือนจะยังไม่เคร่งครัดบนหลักความได้สัดส่วนและความเท่าเทียมเป็นธรรม เช่น กรณีการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการสินค้าดิวตี้ฟรีในสนามบิน มาตรการนี้ออกมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 เพื่อให้ผู้ประกอบการสินค้าปลอดภาษีในสนามบินได้รับการชดเชย ซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันกว่าที่ประชาชนจะได้รับเงินเยียวยา ก็ตกไปเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนเข้าไปแล้ว นอกจากนี้ การออกมาตรการในช่วงที่ผ่านมายังทำให้เห็นถึงความไม่เสมอภาค เช่น ในเขตปทุมวัน เราเห็นห้างสรรพสินค้าหลายห้างที่ยังได้รับอนุญาตให้เปิดบริการ แต่เราเห็นสถานศึกษาหลายแห่งถูกสั่งให้ปิดการเรียนการสอน ทั้ง ๆ ที่สถานที่ต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ในบริเวณเดียวกัน

นอกจากนี้ การปิดโรงเรียน 28 จังหวัดยังทำให้เกิดผลกระทบกับนักเรียนถึง 4.4 ล้านคน เป็นอย่างที่พวกเราทราบกันดี ว่ากลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดที่ได้รับผลกระทบจากการปิดการเรียนการสอนนี้ คือกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีที่จะทำให้โอกาสได้รับการศึกษา ในช่วงการเรียนออนไลน์ รวมทั้งกรณีในจังหวัดนครนายก ที่โรงเรียนและสถานศึกษาอื่น ๆ ถูกสั่งให้ปิด แต่โรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าไม่ถูกสั่งปิด

ในส่วนของปัญหาวัคซีน นายธนาธร กล่าวว่า ตอนนี้ที่เป็นข่าวอยู่คือทางรัฐบาลได้ร่วมมือกับ Siam Bioscience และบริษัท AstraZeneca ในการจัดหาวัคซีนสำหรับคนไทยจำนวน 26 ล้าน dose 1 คนใช้ 2 dose เพียงพอสำหรับคน 13 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด แผนนี้เราไม่เคยได้รับรู้รายละเอียดเลยว่าคนที่เหลือจะทำอย่างไร จะจัดสรรด้วยงบประมาณอย่างไร ที่จะทำให้คนได้วัคซีนอย่างถ้วนหน้าและเป็นธรรม ดังนั้นสิ่งที่จะต้องทำทันทีคือสร้างความชัดเจนในเรื่องนี้ ว่าวัคซีนในประเทศไทยจะเข้าถึงคนทุกคน จนทำให้เกิดภูมิต้านทานหมู่ขึ้นในประเทศไทยได้ เพราะประชาชนไม่ใช่ภาระของประเทศ ประชาชนคือประเทศ

นายธนาธร กล่าวต่อไปว่า ประการต่อมาจำเป็นที่เราจะต้องดูแลเรื่องความมั่นคงในชีวิตของประชาชน ในขณะที่ประชาชนกำลังดูแลกันเองอย่างเต็มกำลัง เพื่อทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ การเสียสละของประชาชนเป็นไปเพื่อส่วนรวม แต่กลับเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบและได้รับผลกระทบมากที่สุด

ดังนั้น เราจึงเสนอว่าการเยียวยาจะต้องไม่เป็นไปแบบเฉพาะกลุ่ม เราเสนอให้การเยียวยาเป็นไปอย่างถ้วนหน้า นั่นคือการเป็นรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าชั่วคราว (Temporary Universal Basic Income) 3,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน คิดเป็นวงเงิน 4 แสนล้านบาท งบประมาณในส่วนนี้ จากข้อมูลล่าสุดที่เรามีอยู่ เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทที่ได้รับการอนุมัติมาจากสภา มีการอนุมัติโครงการได้แล้ว 4.9 แสนล้านบาท เราเสนอว่าจำนวนเงินที่เหลือ 4 แสนล้านบาทเอามาตั้งเป็นรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า ส่วนที่เหลือกันไว้เพื่อนำไปซื้อวัคซีนสำหรับทุกคน

แจ้งความออนไลน์!! 3 สน. 'ปทุมวัน-บางรัก-ลุมพินี'​ เผุดไอเดีย​ นัดแจ้งความออนไลน์​ ไม่ต้องคอย​ เริ่ม​ 7​ ม.ค.

แจ้งความออนไลน์!!
3 สน. 'ปทุมวัน-บางรัก-ลุมพินี'​ เผุดไอเดีย​ นัดแจ้งความออนไลน์​ ไม่ต้องคอย​ เริ่ม​ 7​ ม.ค.

สำนักงบประมาณ ยืนยัน รัฐบาลตุนงบประมาณกว่า 6 แสนล้านบาท ทั้งจากงบกลางและเงินกู้ เพียงพอสู้โควิดระบาดรอบใหม่ ระบุหากไม่พอโอนงบส่วนราชการมาใช้เพิ่มได้ไม่ต้องห่วง

นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า รัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอดูแลเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ โดยมีวงเงินรวมกว่า 6 แสนล้านบาท จากงบกลาง 2564 และจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ ตนประเมินว่าวงเงินกว่า 6 แสนล้านบาท เพียงพอใช้ดูแลเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิดรอบนี้ เพราะเชื่อว่าประชาชนทุกภาคส่วนจะร่วมมือป้องกันการระบาด และการติดเชื้อต่อวันที่สูงกว่าปีที่แล้ว ทำให้ประชาชนระวังมากขึ้น เชื่อว่า ภายใน 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือนนับจากนี้ เราน่าจะเห็นตัวเลขติดเชื้อลดลง

และหากสถานการณ์ยืดเยื้อและรัฐบาลจำเป็นต้องใช้วงเงินเพิ่มก็สามารถดึงงบประมาณจากส่วนราชการมาใช้ได้อีก ซึ่งเหมือนปี 2563 ที่เราบังคับโอนงบประมาณมาใช้ได้ 8 หมื่นล้านบาท แต่ขณะนั้นเป็นช่วงยังไม่ออก พ.ร.ก.กู้เงิน แต่ขณะนี้มีวงเงินกู้ที่คงเหลือมากจึงเชื่อว่าจะเพียงพอและการบังคับโอนงบประมาณจากส่วนราชการเป็นทางเลือกสุดท้าย

ที่ผ่านมารัฐบาลได้เตรียมงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีการทยอยอนุมัติต่อเนื่องตั้งแต่การระบาดรอบแรก และในปัจจุบันมีงบประมาณที่ใช้รับมือการระบาดรอบใหม่ได้มาจาก 2 ส่วน วงเงินรวม 6.11 แสนล้านบาท ได้แก่ 

1.เงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจการคลังกู้เงินเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ขณะนี้เหลือวงเงิน 4.71 แสนล้านบาท 

2.งบกลางกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน พ.ศ.2564 ซึ่งอยู่ในอำนาจการอนุมัติของนายกรัฐมนตรี วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท

สำหรับงบกลาง 2564 ที่มีวงเงิน 1.4 แสนล้านบาท มาจากงบกลางปกติ 9.9 หมื่นล้านบาท และงบกลางที่กันออกมาสำหรับโควิด 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งงบกลาง 2564 เพิ่งใช้ไปเพียง 1,000 ล้านบาทเศษ

ส่วนวงเงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติไปแล้ว 5.25 แสนล้านบาท ยังเหลือ 4.71 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 3 แผนงาน คือ 

1.แผนงานเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาท อนุมัติไป 2.5 พันล้านบาท คงเหลือ 4.24 หมื่นล้านบาท 

2.แผนงานช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยให้ประชาชนรวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร วงเงิน 5.55 แสนล้านบาท อนุมัติแล้ว 3.86 แสนล้านบาท คงเหลือ 1.68 แสนล้านบาท 

3.แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4.4 แสนล้านบาท อนุมัติเงินไปแล้ว1.39 แสนล้านบาท คงเหลือ 2.6 แสนล้านบาท 

ทั้งนี้ พ.ร.ก.เงินกู้ฯ ได้ออกแบบไว้กรณีการระบาดโควิด-19 รอบใหม่จนต้องล็อคดาวน์หยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถโยกเงินแผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจไปแผนงานเยียวยาช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการได้

หัวหน้าพรรคก้าวไกล จัดหนักรัฐบาลต่อเนื่อง ชี้อยากมีอำนาจแต่ไม่อยากรับผิดชอบ ค้านปิดสภา ย้ำชัดสถานการณ์แบบนี้ฝ่าย ‘นิติบัญญัติ’ ยิ่งจำเป็น พร้อมระบุรัฐบาลที่เฉยชาต่อความเดือดร้อนประชาชน ไม่ควรได้บริหารประเทศอีกต่อไป

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยระบุว่า เป็นอีกครั้งที่สถานการณ์ในประเทศย่ำแย่ลง โดยที่ประชาชนทั้งประเทศต่างตระหนักรู้กันดีว่าไม่ได้เกิดจากการที่พวกเขาการ์ดตก แต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเองที่หละหลวมซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความรับผิดชอบใด ๆ รวมถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กลับทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมด้วยการกล่าวโทษทั้งแรงงานข้ามชาติและประชาชนว่าเป็นใจกลางของปัญหา ขณะที่นายกรัฐมนตรีไม่เคยมองเห็นความผิดพลาดของตนเองเลย

นายพิธา ยังกล่าวว่า ล่าสุดที่วิปรัฐบาลมีมติให้ปิดการประชุมรัฐสภาเป็นเวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์นั้น พรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติจะหยุดชะงักไม่ได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์คับขันของประเทศชาติที่กำลังต้องการมาตรการที่รวดเร็วมีประสิทธิภาพ เวลานี้ต้องบอกว่าประชาชนกำลังหมดความเชื่อมั่นและศรัทธาต่อรัฐบาลอย่างถึงที่สุดแล้ว ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนจึงจำเป็นมาก เพื่อจะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและทวงถามถึงความรับผิดชอบของฝ่ายบริหารต่อปัญหาที่พวกเขาละเลย ไม่ว่าต้นเหตุของความย่อหย่อนที่ต้องค้นหาความจริงว่าใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างชาติ หรือใครบ้างที่เปิดทางให้มีบ่อนเกิดขึ้นทั่วภาคตะวันออกซึ่งเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อว่า ผู้นำประเทศและพี่น้องจากค่าย ‘บูรพาพยัคฆ์’ ผู้พิทักษ์ชายแดนตะวันออกของเรานั้นจะไม่สามารถเอาผิดเจ้าของบ่อนเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้แม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ หากสภายังคงเปิดเพื่อให้ ส.ส.ได้ทำหน้าที่ การพิทักษ์รักษาผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนก็จะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น 

“เข้าใจดีว่าหลายคนกำลังห่วงเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด พรรคก้าวไกลจึงมีข้อเสนอให้สภาเปิดการประชุมแบบ social distancing ด้วยการให้แต่ละพรรคส่งตัวแทน ส.ส.ส่วนหนึ่งมาประชุมให้จำนวนเพียงพอครบองค์ประชุมและให้นั่งห่างกัน จุดประสงค์เพื่อให้ที่ประชุมสามารถแก้ข้อบังคับให้ประชุมออนไลน์ได้ เพราะในขณะนี้มีกฎหมายสำคัญและเป็นความหวังอย่างยิ่งต่อพี่น้องประชาชนที่จ่อคิวรอให้สภาแก้อย่างเร่งด่วนเพื่อรับมือปัญหาโควิดให้ได้อย่างทันท่วงที เช่น การแก้ พ.ร.ก.soft loan เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ เพื่อพยุงธุรกิจหรือพยุงการจ้างงานได้ ซึ่งเรื่องนี้จริงๆ ควรจะได้รับการแก้ไขตั้งแต่ปีที่แล้ว นอกจากนี้ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณา ร่างพ.ร.บ.โอนงบประมาณ หรือเกลี่ยก่อนกู้กันอีกครั้งเพื่อให้มีเงินนำมาใช้ในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจในสถานการณ์แบบนี้” 

นอกเหนือจากข้อเสนอให้เปิดสภาต่อไปแล้ว หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังแสดงความกังวลต่อแนวทางการรับมือสถานการณ์โควิดของรัฐบาลในเวลานี้ โดยระบุว่ามีปัญหา 3 ด้านสำคัญ คือ 

1.รัฐบาลต้องการมีอำนาจแต่ไม่ต้องการรับผิดชอบใด ๆ เช่น การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ให้ผู้ว่าราชการมีอำนาจสั่งการซึ่งสามารถทำมากกว่าคำสั่ง ศบค.ก็ได้ ทำให้แต่ละจังหวัดมีรายละเอียดมาตรการไม่เหมือนกันจนประชาชนเกิดความสับสน หรือกระทั่งบางจังหวัดออกมาตรการเข้มจนไม่แตกต่างจากการปิดเมืองหรือล็อกดาวน์ ซึ่งการปิดเมืองของผู้ว่าฯด้วยการอ้างอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะแตกต่างจากการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรค เพราะอย่างหลังต้องมีการชดเชยเยียวยาประชาชนอย่างเป็นระบบ ขณะที่การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ สอดคล้องกับล่าสุดที่ โฆษก ศบค. พูดว่า ไม่ใช้คำว่าล็อกดาวน์เพราะถ้าบอกว่ามีการล็อกดาวน์แล้วจะต้องเยียวยา ยิ่งสะท้อนว่า รัฐบาลไม่ต้องการรับผิดชอบอะไรจากการใช้อำนาจของตนเอง แต่ยังคงต้องการใช้อำนาจอย่างเต็มที่เพื่อหวังค้ำยันความมั่นคงของตนเอง

2. รัฐบาลแก้ปัญหาแบบผิดทิศผิดทาง หลายอย่างที่ทำตอนนี้คือการเลี่ยงบาลี นั่นคือ การล็อกดาวน์ต้องบอกว่าเกิดขึ้นแล้วในภาคปฏิบัติ แม้ไม่เรียกว่าอย่างนั้นก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันภาครัฐกลับไม่มีมาตรการรองรับที่ตามมา เช่น มีมาตรการควบคุมและคำสั่งปิดสถานประกอบการหลายประเภท แต่กลับไม่ล็อกดาวน์หนี้สินหรือค่าเช่าของประชาชนและผู้ประกอบการ มีความล่าช้าในการแก้ไข พ.ร.ก.soft loan เพื่อให้ช่วย SMEs ที่กำลังหมดลมหายใจให้กลับมามีแรงเดินต่อ โชคร้ายอย่างยิ่งที่ความล่าช้านั้นทำให้เราต้องเห็นผู้ประกอบการหลายรายหมดลมหายใจไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ขณะที่บางรายเพิ่งหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตาเมื่อสักครู่นี้ ที่ผ่านมา พ.ร.ก.นี้มุ่งช่วยเฉพาะธนาคารและลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารเท่านั้น นอกจากนี้ การใช้จ่ายเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด ยังมีความคืบหน้าน้อยมาก โดยเฉพาะแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท มีโครงการที่เบิกจ่ายไปแล้วเพียงสองหมื่นล้านบาทเท่านั้น แถมยังยังนำไปใช้จ่ายในโครงการลักษณะสะเปะสะปะ ไม่ได้ตรงจุดประสงค์อย่างแท้จริงและไร้ประสิทธิภาพ ในเมื่อรัฐบาลแสดงความกังวลว่าจะนำเงินที่ไหนมาเยียวยาประชาชน ก็ให้นำงบประมาณที่เหลืออยู่เกือบ 5 แสนล้านบาทมาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนแทน

3. รัฐบาลแก้ปัญหาผิดซ้ำซาก ไม่มีการถอดบทเรียนจากอดีต จากต้นปีที่แล้วที่มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ รัฐบาลควรจะต้องรู้ได้แล้วว่าจะมีใครได้รับผลกระทบบ้าง และควรต้องรู้ว่าจะจัดกระบวนการเยียวยาให้รวดเร็วและทั่วถึงได้อย่างไร ดังนั้น ในครั้งนี้เมื่อภาครัฐมีคำสั่งปิดสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการที่คำสั่งเหล่านั้นส่งผลต่อเนื่องให้หลายภาคธุรกิจต้องหยุดชะงัก ใครจะเดือดร้อนเป็นกลุ่มแรก หรือใครจะเป็นกลุ่มที่ตามมา รัฐบาลควรต้องมีมาตรการรองรับ และสื่อสารอย่างชัดเจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขาอยู่กับความกังวล สิ้นหวัง หรือกระทั่งกลายเป็นการตอบโต้กลับโดยการไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งจะยิ่งกลายเป็นผลร้ายที่สะท้อนกลับมายังมาตรการสาธารณสุขเอง

“ล่าสุดที่ พลเอกประยุทธ์บอกให้ประชาชนอยู่บ้านเฉยๆ สองสัปดาห์ถ้าไม่อยากติดโควิด สะท้อนชัดว่าท่านไม่เข้าใจหัวอกและไม่เคยไปนั่งอยู่ในหัวใจของพวกเขาเลย ท่านจึงไม่รู้ว่ายังมีคนจำนวนมากที่หาเช้ากินค่ำ รับจ้าง เป็นพ่อค้าแม่ขาย การหยุดงานแค่เพียงวันเดียวก็หมายถึงไม่มีอะไรกินวันนั้น นั่นยังไม่ต้องพูดถึงอนาคตอีกสองสัปดาห์ว่าจะอยู่อย่างไร แต่ถึงตอนนี้รัฐบาลกลับยังไม่พูดถึงมาตรการช่วยเหลือเยียวยาใด ๆ เลย รัฐบาลที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความเดือดร้อนของประชาชน คือรัฐบาลที่ไม่สมควรบริหารประเทศนี้อีกต่อไปอีกแม้แต่เพียงนาทีเดียว” พิธา กล่าวทิ้งท้าย

หลังมีข่าวลือหนาหูว่า ผู้ที่ได้สิทธิ ‘คนละครึ่ง’ และ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ล่าสุด รองโฆษกรัฐบาล ‘รัชดา ธนาดิเรก’ โพสต์เฟซบุ๊ค ย้ำ คณะรัฐมนตรีมีมติยกเว้นภาษีแล้ว

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ระบุว่า ที่ลือกันว่าผู้เข้าร่วมโครงการ คนละครึ่ง รับเงิน 3,500 บาท และ เราเที่ยวด้วยกัน รับสนับสนุนค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าอี-วอเชอร์ จะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่เป็นความจริง!

พร้อมระบุว่า กระทรวงการคลัง แจ้งประชาชนที่ได้รับสิทธิ จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยด้วยว่า ครม. และกระทรวงการคลังเห็นชอบให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้จากโครงการ “คนละครึ่ง” จำนวน 3,000 บาท ในปีพ.ศ.2563 และโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่ได้รับส่วนลดค่าที่พักโรงแรม และคูปองค่าอาหาร อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการยกร่างกฎหมายเสนอให้ ครม. เห็นชอบต่อไป ซึ่งเร่งดำเนินการอยู่แต่ไม่ทันภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากมีการขยายมาตรการหลายครั้ง จึงต้องประมวลมาตรการทั้งหมดทั้งโครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และมาตรการของขวัญปีใหม่ ที่ได้เป็นเงินช่วยจากหน่วยงานจองรัฐ หรือ ธนาคารของรัฐ เพื่อร่างกฎหมายเสนอกระทรวงการคลังและ ครม. เว้นการเก็บภาษีเงินได้ดังกล่าวในคราวเดียว

"รายได้ที่ได้จากโครงการคนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน ไม่ต้องเสียภาษีแน่นอน ผู้ที่ยื่นภาษีไม่ต้องนำรายได้ดังกล่าวมาเสียภาษี เพราะประกาศที่กรมสรรพากรจะขอให้ ครม. เห็นชอบจะมีผลย้อนหลัง โดยจะมีการยกเว้นภาษีสำหรับเงินที่ได้รับในปีภาษีพ.ศ.2563 ซึ่งต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีในปีพ.ศ.2564 และเงินได้ที่ได้รับในปีภาษีพ.ศ.2564 ซึ่งต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีในปีพ.ศ.2565 ด้วย" นายเอกนิติ กล่าว

อุ่นใจใบขับขี่หมดอายุ ไม่โดนจับ รมว.คมนาคม ‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ สั่งกรมการขนส่งทางบก ผสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผ่อนผันกรณีใบขับขี่หมดอายุ ระหว่างที่มีการงดให้บริการต่ออายุ เพื่อสกัด โควิด-19 ถึง 31 มี.ค. 64

จากกรณีที่กรมขนส่งทางบก ประกาศ งดการให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถ งดการอบรมสำหรับการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถ บัตรประจำตัวคนขับรถ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถทุกชนิด ตั้งแต่ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2564 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19)

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ให้นโยบายกับกรมการขนส่งทางบก ให้แจ้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอผ่อนผันการใช้กฎ ระเบียบข้อบังคับ คำสั่ง จากการที่ใบอนุญาติขับรถหมดอายุ เพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก จึงได้ทำหนังสือถึง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า กรมการขนส่งทางบกขอเรียนว่า การงดให้บริการด้านใบขับขี่ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไป อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค อย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดผลเสียหาย อย่างร้ายแรงต่อสาธารณชน

จึงเป็นเหตุจำเป็นอันไม่ได้เกิดขึ้นจากผู้ที่มีความประสงค์ขอต่อใบอนุญาตขับรถในช่วงที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน และไม่ใช่ความผิดของผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถที่สิ้นสุดอายุ หรือครบอายุระหว่างการงดการให้บริการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ดังนั้น เพื่อเป็นการให้สิทธิ์กับผู้รับผลกระทบในสถานการณ์ดังกล่าว จึงใคร่ขอ ความกรุณาท่าน ได้โปรดมีข้อสั่งการ ให้ผ่อนผันการใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งใดให้กับผู้ได้รับ ใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถ ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก จนถึงวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2564

‘พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา’ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ค ‘เหรียญทอง แน่นหนา’ เสนอแนวคิดใช้โรงพยาบาลทหารในพื้นที่สีแดง เป็น 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19' แยกจากโรงพยาบาลทั่วไป

ผมมีความเห็นส่วนตัวว่าจะต้องมี 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19' ประจำพื้นที่สีแดงเพื่อรับการส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 จาก รพ.หรือสถานพยาบาลทั่วไปในพื้นที่สีแดง ทั้งนี้เพื่อให้ รพ.หรือสถานพยาบาลทั่วไป ยังคงขีดความสามารถในการรักษาผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่ติดเชื้อโควิด-19 ได้ตามปกติ อย่าปล่อยให้ทุก รพ.ในพื้นที่สีแดงทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยทั้งโควิดและไม่โควิดครับ

เพราะจะทำให้ทุก รพ.บริหารทรัพยากรทั้งบุคคล อุปกรณ์ และสถานที่อย่างยากลำบาก สิ้นเปลืองทรัพยากรในขณะที่ขีดความสามารถทางการแพทย์กลับพร่องลง

ทั้งนี้ 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19' ในพื้นที่สีแดง ไม่จำเป็นต้องมีหลายแห่ง มีเพียงแค่ 1 แห่งก็พอ แต่ขอให้มีขีดความสามารถทางการแพทย์ในระดับทุติยภูมิที่ครบทุกสาขาหลัก(Major specialty) คือ สูตินรีเวช-ศัลยกรรม-อายุรกรรม-กุมารเวชกรรม โดย 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19'

ในพื้นที่สีแดงจะแปรสภาพมาจาก รพ.ทั่วไปในพื้นที่สีแดงตามแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดโดยคณะแพทย์ประจำจังหวัดพื้นที่สีแดงเห็นสมควร 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19' ประจำพื้นที่สีแดงจะไม่รักษาผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อโควิด-19 นะครับ การแยกให้ชัดเจนเช่นนี้จะทำให้สามารถบริหารทรัพยากรทั้งบุคคล อุปกรณ์ และสถานที่อย่างมีประสิทธิภาพ ง่ายต่อการปฏิบัติ ในขณะที่ขีดความสามารถทางการแพทย์จะยังคงมีประสิทธิผล

ทั้งนี้ 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19' ประจำพื้นที่สีแดงจะต้องสมทบด้วย รพ.สนาม เพื่อเป็นหอผู้ป่วยสามัญรวมที่มีจำนวนเตียงมาก ๆ เพื่อการหมุนเตียง แบ่งเบาผู้ป่วยติดเชื้อที่อาการดีขึ้นแล้วออกจาก 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19' แต่ยังกลับบ้านไม่ได้เพื่อการกักกันจนกว่าจะปลอดเชื้อ และเพื่อให้ 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19' สามารถดูแลรักษาผู้ติดเชื้อที่มีอาการที่ต้องได้รับการ.รักษาอย่างใกล้ชิดไม่เป็นภาระงานจนเกินควร ...

โดยส่วนตัวผมเห็นว่า รพ.ทหาร มีความเหมาะสมที่สุดที่จะเป็น 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19' อย่างไรก็ตามต้องสุดแล้วแต่การพิจารณาของคณะแพทย์ประจำจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดงจะพิจารณานะครับ

ในกรณีที่พื้นที่สีแดงเป็นจังหวัดติดต่อกันหลายจังหวัดก็สามารถใช้ 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19 ประจำกลุ่มจังหวัดสีแดงที่ติดต่อกันร่วมกัน เพื่อการรวมศูนย์ก็สามารถทำได้...สำหรับเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น เช่น กรุงเทพมหานคร โดยส่วนตัวของผมแล้วเห็นว่า 'รพ.ทหารผ่านศีก' มีความเหมาะสมที่สุดที่จะเป็น 'รพ.เฉพาะผู้ป่วยโควิด-19' แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเพิ่มเติมทรัพยากรกำลังพล เครื่องมือ...นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ เป็นเพียงแบบจำลองเท่านั้น

สถานการณ์ระบาดระลอกใหม่นี้เปรียบเสมือนการรบประชิดที่ข้าศึกอยู่ในเมืองแล้ว ดังนั้น รพ.และสถานพยาบาลทุกแห่งโดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ล้วนเผชิญหน้าข้าศึกที่จะพรั่งพรูดาหน้าคุกคามต่อเนื่องตลอดเวลา

สถานการณ์เช่นนี้เป็นสถานการณ์ตั้งรับเพื่อประคับประคอง ลดอัตราการสูญเสียชีวิตให้มากที่สุด รอวัคซีน จากนั้นจึงรุกโต้ตอบด้วยการระดมฉีดวัคซีนจำนวนมาก (Mass immunization) แก่ประชาชนให้ได้มากกว่า 70%ของประชากรในพื้นที่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันมวลชนหรือให้เกิด Herd Immunization ในการโต้ตอบโควิด-19 ครับ...สถานการณ์นี้ต้องตั้งรับประคับประคองเพื่อรอตีโต้ตอบครับ...ขอเป็นกำลังใจทุกท่าน สู้ไปด้วยกัน อย่าขวัญตกจิตฝ่อนะครับ


ที่มา Facebook : เหรียญทอง แน่นหนา

อินเดียผลิตวัคซีน Covid-19 ในชื่อว่า "Covaxin" ถือเป็นวัคซีนตัวแรกที่ผลิตได้เองในประเทศ ทดสอบแล้วปลอดภัย ตั้งเป้าผลิตอย่างน้อย 300 ล้านโดสในปีนี้

อินเดียอนุมัติวัคซีน Covid-19 จาก 2 บริษัท ให้สามารถฉีดในประเทศได้แล้ว สำหรับประชาชนกลุ่มแรก ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เป็นกรณีฉุกเฉินแล้ว ซึ่งวัคซีนเจ้าแรก เป็นของ AstraZeneca ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ส่วนของบริษัทที่สองเป็นวัคซีนของอินเดียเองที่พัฒนาโดยบริษัท Bharat Biotech จากไฮเดอราบัด ที่ชื่อว่า "Covaxin"

วัคซีนทั้ง 2 บริษัทได้ผ่านการพิจารณาจากองค์การยาของรัฐบาลแล้วว่าสามารถฉีดให้กับชาวอินเดียได้อย่างปลอดภัย และต้องฉีด 2 เข็มเหมือนกัน

นับเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของทีมพัฒนาวัคซีนที่สามารถเข็นวัคซีน Covid-19 ออกมาได้ทัน ไล่เลี่ยกับวัคซีนของชาติตะวันตก ซึ่ง Covaxin เป็นวัคซีน Covid-19 ตัวแรกที่ผลิตได้เองในประเทศ นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาวอินเดีย

เส้นทางสู่ความสำเร็จของ Covaxin ของอินเดีย เริ่มทดลองกับมนุษย์ครั้งแรกในวันที่ 30 มิถุนายน ปีที่แล้ว และจบการทดสอบเฟส 2 ช่วงเดือนตุลาคม ที่รายงานว่าประสบความสำเร็จด้วยดี และเดินหน้าสู่การทดสอบเฟสสุดท้าย

ในช่วงเดือนพฤศจิกายน และได้ยื่นคำร้องเพื่ออนุมัติการใช้วัคซีนแล้วตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม พร้อมยืนยันว่าวัคซีนมีความปลอดภัย พร้อมฉีดให้กับชาวโลก และตั้งเป้าผลิตให้ได้อย่างน้อย 300 ล้านโดสในปีนี้

ทันทีที่มีการอนุมัติวัคซีน ทั้ง AstraZeneca และ Covaxin นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ ได้ออกมากล่าวชื่นชมผลงานวัคซีนของอินเดีย พร้อมแสดงความมั่นใจว่า นี่จะเป็นก้าวสำคัญที่จะพาอินเดียรอดพ้นจากวิกฤติ Covid-19 ให้ได้ โดยวัคซีนล็อตแรกที่จะฉีดให้กับชาวอินเดียกลุ่มแรกมีจำนวน 300 ล้านโดส ที่จะเริ่มทยอยฉีดได้ครบภายในสิงหาคมปีนี้

อินเดีย เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 หนักเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ แต่ด้วยประชากรที่มีจำนวนมากถึง 1.3 พันล้านคน ที่เป็นโจทย์ที่ท้าทายมากในการควบคุม Covid-19 ในประเทศนี้ การพึ่งพาวัคซีนจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียวอาจไม่ทันการ

แต่หากอินเดียสามารถผลิตวัคซีนได้เอง ที่มีประสิทธิภาพไม่ต่างจากวัคซีนของต่างประเทศ ก็จะช่วยให้อินเดียสร้างความด้านสาธารณะสุขด้วยลำแข้งตนเอง ทำให้อินเดียสามารถหลุดพ้นวิกฤติ Covid-19 ได้เร็วกว่าชาติอื่นก็เป็นได้


แหล่งข้อมูล

https://indianexpress.com/.../explained-oxford-sii.../

https://www.aljazeera.com/.../india-approves-astrazeneca...

https://www.moneycontrol.com/.../covid-19-vaccine-tracker...

ที่มา: หรรสาระ By Jeans Aroonrat

ธุรกิจร้านอาหาร แค้นใจ ไม่ใช่ต้นตอแต่รับเคราะห์ทุกที | News​ มีนิสส​ More​ Minutes Contrast

ธุรกิจร้านอาหาร แค้นใจ ไม่ใช่ต้นตอแต่รับเคราะห์ทุกที

.

ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ‘เนวิน ชิดชอบ’ มอบหน้ากากอนามัยกว่า 6 หมื่นชิ้น ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้สำหรับแจกประชาชน หากพบใครไม่ใส่หน้ากากอนามัยออกจากบ้าน ต้องบำเพ็ญประโยชน์ก่อนแจกฟรี

เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มอบหน้ากากอนามัย จำนวน 68,000 ชิ้น ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตั้งด่านตรวจ มอบให้กับประชาชาชนที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย ออกมาในที่สาธารณะ

โดยมีเงื่อนไขว่า บุคคลที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ จะต้องถูกทำโทษทางสังคม โดยต้องบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อสังคม 30 นาที (เช่น เก็บขยะ ทำความสะอาดสถานที่สาธารณะ) แล้วจึงจะแจกหน้ากาก ฟรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top