Tuesday, 2 July 2024
อานนท์นำภา

‘อานนท์ นำภา’ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง ‘ทูตเยอรมัน’ ชี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม-ใช้คุกเป็นเครื่องมือปิดปาก!

(27 ธ.ค. 64) เฟซบุ๊ก ‘อานนท์ นำภา’ โพสต์ข้อความระบุเป็น ‘จดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชทูตประจำประเทศเยอรมนี ฉบับที่1’ กล่าวถึง ชีวิตในเรือนจำของนักโทษการเมือง ระบุขอบคุณสถานทูตเยอรมันที่เฝ้าติดตามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย พร้อมชี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม คุกกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปาก โดยระบุว่า..

“จดหมายเปิดผนึก ถึงท่านเอกอัครราชทูตประจำประเทศเยอรมนี ฉบับที่1

กลางดึกคืนหนึ่งปลายปี ลมหนาวพัดเอื่อยๆผ่านลูกกรงเข้ามาทางห้องขังแดน 4 เพื่อนผู้ต้องขังหลายคนหลับไปแล้ว จะมีก็แต่เพนกวินที่นอนอ่านหนังสือเรียนของเขาอยู่ ส่วนหนังสือเตรียมสอบทนายของไผ่ ถูกเอามาพันผ้าห่มใช้แทนหมอนหลังจากเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ศาลไม่ให้เขาประกันตัวออกไปสอบตั๋วทนาย ซึ่งได้สอบกันไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา 

ชีวิตในเรือนจำของพวกเรานักโทษทางการเมือง ยังคงดำเนินต่อไป หลังจากมันดำเนินมาสักระยะหนึ่งตั้งแต่การลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมเมื่อกลางปีที่แล้ว คุกจึงกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปาก ไม่ให้เรียกร้องหรือใฝ่ฝันถึงสังคมที่ดีงามอย่างที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม กระผมต้องขอขอบคุณทางสถานทูตเยอรมันที่ยังเฝ้าติดตามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยตลอดมา สัปดาห์ที่แล้วที่ผมขึ้นศาล ผมได้พบกับเจ้าหน้าที่ทูตของท่านและได้รับกำลังใจ รวมถึงความห่วงใยอย่างดียิ่ง นอกจากนี้ยังทราบว่าหลายประเทศในยุโรปยังคงติดตามสถานการณ์ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างใกล้ชิด

ในประเทศที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพ การจองจำนักศึกษา ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยก็จะมีให้เห็นอยู่เช่นนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองของไทย แทบไม่เคยมีการเปิดพื้นที่ให้การพูดคุย ผู้มีอำนาจจากอดีตถึงปัจจุบัน ก็ยังคงใช้ความรุนแรง ทั้งที่เป็นอาวุธและในนามของกฎหมาย ทำร้ายและทำลายพวกเราอย่างไร้มนุษยธรรม 

กระผมทราบว่าในประเทศของท่านได้ผ่านช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อันเป็นบทเรียน ทำให้ประเทศของท่านเข้มแข็ง เรียนรู้ ต่อสู้กับผู้ปกครองที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนเปลี่ยนผ่านมาสู่การเป็นประเทศที่เป็นเสาหลักด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสง่างาม ทั้งยังให้ความสำคัญต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่บัญญัติไว้ในมาตราแรกของรัฐธรรมนูญแห่งเยอรมนี ซึ่งแตกต่างกับประเทศของกระผมที่แม้มีรัฐธรรมนูญ ให้สิทธิ เสรีภาพแต่ก็หาใช้ได้จริงไม่ เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองถูกทำลายลงด้วยอาวุธปืน น้ำผสมสารพิษและกระบวนการทางศาล

กล่าวโดยเฉพาะ ภายหลังการลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเรา รัฐได้ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม จับกุมคนที่แสดงความเห็นโดยสุจริตจำนวนมาก ยัดข้อหาที่ไม่เป็นธรรม จนกระทั่งในขณะที่เขียนจดหมายถึงท่านอยู่นี้ กระผมกับเพื่อนๆก็ยังถูกขัง เพียงเพราะออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตย บางคนถูกฟ้องเพียงเพราะใส่เสื้อคร็อปท็อป แม้กระทั่งนักศึกษาที่เดินทางไปยื่นหนังสือที่สถานทูตของท่านก็ยังถูกฟ้องและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำหญิงแห่งหนึ่ง

ชะตากรรมของพวกเรา มิได้เกินความคาดหมาย เมื่อคำนึงถึงความโหดร้ายของชนชั้นปกครองในอดีต เพียงแต่อาจจะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้างก็ตรงที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เห็นถึงความจริงใจที่พวกเราออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้น การพูดอย่างตรงไปตรงมาของพวกเรา ยังถูกมองเป็นความรุนแรง ขณะที่การใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมโดยรัฐถูกมองเป็นเรื่องปกติ 

ขณะเดียวกัน ศาลที่เคยให้ความยุติธรรมในอรรถคดีทุกเรื่อง พอมาถึงการบังคับใช้มาตรา 112 กลับเป็นข้อยกเว้นแห่งความยุติธรรม เป็นเสมือนหลุมดำที่บรรดาตุลาการมิอาจมีเรี่ยวแรงฝ่าข้ามไปได้

ลมหนาวอีกระลอกของคืนนี้พัดมาแล้ว เสียงกรนของเพื่อนๆยังคงขับกล่อมห้องขังอยู่ กระผมต้องจบจดหมายฉบับแรกเพียงเท่านี้และหากไม่เป็นการรบกวนท่านจนเกินไป กระผมหวังว่าท่านจะได้โปรดตอบจดหมายหรือเขียนมาบอกเล่าเรื่องราวของโลกภายนอกให้กระผมและเพื่อนๆฟังในเรือนจำ

ในโอกาสปีใหม่ที่ใกล้จะถึง กระผมขอส่งความสุข ความปรารถนาดีมายังท่านและฝากไปถึงพี่น้องชาวเยอรมันทุกคน หวังว่าท่านจะได้รับจดหมาย ตลอดจนพรปีใหม่นี้ 
พบกันใหม่ในฉบับหน้า

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
อานนท์ นำภา
แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 
27 ธ.ค. 2021

'บก.ลายจุด' ถาม "เอาเลยไหม จัดสักนัดไล่ รมต.ชัยวุฒิ" ด้าน 'อานนท์ นำภา' บอก "อยากปะทะแก๊สน้ำตาว่ะ"

จากกรณีที่นายชัยวุฒิ​ ธนาคมานุสรณ์​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม​ (ดีอีเอส​) กล่าวถึงกรณีหากมีม็อบออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ 30 กันยายน ที่ ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครบ 8 ปี

โดยนายชัยวุฒิ ระบุว่า “ถ้าไม่อยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย หรือเกิดการกระทบกระทั่งกันจนถึงขั้นบาดเจ็บ ก็ไม่อยากให้ออกมาเคลื่อนไหวกันในช่วงนี้ และตอนนี้ก็เป็นช่วงที่ประชาชนหลายคนเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วม และปัญหาต่างๆ รัฐบาลอยากจะทำหน้าที่ให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า และหากไม่พอใจรัฐบาลก็อยากให้ใจเย็นๆ เพราะอีกไม่กี่เดือนจะถึงช่วงของการเลือกตั้งแล้ว พร้อมเตือนว่า “ถ้าเคลื่อนไหวมากๆ ระวังจะไม่ได้เลือกตั้งนะ”

ทำให้ ด้านนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด หัวหน้าพรรคเกียน นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดัง โพสต์ข้อความว่า นายชัยวุฒิเหมาะที่จะถุกจัดการชุมนุมเพื่อขับไล่ พร้อมโพสต์เชิงสอบถามผู้ติดตามว่า จะจัดชุมนุมกันเลยดีไหม?

“บุคคลๆ นี้ควรมีม็อบไล่เป็นของตนเองสักครั้ง นัดเลยดีมััย?” นายสมบัติกล่าว

‘อานนท์’ ลั่น!! ถ้า ‘ก้าวไกล’ ถอยเรื่องแก้โครงสร้างการเมือง เลือกตั้งคราวหน้าก็เตรียมตัวสูญพันธุ์เหมือนกับพรรคอื่นๆ

วันที่ (30 มิ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวการเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า…

“ถ้าก้าวไกลถอยเรื่องการแก้ไขโครงสร้างอำนาจของสถาบันการเมือง ก็ไม่ต่างอะไรกับพรรคการเมืองอื่นๆ เลือกตั้งครั้งหน้าก็เตรียมสูญพันธุ์เช่นกัน

การจะแก้ไขโครงสร้างอำนาจมันก็ต้องทำในสภา ถ้าไม่ได้ตำแหน่งประธานสภา ก็ยากที่จะทำได้ สักพักไปเจอการเตะถ่วงร่างกฎหมาย การเบรคไม่ให้อภิปราย ทุกอย่างก็จบ

ถ้าเพื่อไทยเห็นจุดนี้และอยากร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยก็ควรถอยเรื่องประธานสภา ให้ก้าวไกลเป็นหัวหอกเรื่องนี้ โดยมีเพื่อไทยเป็นกองหนุนและทำงานด้านปากท้องแบบที่เพื่อไทยอ้างว่าถนัดและทำเป็น แบบนี้สังคมจะได้ประโยชน์กว่า

เว้นเสียแต่ว่าเราไม่มีความฝันร่วมกัน สภาพมันจึงเป็นเช่นที่เราเห็นตอนนี้”
 

‘ศาลฯ’ สั่ง ‘อานนท์’ จำคุก 4 ปี คดีหมิ่นสถาบัน เจ้าตัวเผย กำลังใจยังดีและการต่อสู้จะคงดำเนินต่อไป

(26 ก.ย. 66) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน หมายเลขดำอ. 2495/2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายอานนท์ นำภา อายุ 39 ปี ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่น สถาบันเบื้องสูง ร่วมกันมั่วสุมชุมนุม ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง พ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 พ.ร.บ.จราจรทางบก ฯ กรณีเมื่อวันที่ 14 ต.ค.63 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง ที่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยบางช่วงบางตอนของการปราศรัย จำเลยได้กล่าว แสดงความอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันฯ

นายอานนท์กล่าวว่า ทั้งขบวนคนรุ่นใหม่ได้สร้างปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนประเทศไป จนไม่สามารถย้อนกลับไปเหมือนเดิมได้แล้ว ในแง่ของความคิดคน ตนมองว่าตอนนี้คนทั้งประเทศเชื่อในสิทธิเสรีภาพ เห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นอารยะเห็นได้จากทุกรูปแบบทั้งในสื่อโซเชียล บนท้องถนน ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ชัดเจนแล้ว คนรุ่นใหม่ก็โตมาโดยเชื่อในสิทธิเสรีภาพความเท่าเทียม ตนคิดว่าการชุมนุมในปี 63 ทำให้สังคมเปลี่ยนไปเยอะมากเป็นการต่อสู้ที่คุ้มค่า

เมื่อถามว่าอยากฝากอะไรถึงนักเคลื่อนไหวในตอนนี้ นายอานนท์ กล่าวว่า อยากให้กำลังใจ วันนี้เรายังไม่ทราบคำพิพากษา ถ้าออกมาในทางร้ายก็คงติดคุกซึ่งเราก็ต้องสู้ต่อไป อย่างไรก็ตามหากตนต้องถูกขังภายหลังก็ต้องเบิกตัวตนออกมาศาลเพื่อทำหน้าที่ทนายความและจำเลย เพราะตนเป็นทนายความให้กับคดีการเมือง กรณีชุมนุมที่ ห้าแยกลาดพร้าว ปี 63 จะทำหน้าที่จากในคุกและนอกคุก ฝากให้กำลังใจขอบคุณคนที่สนับสนุน ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด

นายอานนท์กล่าวว่า ตอนนี้กำลังใจยังดี คำพิพากษาวันนี้เป็นเรื่องเมื่อ 14 ต.ค.ซึ่งตนไปปราศรัยปรามไม่ให้ตำรวจเข้ามาสลายการชุมนุม การที่วันนี้อาจจะสูญเสียเสรีภาพตามคำพิพากษา อาจจะหลายปี แต่ก็คุ้ม ที่เหตุการณ์ดังกล่าวที่เราเดินจากราชดำเนินไปล้อมทำเนียบไม่เกิดการสูญเสีย เป็นการเสียเสรีภาพโดยส่วนตัวต่อส่วนรวมที่คุ้มค่าอย่างมากด้วยความเต็มใจ

เมื่อถามว่าหากวันนี้ นายอานนท์ต้องเข้าคุก จะมีกลุ่มนักกิจกรรมออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ นายอานนท์กล่าวว่า แน่นอน เพราะการเคลื่อนไหวยังมีเรื่อย ๆ มีการผ่อนไปตามสถานการณ์แต่เราจะไม่หยุด การต่อสู้มีเป้าหมายชัดเจนว่าเราต่อสู้เพื่ออะไร

ล่าสุด ศาลอาญา สั่งจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา อานนท์ นำภา หมิ่นสถาบัน ปรับ 2 หมื่น ผิด พ.ร.ก. บริหารราชการฉุกเฉิน ฯ 2548 ม็อบ 14 ต.ค. 63

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ซัด!! สส.ค้านศาล คดี 'อานนท์' จำคุก ม.112 แก้ผ้าล่อนจ้อนเปลือยตัวตนชัดเจน เพื่อปกป้องคนทำผิด

(27 ก.ย. 66) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nantiwat Samart’ ระบุว่า…

ไม่ใช่สิทธิ

คดีทนายอานนท์ถูกตัดสินจำคุก ม.112 ไม่แปลกใจที่พรรคและบรรดา สส.ของพรรค ดาหน้ากันออกมาคัดค้านการตัดสินของศาลว่าจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นความเห็นต่าง ทำให้สงสัยว่า พวกคุณคิดอย่างไรกับสถาบันฯ

ต้องพูดความจริงกัน การกล่าวโทษ ให้ร้าย ขู่อาฆาตคนทั่วไป ก็เป็นสิ่งทำไม่ได้ เพราะมีกฎหมายหมิ่นประมาท รักษาสิทธิของคนที่ถูกคุกคาม

แม้แต่พวกคุณยังใช้สิทธิตามกฎหมาย ฟ้องหมิ่นประมาทคนที่กล่าวพาดพิง ทีอย่างนี้ไม่ใช่การเห็นต่างหรือ

พวกคุณได้แก้ผ้าล่อนจ้อนเปลือยตัวตน แสดงตัวตนชัดเจนว่าปกป้องคนทำผิด จะไม่ให้บ้านเมืองนี้มีกฎหมายหรือไร ทำอะไรตามใจเป็นไทยแท้ ไม่ผิด ให้มันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เปลี่ยนไทยเป็นอนาธิปไตย

พระมหากษัตริย์ไม่ได้เกี่ยวข้องการเมือง ผู้ใดจะละเมิดมิได้ อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง แต่ถูกคนที่ สส.ให้ท้ายจาบจ้วงกล่าวร้าย อย่าให้ความเกลียดชังบดบังความจริง

คนที่เห็นต่างจากพวกคุณ พร้อมออกมาปกป้องพระมหากษัตริย์

‘อานนท์’ ส่งจดหมายจากแดน 4 เรือนจำฯ กรุงเทพฯ ถึงลูกๆ ขอใช้ชีวิตให้มีคุณค่า มีความหมาย ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

(14 พ.ย. 66) เพจอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน จำเลยคดีม.112 ถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โพสต์จดหมายฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ถึงปราณและอิสรานนท์ ลูกรัก ว่า “ใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและความหมาย”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแม่เล่าให้ฟังว่าปราณอยากมาเจอพ่อที่ศาลในวันที่ศาลเบิกพ่อออกมาจากเรือนจำซึ่งอาจทำให้ปราณต้องขาดเรียนในวันนั้น พ่อขอให้ปราณอดทน เราไม่จำเป็นต้องเจอกันแล้วทำให้ลูกขาดเรียน พ่อรับรู้ได้ถึงความคิดถึงที่ลูกมี แต่การเรียนก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อยากให้ลูกเขียนจดหมายและแนบรูปที่ลูกวาดมาให้พ่อดู ได้ข่าวว่าพัฒนาฝีมือไปมาก พ่อจะได้เอามาอวดเพื่อน ๆ ในนี้

อาจต้องแบ่งเวลามาช่วยแม่ดูแลน้องเพราะช่วงนี้น้องกำลังเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ เสื้อผ้าของปราณและของน้องซักรวมกันได้ ปราณน่าจะปรับเครื่องซักผ้าที่บ้านเป็นแล้ว แค่ปรับที่โหมดซักผ้าเด็ก พอเสร็จแล้วห้ามปั่นแห้งให้ใช้ไม้แขวนตากที่ระเบียงเพราะถ้าปั่นแห้งผ้ามันจะหด สอนวิธีการชงนมแม่คงสอนแล้ว

บิงซูไม่ควรกินบ่อยเพราะมันแพง 555 แต่ถ้าพวกน้า ๆ ที่ออฟฟิศเลี้ยงก็ไม่ควรปฏิเสธ แม่เล่าให้ฟังว่าปราณเริ่มเขียนบันทึกได้แล้วซึ่งเยี่ยมมาก

พ่ออยากให้ปราณใช้ชีวิตให้มีคุณค่าและความหมายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง เพราะห้วงชีวิตของมนุษย์เราไม่ได้ยืนยาวอะไร อยากให้ปราณเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่จิตใจโอบอ้อมและแบ่งปัน สำคัญคือต้องเรียนรู้และรู้จักตัวตนของตัวเอง เป็นของตัวเอง

เอาไว้ช่วงปิดเทอมเราค่อยเจอกันในศาลนะคะ เป็นเด็กดี ปล. ขึ้นรถอย่าลืม ร.ข.ข เด็ดขาด

รักและคิดถึงลูกทั้งสองคน

แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ

เปิดจดหมาย ‘ลูกสาวทนายอานนท์’ เขียนถึงพ่อ เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ พร้อมถาม “พ่อทำไมถึงอยู่ในคุก?” ขณะเจ้าตัวต้องโทษมาแล้ว 70 วัน

(5 ธ.ค. 66) นายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ‘ลูกเขียนจดหมายถึงพ่อ’

โดยภายในภาพเป็นรูปเด็กกำลังกอด นายอานนท์ พร้อมมีข้อความที่เขียนด้วยมือว่า…

“พ่อทำไมถึงอยู่ในคุก แล้วพ่ออยู่ที่ห้องไหนของเรือนจำ แล้วหนูต้องรออีก 10 ปีใช่ไหม?”

สำหรับ นายอานนท์ อยู่ระหว่างถูกจับคุกในเรือนจำเป็นเวลา 4 ปี หลังจากศาลอาญาพิพากษา ในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากการปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ขณะนี้ต้องโทษอยู่ในเรือนจำมา 70 วัน

‘ศาลฯ’ สั่งจำคุก ‘อานนท์’ อีก 4 ปี ไม่รอลงอาญา คดีโพสต์เฟซบุ๊กดูหมิ่น-จาบจ้วง-ให้ร้ายสถาบันฯ

(17 ม.ค.67) ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบันหมายเลขดำ อ 2804 /2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา5 เป็นโจทก์ฟ้องนายอานนท์ นำภาอายุ 40 ปี อาชีพทนายความ เป็นจำเลยในความผิดดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14

อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564 และวันที่ 3 มกราคม 2564 จำเลยได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กของตัวเองชื่อ อานนท์ นำภา รวม 3 ข้อความ มีผู้ติดตาม 227,286 คน มีการแชร์ข้อความนับ 10,000 ครั้ง และกดไลก์ นับ 10,000 ครั้ง โดยมีเนื้อหาดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย สถาบันเบื้องสูงอันเป็นความผิดตามกฎหมาย และให้ศาลบวกโทษจำคุกจำเลยคดีความผิดของศาลอาญานี้ และของศาลอื่นด้วย เหตุเกิดที่ อ.ทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด และท้องที่อื่นเกี่ยวพันกัน จำเลยให้การปฏิเสธ

วันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยมีภรรยา บุตรชาย-หญิง 2 คน และมีผู้ให้กำลังใจจำนวนหนึ่งเดินทางมาศาล

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้วเห็นว่าข้อความทั้ง 3 ข้อความที่จำเลยโพสต์ในเฟซบุ๊กซึ่งเปิดสาธารณะ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจคลาดเคลื่อน เป็นการบิดเบือนดูหมิ่น ให้ร้าย จาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบัน ถือเป็นความผิดร้ายแรง 

พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาล้วนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่อ้างว่าต้องการให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น ฟังไม่ขึ้น ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นบทหนักสุด

พิพากษาจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา และให้บวกโทษกับคดีดำ อ.2495/2564 ของศาลอาญา ส่วนคดีอื่น ๆ ที่ขอให้ศาลบวกโทษกับศาลอื่นนั้น เนื่องจากศาลยังไม่มีคำพิพากษา จึงให้ยกในส่วนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาจำคุกนายอานนท์ 4 ปี ไม่รอลงอาญา ปรับ 2 หมื่นบาท กรณีนายอานนท์ ซึ่งเป็นแกนนำม็อบราษฎร ปราศรัยดูหมิ่นสถาบัน บริเวณอนุสาวรีย์สมรภูมิ เมื่อปี 2563 ซึ่งเมื่อรวมโทษกับคดีนี้ คงจำคุกนายอานนท์ รวม 8 ปี

‘อานนท์’ เขียนจดหมาย ‘จะได้ไม่ลืมกัน’ ถึงลูกๆ ทั้ง 2 คน หวังเป็นสื่อเชื่อมสัมพันธ์พ่อ-ลูก รับ!! อาจเป็นฉบับสุดท้าย

(4 ก.พ. 67) นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร จากคดีอาญา มาตรา 112 โพสต์จดหมายถึงลูกๆ มีเนื้อหาดังนี้…

“นี่อาจเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่พ่อเขียนด้วยความมุ่งหมายให้ลูกทั้งสองได้อ่าน ในอนาคตที่ลูกพอจะรู้ความ พ่อหวังว่าลูกทั้งสองจะใช้จดหมายเหล่านี้เป็นสื่อ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของพวกเรา ในห้วงเวลาที่เราพลัดพรากกันระหว่างที่พ่อติดคุก นั่นคือความมุ่งหมายแรกที่พ่อเริ่มเขียนจดหมาย แต่ตอนนี้จดหมายต่อจากนี้มันอาจกลายเป็นสื่อสัมพันธ์ให้พ่อได้อ่าน ในวันที่ความทรงจำของพ่อไม่เหมือนเดิมแล้ว

วันนี้พ่อถูกเปิดตัวไปศาลเหมือนเช่นทุกวัน และมันก็อาจเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ถ้าหากมันไม่เกิดเหตุการณ์ช่วงท้ายท้าย ก่อนที่พ่อจะเดินจากทุกคนมาจากห้องพิจารณา 805 และมันอาจทำให้ความคิดพ่อยังวกวนกับการกลัวลูกจำไม่ได้ กลัวลูกลืมพ่อคนนี้ไปจากความทรงจำ

มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่หลังจากศาลลงไปจากบัลลังก์ แม่ยื่นเจ้าขาลให้พ่ออุ้มและเดินออกจากห้องพิจารณา สักพักถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าขาลจะงอแงโผไปหาแม่ แต่วันนี้เจ้าขาลกลับกอดพ่อแน่นและไม่ยอมปล่อย แม้แม่จะพยายามมาแกะตัวเจ้าขาลไป

พ่อคิดว่าเจ้าขาลคงจำพ่อได้ และมีความผูกพันกับคนคนนี้ คนที่แม่พามาเจอทุกวันที่ศาล และเป็นคนที่ก่อนหน้านี้ 9 เดือนได้นอนด้วยกันทุกวัน

อีกมุมหนึ่งในเรือนจำ พ่อกลับรู้สึกว่าความทรงจำบางเรื่องเพราะเริ่มหายไป เขียนคำบางคำที่เคยเขียนได้ผิดเพี้ยนไป บางเรื่องต้องนึกอยู่นานกว่าจะจำได้ พ่อจึงเริ่มกลัวว่าถ้าในอนาคตพ่อจำอะไรอะไรไม่ได้เหมือนเดิม ความสัมพันธ์พ่อ-ลูกของเราจะมีอะไรให้จดจำ หรือเป็นหลักฐานทางความทรงจำว่า 10-20 ปีระหว่างพ่อติดคุกเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ถ้าพ่อต้องติดคุก 10-20 ปี และในวันที่พ่อพ้นโทษพ่อจำลูกทั้งสองไม่ได้แล้ว ให้เอาจดหมายทั้งหมดที่พ่อเขียนระหว่างนี้ให้พ่ออ่านนะ เราจะได้ไม่ลืมกัน

2 ก.พ.67
อานนท์ นำภา”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top