Thursday, 4 July 2024
สวัสดิการ

‘ก้าวไกล’ ปลุก ‘นศ. มธ.รังสิต’ ตื่นรู้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ย้ำ รัฐสวัสดิการที่ดีสามารถพาไทยออกจากวิกฤตได้

(23 มี.ค. 66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า รับเชิญเป็นผู้บรรยายพิเศษในรายวิชา TU101 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในหัวข้อเกี่ยวกับอนาคตของเศรษฐกิจและสังคมไทย ความเหลื่อมล้ำ การเข้าสู่สังคมสูงวัย ปัญหากับดักรายได้ปานกลาง และความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีใหม่ขึันมาในประเทศไทย เพื่อรองรับปัญหาเหล่านี้

ในช่วงหนึ่งของการบรรยาย นายธนาธรชี้ให้เห็นว่าปัญหาหลักที่สังคมไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ คือ ปัญหาอัตราการเกิดของประชากรที่ต่ำลง และการเข้าสู่สังคมสูงวัย จะมีผลกระทบที่รุนแรงขึ้นตราบที่ประเทศไทยยังคงมีความเหลื่อมล้ำมหาศาลเช่นในปัจจุบันดำรงอยู่ และทั้งหมดจะยิ่งตอกย้ำปัญหากับดักรายได้ปานกลางของประเทศไทยให้รุนแรงขึ้น จากการมาถึงจุดอิ่มตัวไม่สามารถไปต่อได้แล้วของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์

จึงทำให้ประเทศไทย มีความต้องการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา โดยนำปัญหาสังคมมาสร้างเป็นความต้องการ พัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเพิ่มผลิตภาพให้กับประเทศ สร้างงานที่มีคุณภาพเพื่อรองรับคนจบใหม่ ลดความเหลื่อมล้ำและสังคมสูงวัยไปพร้อม ๆ กัน

“แต่เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างเป็นธรรมหรือไม่ สุดท้ายเป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากเรื่องของการเมือง และการจัดสรรภาษี ว่าจะกระจายดอกผลให้คนส่วนใหญ่หรือคนส่วนน้อยในสังคม อำนาจเมื่อกระจุกตัวอยู่ที่ใครก็ตาม ทรัพยากรก็มักจะกระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มนั้น การสร้างประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่ประชาชนเท่านั้น ที่จะสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยได้” นายธนาธรกล่าว

ส่วนในช่วงบ่ายวันเดียวกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ก็ได้รับเชิญให้มาเป็นผู้บรรยายพิเศษ ในรายวิชา TU101 และได้บรรยายถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยเช่นกัน โดยเน้นไปที่ด้านการเมือง ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มทุนขนาดใหญ่กับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากประชาชน ที่จะสังเกตได้ว่าหลังการรัฐประหารทุกครั้ง จะมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่เติบโตขึ้นมาจากการได้สัมปทานพิเศษจากอำนาจ รัฐฯ เสมอ เช่น ในกรณีของกลุ่มทุนพลังงานกลุ่มหนึ่ง ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดขึ้นมาจากนโยบายพลังงานในยุครัฐบาลรัฐประหารและรัฐบาลทหารจำแลงเมื่อเร็ว ๆ นี้

น.ส.พรรณิการ์ ยังกล่าวด้วยว่าการเลือกตั้งที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนนี้ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากเพื่อให้ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มาแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และนำประเทศไทยออกจากปัญหาที่กำลังรุมล้อมอยู่ตอนนี้ แต่ที่สำคัญคือการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ เพราะไม่ใช่ทุกรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะมีเป้าหมายในการแก้ความเหลื่อมล้ำ และกลุ่มทุนใหญ่จำนวนมากต่างก็คอยให้การสนับสนุนทุนแก่พรรคการเมืองใหญ่ของทุกฝ่ายอยู่ เพื่อให้มั่นใจว่าจะยังคงอิงแอบอยู่กับอำนาจรัฐฯ ได้ต่อไปไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง

‘พิธา’ กร้าว!! ปลดล็อก ‘สวัสดิการผู้สูงอายุ’ ชี้!! เคาะแล้วตกมื้อนึงได้ไข่ต้มแค่ฟองเดียว

‘พิธา’ ควงผู้สมัครปักธงชัย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ชูนโยบาย 4 ป. ปลดล็อกสวัสดิการ-ที่ดิน-หนี้สิน-ท้องถิ่น แก้ปัญหาประชาชน ก่อนขนทัพใหญ่เปิดเวทีปราศรัย ‘ก้าวไกล’ กลางเมืองพิษณุโลกเย็นนี้ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครครบ 5 เขต

(1 เม.ย.66) แกนนำพรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.เบญจา แสงจันทร์ กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล และ นายวาโย อัศวรุ่งเรือง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมหาเสียงร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดพิษณุโลก ทั้ง 5 เขต ก่อนที่จะร่วมเปิดเวทีปราศรัยในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้

ในส่วนของนายพิธา ได้ร่วมกิจกรรมเดินหาเสียงพบปะประชาชนในเขตชุมชน ที่ อ.นครไทย ร่วมกับนายศุภปกรณ์ กิตยาธิคุณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 5 ตามด้วยการเปิดเวทีพูดคุยพบปะประชาชน ที่วัดหนองกะท้าว ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย และที่ ต.ไทรย้อย อ.เนินมะปราง ร่วมกับ โชคดี สายนำพามีลาภ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 3 โดยประชาชนส่วนมากประสบปัญหาร่วมกันในเรื่องที่ดินทำกิน

นายพิธากล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานในสภาฯ มาตั้งแต่ครั้งเป็นพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการที่ดินฯ ตนได้เดินทางมา จ.พิษณุโลกบ่อยครั้ง เพราะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีปัญหาที่ดินหลายกรณีมาก และนั่นเป็นเหตุผลที่ตนต้องมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อนำข้อเสนอ ‘4 ปลดล็อก’ มาเสนอเพื่อแก้ปัญหาให้กับทุกคนที่นี่ รวมถึงประชาชนทั่วประเทศที่เผชิญปัญหาแบบเดียวกัน จากปัญหาระยะสั้นไปถึงปัญหาระยะยาว ให้แก้ปัญหาไปถึงอนาคตของลูกหลานทุกคน

ปลดล็อกที่หนึ่ง คือปลดล็อกสวัสดิการผู้สูงอายุ จากที่ตนได้เห็นงบประมาณของประเทศที่ถูกจัดสรรผ่านมาทั้ง 4 ปี พบว่ามีงบประมาณที่ถูกนำไปใช้อย่างไม่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะงบประมาณของกองทัพ มากมายกว่างบประมาณที่เอามาดูแลประชาชนเสมอ ปัจจุบันสวัสดิการที่ให้กับผู้สูงอายุ เริ่มต้นที่ 100 บาท เฉลี่ยออกมาได้แค่วันละ 20 บาท หรือเป็นค่ากินแค่มื้อละ 7 บาท ได้ไข่ต้มแค่ฟองเดียว ไม่สอดคล้องกับสังคมสูงวัย ของแพงค่าแรงถูกในปัจจุบัน

พรรคก้าวไกล จึงมีนโยบายที่จะเปลี่ยนงบกองทัพที่ไม่จำเป็น เอามาทำเป็นงบประมาณ เพิ่มเบี้ยสูงอายุจาก 600 เป็น 3,000 บาทต่อเดือน นี่คือรัฐสวัสดิการที่ทำให้ผู้สูงอายุอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี คนหนุ่มสาวกล้าเสี่ยงเดินตามความฝันโดยไม่ต้องกังวลถึงพ่อแก่แม่เฒ่า

ปลดล็อกที่สอง คือการปลดล็อกที่ดิน หลายพื้นที่ เช่น อ.นครไทย แห่งนี้ มีสถานะเป็นเหมือนขนมชั้น คือ ส.ป.ก. ครอบทับกับกรมป่าไม้ ดูแลกันสองหน่วยงาน อำนาจบางส่วนทับซ้อนกัน ทำให้เวลาชาวบ้านไปเดินเรื่องก็ทำอะไรไม่ได้ เกี่ยงกันเป็นเก้าอี้ดนตรี พรรคก้าวไกลจึงมีนโยบาย เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ทวงคืน ส.ป.ก. จากนายทุนทั่วประเทศ 4 ล้านไร่ หาที่ดินเพิ่มให้ประชาชนอีก 6 ล้านไร่ รวมเป็น 10 ล้านไร่ ซึ่งแม้ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับที่ดิน 320 ล้านไร่ที่ประเทศไทยมีอยู่ แต่อย่างน้อยนี่จะเป็นกระดุมเม็ดแรกที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ดินในระยะยาว

ปลดล็อกที่สาม คือปลดล็อกหนี้สิน โดยเฉพาะในภาคเกษตร สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าสำหรับใครก็ตามที่เป็นหนี้ ธ.ก.ส. มีอายุเกิน 60 ปี และชำระหนี้เกินครึ่งของเงินต้นไปแล้ว นโยบายคือการปลดหนี้ให้ทันที

‘วราวุธ’ นั่งหัวโต๊ะ ถก ‘สวัสดิการ’ เพื่อประชาชน 4 ประเด็น จ่อชง ‘เบี้ยเด็กแรกเกิด-คนพิการ-ผู้สูงอายุ-ขยายรับเลี้ยงเด็ก’

(21 ก.พ.67) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนสวัสดิการโดยรัฐ เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมเห็นชอบในวาระสำคัญ 4 ประเด็น ได้แก่

ประเด็นที่ 1 คือ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ปีที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ซึ่งตอนแรกการให้เงินสนับสนุน 600 บาทต่อคนต่อเดือนนั้น จะเป็นไปตามเส้นความยากจน ซึ่งมีประมาณ 4 ล้านกว่าคน ในขณะนี้ได้รับเงินอุดหนุนอยู่ประมาณ 2 ล้านกว่าคน แต่จากการประชุมในวันนี้ได้เปลี่ยนวิธีการให้เงินสนับสนุนเป็นแบบถ้วนหน้า เพื่อที่ว่าเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ปี ทุกคนในประเทศไทย จะได้รับเงินอุดหนุนจำนวนนี้

ประเด็นที่ 2 ได้มีการขอให้ปรับศูนย์เลี้ยงดูเด็กและส่งเสริมการพัฒนาเด็ก ให้มีการเลี้ยงดูซึ่งในตอนแรก เป็นเด็กตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 3 ปี ตนได้ขอให้ปรับเป็น 3 เดือน จนถึง 3 ปี เพราะจะได้สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานที่อนุญาตให้ผู้เป็นแม่สามารถลาคลอดได้ 98 วัน หรือประมาณ 3 เดือนกว่าๆ โดยจะขอให้ศูนย์เลี้ยงดูเด็กได้ตั้งแต่ 3 เดือน จนถึง 3 ปี

ประเด็นที่ 3 เกี่ยวกับเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุ จากที่ก่อนหน้านี้ มีการจ่ายแบบขั้นบันได คือ 600-700-800 และ 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะขอเป็นแบบถ้วนหน้า และจะปรับเป็น 1,000 บาททุกคน ดังนั้นพี่น้องผู้สูงอายุจากเดิมที่ได้แบบขั้นบันไดและไม่ถ้วนหน้า แต่จากนี้ไป จะได้เป็นเดือนละ 1,000 บาทแบบถ้วนหน้า ทั้งนี้ เป็นการเห็นชอบของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งจะต้องนำเสนอเข้าคณะกรรมการใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

ประเด็นที่ 4 เกี่ยวกับเรื่องเบี้ยความพิการ จาก 800 บาทต่อคนต่อเดือน เราปรับเป็น 1,000 บาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ช่วยคนพิการ จากที่เมื่อก่อนได้รับค่าตอบแทนชั่วโมงละ 50 บาท ตอนแรกคณะทำงานเสนอปรับจาก 50 บาท เป็น 80 บาทต่อชั่วโมง ซึ่งทางตนและที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่าควรจะปรับขึ้นเป็น 100 บาทต่อชั่วโมง รวมถึงการจัดหาการบริการกายอุปกรณ์ให้กับคนพิการทุกๆคน

“4 ประเด็นนี้ เป็นข้อสรุปที่ทางคณะอนุกรรมการได้เห็นชอบเกี่ยวกับการดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก เยาวชน สตรี คนพิการ และผู้สูงอายุ แต่ขอย้ำว่าเป็นการเห็นชอบของคณะอนุกรรมการ ตามที่ทางคณะทำงานนำเสนอมาขั้นตอนต่อไปคณะอนุกรรมการจะต้องนำเสนอข้อเสนอทั้งหมดเข้าคณะกรรมการใหญ่เพื่อดำเนินการต่อไป” นายวราวุธ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top