Tuesday, 2 July 2024
ก่อความวุ่นวาย

ฉวยโอกาส 'ก่อม็อบ-ก่อเหตุวุ่นวาย' ช่วงเอเปค 2022 กฎหมายหนัก โทษชัด รัฐจะไม่ใจดีเหมือนที่ผ่านมา

เสรีภาพเป็นสิ่งที่ควรมี แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ภายใต้ความมีอารยะ ใครที่คิดจะออกมาป่วนในการประชุม APEC ครั้งนี้ อยากให้คิดใหม่ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้น มันจะเป็นปัญหาใหญ่ถึงขั้นกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเลยทีเดียว

(14 พ.ย.65) เพจ 'ฤๅ - Lue History' ได้โพสต์วิดีโอเตือนบุคคลบางกลุ่มกำลังจะก่อม็อบ ในงานจัดประชุมสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค โดยมีใจความสำคัญดังนี้...

ในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพงานจัดประชุมสัปดาห์ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่กำลังจะมีคนบางกลุ่มเฉพาะพวกที่ออกมาประท้วงยกเลิก 112 ฉวยโอกาสก่อม็อบ หรือแม้กระทั่งก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในงาน นี่คืองานระดับโลกมีผู้นำเข้ามามากมาย มีสื่อเข้ามามากมาย 

โดยเตือนว่างานนี้ทางรัฐบาลไม่ได้ใจดีเหมือนที่ผ่านมา เพราะมีกฎกติกาต่างๆ ออกมา รวมถึงการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากขึ้น การประชุมครั้งนี้มีตำรวจ ทหารทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบประมาณ 50,000 คน ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในทุกจุดรอบกรุงเทพ และเพิ่มกล้องวงจรปิดกว่าหมื่นตัวที่สามารถเชื่อมโยงได้ทุกพื้นที่ หากมีการชุมนุมเรียกร้องล้ำเส้นขึ้นมาจนเป็นความวุ่นวาย ไปกระทบต่อผู้นำประเทศต่างๆ จะถูกดำเนินคดีข้อหาหนัก และประวัติการก่อคดีจะถูกส่งต่อไปทั่วโลก

หากก่อม็อบแล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำต่างประเทศอย่างเช่น ปูติน หรือ สีจิ้นผิง หากถูกดำเนินคดีขึ้นมา จะมาเรียกร้องหาความถูกต้องแบบที่ผ่านมาไม่ได้ ที่สำคัญจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายคุ้มครองประมุขต่างประเทศนั่นคือ มาตรา 133 และ 134 ซึ่งสองมาตรานี้ เป็นกฎหมายคุ้มครองทั้งพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาทต่างประเทศ หรือผู้แทน, ตัวแทนประมุขรัฐต่างประเทศ โดยทั้งสองมาตราก็มีเนื้อหาเดียวกันกับมาตรา 112 ต่างแค่อัตราโทษของผู้ที่กระทำผิดเท่านั้น

“พอดูถึงตรงนี้อยากจะฝากถึงคนที่บอกให้ยกเลิกมาตรา 112 คุณลืมไปหรือเปล่าว่าเรามีมาตรา 133 และ134 ที่คุ้มครองประมุขต่างประเทศด้วย มันจะกลายเป็นเรื่องย้อนแย้งทางกฎหมาย ลองนึกภาพว่าทั่วโลกเขาจะมองประเทศเรายังไง คุ้มครองประมุขต่างชาติ แต่ไม่อยากคุ้มครองประมุขชาติตัวเอง” พิธีกรในคลิปกล่าว

ยังมีใจความอีกว่าหากมีคนบอกให้ยกเลิกมาตรา 112, 133, 134 ให้หมดเลย ถ้าทำอย่างนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ประเทศไทยจะเป็นประเทศป่าเถื่อนในสายตาชาวโลกทันที ทั้งที่ทั่วโลกมีกฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศตัวเอง แต่เราไม่มีเลย ไม่คุ้มครองใครเลย แล้วใครจะอยากมาประเทศของเรา นั่นหมายความว่าเราไม่ให้เกียรติประมุขของพวกเขา ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์และเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศ

‘หนุ่มมะกัน’ ซ่า!! ขับรถพุ่งชนสถานกงสุลจีน ในซานฟรานซิสโก พร้อมขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่จีน สุดท้ายถูกตำรวจยิงสกัดเหตุจนดับสลด

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 66 เกิดเหตุที่เกือบจะเป็นการก่อการร้ายอีกครั้งในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้มีชายชาวอเมริกันคนหนึ่ง ขับรถยนต์ฮอนด้า ซีดาน สีน้ำเงิน พุ่งเข้าไปในสำนักงานสถานกงสุลจีน ในนครซานฟรานซิสโก ของสหรัฐอเมริกา พร้อมตะโกนขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จนโกลาหลในทั้งสถานกงสุล แต่สุดท้ายไม่รอด คนร้ายถูกตำรวจสหรัฐฯ ยิงสกัด และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา

โดยยังไม่มีการเปิดเผยชื่อของคนร้ายรายนี้ ระบุเพียงว่าเป็นชายคนหนึ่ง ‘แคทริน วินเทอร์ส’ โฆษกสำนักงานตำรวจนครซานฟรานซิสโก ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า คนร้ายมีอาวุธเป็นมีด และธนูหน้าไม้เตรียมไว้ในรถ และได้ขับรถยนต์พุ่งเข้าชนประตูหน้าของสำนักงานสถานกงสุลจีน จนเข้ามาถึงในโถงล็อบบี้ เมื่อช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ซึ่งในขณะนั้นมีผู้คนมารอคิวยื่นวีซ่าอยู่เป็นจำนวนมาก

หลังจากนั้น คนร้ายลงจากรถพร้อมอาวุธมีด ตะโกนขู่ฆ่าเจ้าหน้าที่จีน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง จึงตัดสินใจยิงสวน และพาตัวคนร้ายส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็เสียชีวิตเมื่อเวลา 18.30 น. ในวันเดียวกัน

‘เซอร์กี โมลชานอฟ’ นักศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็นหนึ่งในพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เล่าว่า เขากำลังรอคิวเพื่อยื่นวีซ่าจีน มองเวลาอยู่ที่ 15.05 น. ก็มีรถยนต์คันหนึ่งพุ่งชนเข้ามาห่างจากจุดที่เขายืนรออยู่เพียง 2 เมตร จากนั้นคนร้ายก็ลงมาจากรถ และตะโกนหาเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่เขาไม่เห็นคนร้ายถืออาวุธ แต่เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถือมีดในมือ ตอนนั้นทุกคนกลัวว่าคนร้ายจะมีปืน จึงรีบหลบหนีออกจากสำนักงานกงสุล ก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาและมีเสียงปืนดังภายในอาคาร 2 นัด

สื่อท้องถิ่นของซานฟรานซิสโก รายงานว่า มีตำรวจอย่างน้อย 11 นาย เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมหน่วยกู้ระเบิด และสุนัขตำรวจ เพราะเกรงว่าจะมีก่อวินาศกรรมคาร์บอมบ์ในสถานกงสุล แต่ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจซานฟรานซิสโก ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลน้อยมาก เพราะเป็นคดีที่มีความซับซ้อน และอ่อนไหวสูง

ด้านกงสุลจีนได้ออกแถลงการณ์ประณามการก่อเหตุโจมตีสถานที่ราชการจีน อีกทั้งยังข่มขู่ หมายเอาชีวิตเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีน บุกรุก และทำลายทรัพย์สินเสียหาย

‘หวัง เหวินปิน’ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ออกมาเรียกร้องให้ทางการสหรัฐฯ เร่งสอบสวนคดีการโจมตีสถานกงสุลจีนโดยเร็วที่สุด อีกทั้งขอให้เพิ่มมาตรการป้องกัน รักษาความปลอดภัยแก่สถานที่ราชการ และบุคลากรของรัฐบาลจีนในสหรัฐฯ

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้สถานกงสุลจีนในนครซานฟรานซิสโก ต้องปิดให้บริการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งสถานที่ราชการจีนในสหรัฐฯ เริ่มกลายเป็นเป้าหมายในการก่อกวน และโจมตีหลายครั้ง ตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ระบาด Covid-19 และการกล่าวโทษของรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้น ได้สร้างกระแสความเกลียดชังชาวจีนในสังคมคนอเมริกัน ซึ่งสถานกงสุลแห่งนี้ มักมีกลุ่มคนมาเขียนข้อความแสดงความเกลียดชังบนกำแพงอยู่เป็นประจำ และเคยมีกลุ่มผู้ประท้วงกว่า 100 รายมาชุมนุมประท้วงนโยบายปลอด Covid-19 ของรัฐบาลปักกิ่ง

ทั้งนี้ หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การโจมตีสถานกงสุลจีนครั้งนี้ อาจเกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ที่ผู้นำสหรัฐฯ อย่าง ‘โจ ไบเดน’ จะมาพบกับ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้นำของจีน แบบตัวต่อตัว ในงานประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ‘เอเปก’ ที่จะจัดขึ้นในซานฟรานซิสโก ระหว่างวันที่ 11-17 พฤศจิกาคม ที่จะถึงนี้ แต่ทว่า กำหนดการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของผู้นำจีน ก็ยังคงไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลปักกิ่ง และอาจไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุครั้งนี้แต่อย่างใด


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top