Sunday, 23 June 2024
40สว

'พิชิต' แฉ!! กระบวนการคว่ำคุณสมบัติ รมต.หวังกระทบชิ่งล้มนายกฯ  ท้า 40 สว.เจอทีละคน ลั่น!! ไม่ยึดติดเก้าอี้ หากขาดคุณสมบัติ

(21 พ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เปิดใจก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณี 40 ส.ว. ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติรัฐมนตรี รวมถึงกระแสข่าวให้ลาออก ว่า ต้องขอโทษทุกคนที่ไม่ได้รับสายถึงกรณีดังกล่าวเนื่องจากติดภารกิจอยู่ที่องค์การสหประชาชาติในการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก ทั้งช่วงเช้าและบ่าย ในการต้อนรับผู้นำพระสงฆ์จาก 73 ประเทศ มีโปรแกรมติดกันแน่นตลอดทั้งวันจึงขอเอาบุญมาฝาก และเชิญชวนทุกคนร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชาในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ขอบอกบุญกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ตออนนี้ต้องทำบุญกันเยอะ ๆ

นายพิชิต กล่าวว่า ขอชี้แจงเรื่อง 40 สว. ยื่นผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องคุณสมบัติโดยมีส.ว. หลายฝ่ายออกมาท้วงติง ต้องขอพูดจากความเป็นตัวตนของตัวเองที่ทำงานแบบมืออาชีพ ถึงประเด็นที่เกี่ยวกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่าการตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือปรับครม.ไม่ได้มีความผิดอะไร และไม่ได้ทำอะไรที่แตกต่างจากนายกฯคนอื่นในอดีต โดยเวลาที่จะตั้งครม.จะต้องมีกระบวนการทางการบริหารราชการแผ่นดิน บุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีต้องกรอกรับรองคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม โดยสลค.สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จะต้องตรวจสอบ โดยส่งเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตรวจประวัติ ว่าไปทำความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาทุกหมวดหรือไม่ สิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากร 

ดังนั้น สลค. และ ป.ป.ช.ไม่สามารถช่วยใครได้ ถึงอยากจะช่วยก็ช่วยไม่ได้ และเวลาที่จะประมวลว่าใครซื่อสัตย์และมีจริยธรรมหรือไม่ต้องดูทุกเรื่อง หากมีเรื่องไหนที่สงสัยจึงถามคณะกรรมการกฤษฎีกา 

นายกฯ ก็ทำตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย แล้วจึงมาสรุปว่าจะตั้งรัฐมนตรีคนใดได้หรือไม่ได้ และการที่ตั้งตนก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไร ไม่ได้มาเพราะท่านคนนั้นคนนี้ แต่มาเพราะสติปัญญาของตน มาเพราะมีสมองที่จะทำงาน ถ้าตนทำผิดทำชั่วมายืนที่จุดนี้ แม้นายกฯ อยากจะตั้งแต่ถ้าตนมีปัญหาก็ตั้งไม่ได้ และหน่วยงานที่ตนได้กำกับดูแลก็มีแต่ตัวหนังสือและกฎหมาย ส่วนการกล่าวหาเรื่องประเด็นจริยธรรม ให้ไปดูช่องทางกฎหมายให้ดี เพราะมีคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นแบบอย่างไว้แล้ว

“ถามสว. มาเอาเรื่องนายกฯ ทำไม เพราะท่านตั้งใจทำงาน และขอพูดอย่างไม่อายว่าผมเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯ เศรษฐา และเป็นองครักษ์พิทักษ์หลายนายกฯ มาแล้ว ขอให้เอาความจริงมาพูดกันโดยไม่มีวาระทางการเมือง เราไม่ควรเอาเรื่องกับนายกฯ และขอวิงวอนให้นายกฯ ได้ปฎิบัติหน้าที่ ในฐานะหัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดิน และทำตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ผมทำงานกับนายกฯ มา 6-7 เดือน อยู่บนเนื้องานไม่เคยประจบสอพลอ และนายกฯ เป็นคนทำงานอย่างตรงไปตรงมาใช้งานเป็นวัคซีน และทำไปตามขั้นตอนกฎหมาย”

นายพิชิต กล่าวว่า ต้องขอบคุณ และไม่โกรธ 40 สว. ที่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะทำให้ตนได้ชี้แจงเรื่องที่ถูกกระทำมาตั้งแต่ปี 2551 และโหยหาความยุติธรรมมาทั้งชีวิต เพราะถูกตัดสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรม ถูกตัดสินโดยศาลเดียวแล้วจบ ทั้งที่มี 3 ศาล จึงเป็นความขมขื่นในใจ และบอกตัวเองก่อนมาเป็นรัฐมนตรีว่าถ้าถูกตั้งกระทู้ถามในสภาฯ หรืออธิบายไม่ไว้วางใจ ก็สามารถตอบได้ทุกคำถาม ตนไม่ได้หวั่นไหวเพราะมั่นใจว่าหลักของความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญมีจริง และคำวินิจฉัยของศาลจะผูกพันทุกองค์กร ต่างจากคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ไม่ได้ผูกพันศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตรงนี้เข้าทางของตนและรอจังหวะนี้มานานแล้ว และอยากให้มีการตัดสินเป็นบรรทัดฐาน หากศาลรัฐธรรมนูญ มีการพิจารณาคดีใหม่จะเป็นโอกาสที่ตนได้ดีแคร์ชีวิตใหม่ และในคำสั่งของศาลฎีกา ถ้ามีตรงไหนระบุว่าตนเป็นคนหิ้วถุงเงิน 2 ล้าน จะลาออกในวันนี้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ที่ผ่านมามีการติติงตนแบบคนไร้สติโดยไม่ได้หาดูประเด็นในคำสั่ง และการไต่สวนในวิธีพิจารณาว่าละเมิดอำนาจศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหลัก ไม่เคยมีบทบัญญัติให้เอาประมวลกฎหมายอาญามาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี และในคำสั่งของศาลฎีกาที่ตนติดใจ คือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ที่ปรากฎใส่คำว่า “ผมน่าจะรู้” จึงมีคำสั่งคุมขัง 6 เดือน ทั้งที่คำว่าน่าจะรู้คือมีข้อสงสัย ที่ควรจะยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะเป็นสมมติฐาน ทั้งที่เรื่องของตนเป็นคดีแพ่ง ทั้งนี้ตนจะอยู่หรือไปจากตำแหน่งไม่ยึดติด เพราะถือว่าต่อสู้เพื่อกระบวนการยุติธรรม และความเป็นธรรมในชีวิต จึงต้องขอบคุณ 40 สว.ที่ทำเรื่องนี้ให้เข้าทางตน และขอให้ย้อนกลับไปดูในคำสั่งของศาลให้ดี จะพบข้อสงสัยและข้อพิรุธอีกมาก และต้องถามว่าสมัยที่ตนเป็นสส. 2 ปี 6 เดือน คนที่หมั่นไส้หรือไม่ชอบตน ทำไมไม่ยื่นถอดถอนเรื่องจริยธรรม ส่วนเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตถามว่าใช้ตรงไหนมาวัด หากไปถามกฤษฎีกาก็คงตอบไม่ได้เพราะเป็นปัญหาเรื่องข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ ว่าสิ่งที่ถูกคำสั่งศาล คำว่าน่าจะ เป็นที่ประจักษ์ตรงไหน ขอให้กลับไปดูในชั้นของคณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีกรรมาธิการบางคน ซึ่งยังรับราชการอยู่แต่ตนไม่ขอเอ่ยชื่อได้แย้งว่าคำว่าซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์จะทำให้เป็นการกลั่นแกล้งกล่าวหาในทางการเมืองได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นนามธรรมวัดกันไม่ได้ ถึงต้องย้อนไปตั้งแต่การตรวจสอบประวัติว่าตนไม่มีคดี ไม่มีประวัติใน ป.ป.ช. ไม่เคยถูกฟ้องในคดีแพ่ง และโทษที่ตนได้รับเป็นเรื่องทางแพ่ง เป็นโทษตามคำสั่งศาลฎีกา และคำสั่งกับคำพิพากษาต่างกัน ไม่ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา ซึ่งในคำอธิบายของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุเรื่องคุณสมบัติได้ยกเว้นเรื่องของคำสั่ง หมายความว่าตนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามการเป็นรัฐมนตรี

“เรื่องที่เกิดเป็นวาระวงจรอุบาทว์ ทั้งที่นายกบริหารราชการอยู่ดี ๆ แล้วจะมาทำให้ ผู้นำประเทศหลุดจากตำแหน่ง ผมมีเพื่อนใน สว.รู้รายละเอียดการกระทำครั้งนี้ ว่า มีพฤติกรรมอย่างไร เป็นคนของใคร แต่ขอไม่พูดและขอบคุณนายเสรี สุวรรณภานนท์ นายวันชัย สอนศิริ ที่ออกมาพูดความจริง ว่าตนไม่ได้ต้องคำพิพากษาประพฤติผิดจริยธรรม“

นายพิชิต กล่าวว่า ส่วนข่าวลือเรื่องการลาออก ขอย้ำว่าไม่ยึดติดประโยชน์ของตนแต่ยึดมั่น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 164 คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน คำตอบของเรื่องนี้เพื่อแก้วงจรอุบาทว์คือให้บุคคลเหล่านั้นไปคิดมาว่าถ้าตนลาออกแล้วทุกอย่างจบ ตนจะทำเพื่อประชาชนทั้งประเทศ และพร้อมตั้งแต่วันนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเกมการเมืองที่ต้องการล้ม นายเศรษฐาใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า “แน่นอน“ เมื่อถามยามว่าหากนายพิชิต ลาออก แล้วนายกฯ อยู่ต่อได้ก็พร้อมจะทำใช่หรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า เพราะวงจรอุบาทว์มาเล่นแบบนี้ ให้ช่วยกลับไปคิดว่าวันนี้มีนายกและบ้านเมืองปกติแล้ว มาทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิงขาดนายกทำไม ดังนั้นคนเหล่านั้นไปคิดเองเพราะไม่ใช่การบ้านของตน และตนจะไม่คุยอะไรให้นายกฯ หนักใจ

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าไม่มีแนวคิดที่จะลาออกในวันนี้หรือก่อนวันที่ 23 พ.ค.นี้ รมต.ประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า ขอโยนโจทย์ไปให้บางคนที่อยากให้ตนอยู่หรืออยากให้ออก ขอย้ำว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯและขอท้า 40 สว. ให้มาเจอกับตนทีละคน และให้อาจารย์นักกฎหมาย3คน มาเป็นกรรมการ เพื่อถามว่าที่ลงชื่อไปได้อ่านคำสั่งของศาลฎีกาหรือยัง เพราะบางคนลงชื่อยื่นตีความยังไม่รู้เลยว่าอะไร บางคนยกประเด็นรื้อฟื้นจำนำข้าวทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุผลเรื่องของคุณสมบัติ เมื่อถามว่าจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯจนกว่าจะมีคำสั่งศาลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นายพิชิต กล่าวว่า เราเคารพดุลยพินิจศาล ไม่ก้าวล่วงและเชื่อว่าสิ่งที่พูดไปศาลรัฐธรรมนูญได้ยิน ทุกอย่างขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

เมื่อถามว่าหากระหว่างนี้มีการกดดันให้ต้องถอย จะตัดสินใจอย่างไรในพิชิตกล่าวว่าองคาพยพที่เกี่ยวข้องก็ไปคิดก็แล้วกัน โดยไม่ขอเจาะจงไปที่ใครแต่ให้ยืนยันให้ได้ว่า ตนจากตำแหน่งแล้วจบ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลัง สว.คือใคร นายพิชิตกล่าวว่า ตนรู้หมด ไม่ขอก้าวล่วงเอาเป็นว่ามีขบวนการในเรื่องนี้ก็แล้วกัน เมื่อถามว่ามีขบวนการล้มนายกฯหรือล้มรัฐบาลนายพิชิต กล่าวว่า ไม่กล่าวหาแต่ ข้อมูลเป็นเช่นนั้นจริง

เมื่อถามว่าวงจรอุบาทว์หมายถึงกลุ่มอำนาจเก่าหรือไม่นายพิชิตกล่าวว่า ไม่ตอบคำถามนี้ ไปพิจารณาพิจารณากันเอง ถามว่ามีกระบวนการแบบนี้จริง ถ้าแค่ติดใจเรื่องคุณสมบัติต้องห้ามของตนก็แค่ยื่นเฉพาะกับตนคนเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายพิชิตให้สัมภาษณ์จบ ก่อนเดินเข้าห้องประชุมครม.ได้ชูกำปั้นแสดงความมั่นใจในเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่าไม่กังวลสบาย และตัวเบาตั้งแต่วันที่เข้ามารับตำแหน่งแล้ว

‘ดิเรกฤทธิ์’ น้อยใจ หลังถูกเพื่อนสว. ตำหนิ กรณียื่นตรวจสอบ ‘เศรษฐา-พิชิต’  ย้ำ!! ตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง ทำตามหน้าที่อย่างถูกต้อง ไม่มีใบสั่งจากใครทั้งสิ้น

(22 พ.ค.67) นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สว. ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลการลาออกจากรองประธานกมธ.พัฒนาการเมืองฯว่า ยอมรับน้อยใจในการทำงาน กรณี 40 สว.เข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบคุณสมบัตินายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นความตั้งใจดีในการทำงานเพื่อประเทศ  แต่กลับถูกเพื่อนสว.บางคนตำหนิผ่านสื่อในทำนองว่า ไม่สมควรทำ เพราะสว.หมดวาระไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เหมือนกับเป็นการสร้างปัญหาให้ประเทศ ต้องการล้มรัฐบาล จินตนาการไปไกล การให้ความเห็นเช่นนี้ต่อสาธารณะเหมือนต้องการให้ความน่าเชื่อถือตนลดลง ไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพกัน ทั้งที่ต่างคนต่างทำหน้าที่ เมื่อพิจารณาดูเวลาทำงานที่เหลือช่วงปลายสมัยจึงขอลาออกจากกมธ.พัฒนาการเมือง ส่วนตำแหน่งกมธ.อื่นๆ ยังคงทำงานต่อไป 

เมื่อถามว่า ได้ปรับความเข้าใจกับสว.ที่ให้สัมภาษณ์เชิงตำหนิแล้วหรือยัง นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ต้องเคลียร์ใจอะไร เป็นสไตล์การทำงานของบางคนที่เอาแต่ตำหนิคนอื่น ทำให้ประชาชนเข้าใจสว. คลาดเคลื่อน

"ผมตั้งใจทำงาน แต่ถูกบั่นทอนกำลังใจ ยืนยันว่า การยื่นตรวจสอบนายกฯและนายพิชิตเป็นการทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ไม่มีใบสั่งจากใครทั้งสิ้น" นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top