Friday, 28 June 2024
โรงพยาบาลตำรวจ

โรงพยาบาลตำรวจ จัดกิจกรรม 'สุขภาพดี ส่งสุข สู่ภูมิลำเนา' มอบความสุขให้ผู้เดินทางช่วงปีใหม่

โรงพยาบาลตำรวจ จัดกิจกรรม "สุขภาพดี ส่งสุข สู่ภูมิลำเนา" จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตรวจความพร้อมสุขภาพก่อนเดินทาง เพื่อมอบความสุข ความอุ่นใจให้กับประชาชน ที่เดินทางกลับภูมิลำเนา และท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 

วันพฤหัสบดีที่ 28  ธันวาคม 2566 ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ, พล.ต.ต.หญิง รชยา บุรพลพิมาน ผู้บังคับการอำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ, พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ, พ.ต.อ.หญิง คนึงนิจ สิงห์ไกร พยาบาล (สบ 5) หัวหน้ากลุ่มงานพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ, พ.ต.อ.หญิง ทัศนีย์ รวีภควัต นายแพทย์ (สบ 5) หัวหน้ากลุ่มงานเวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลตำรวจ และ พ.ต.อ.ณัฐพล ปิตะนีละบุตร นายแพทย์ (สบ 5) หัวหน้ากลุ่มงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมโครงการ "ปีใหม่ปลอดภัย ร่วมใจลดอุบัติเหตุทางถนน" ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งปีนี้ โรงพยาบาลตำรวจร่วมจัดกิจกรรม "สุขภาพดี ส่งสุข สู่ภูมิลำเนา" นำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตรวจความพร้อมสุขภาพก่อนการเดินทาง ให้พนักงานขับรถ และประชาชนที่มาใช้บริการ อาทิ

-ตรวจโรคทั่วไปวัดความดัน วัดไข้

-ตรวจคัดกรองผู้มีภาวะเสี่ยงติดเชื้อโควิด (ตรวจ ATK)

-แจกพิมเสนน้ำ

-แจกยาสามัญประจำบ้าน

-มอบความสุขด้วยเสียงดนตรีโดยวงดนตรี PGH Band

นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยังมอบยาและตู้ยาสามัญประจำบ้าน ให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยมีนายสุขใจ เจริญผล รองผู้อำนวยการฝ่ายด้านแผนพัฒนาฝ่ายปฏิบัติการเดินรถ เป็นผู้รับมอบ

การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ครั้งนี้สร้างความยินดีให้กับผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก โดยให้ความสนใจมาใช้บริการกว่า 80 ราย พร้อมขอบคุณนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ทีมแพทย์ และเจ้าหน้าที่ ที่มาให้บริการตรวจสุขภาพในครั้งนี้ 

จากการตรวจร่างกาย พบผู้มาใช้บริการส่วนใหญ่ มีอาการปวดศรีษะ เป็นไข้ ปวดตามกล้ามเนื้อ และมีภาวะความดันสูง ซึ่งแพทย์ให้การรักษาให้ยาลดอาการในเบื้องต้น พร้อมแนะนำวิธีการบรรเทาโรค 

พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์  นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า โรงพยาบาลตำรวจ ให้ความสำคัญเรื่องความพร้อมของสุขภาพก่อนเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือท่องเที่ยว ช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ จึงนำทีมแพทย์มาให้บริการตรวจสุขภาพ และแจกยาที่จำเป็นต่อการเดินทาง เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ผู้เดินทางทุกคน เดินทางไป-กลับอย่างปลอดภัย 

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมนายกสมาคมตำรวจ และคณะ ร่วมมอบพิซซ่าพร้อมน้ำอัดลมแก่โรงพยาบาลตำรวจ ส่งต่อแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อขอบคุณที่ดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี

วันนี้ (4 มกราคม 2567) พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ พร้อมคณะกรรมการสมาคมฯ นำพิซซ่า 1,600 ถาด พร้อมน้ำอัดลม 800 ขวด มอบให้โรงพยาบาลตำรวจ ส่งต่อแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อขอบคุณที่ดูแลข้าราชการตำรวจที่เจ็บป่วย หรือบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงผู้ป่วย และผู้มาใช้บริการ เป็นอย่างดี โดยมี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา/อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมรับมอบ ณ ลานเวที ชั้น 2 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ นอกจากนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ มอบเงิน 50,000 บาท , พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มอบเงิน 30,000 บาท และนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 43 มอบเงิน 30,000 บาท ให้ทางสมาคมตำรวจด้วย

โอกาสนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.อดุลย์ ร่วมร้องเพลงกับวง PGH BAND สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับผู้ร่วมงานทุกคนด้วย ทั้งนี้ พล.ต.อ. อดุลย์ กล่าวขอบคุณ และอวยพรปีใหม่ให้แก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรของโรงพยาบาล ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี

ด้านนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานทุกคน ที่มาร่วมแสดงความขอบคุณทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรของโรงพยาบาลตำรวจ ที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด พร้อมขอบคุณสมาคมตำรวจและคณะ ที่สนับสนุนและให้การช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจมาโดยตลอด ยืนยันว่า บุคคลากรของโรงพยาบาลตำรวจทุกนายจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด สมกับที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน

โรงพยาบาลตำรวจจัดงานวันเด็ก จัดเต็ม มอบของขวัญ ขนม ผลไม้ และของรางวัลจำนวนมากให้เด็กๆ

วันนี้ (11 มกราคม 2567) โรงพยาบาลตำรวจจัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 หลากหลายกิจกรรม ณ ห้องตรวจโรคกุมารเวชกรรม อาคารเฉลิมพระเกียรติมหาราชินี 60 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ โดย พ.ต.อ.โสภณ พรกุลวิไล หัวหน้ากลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลตำรวจ ผู้เชี่ยวชาญอนุสาขากุมารเวชศาสตร์โรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม ให้การต้อนรับ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และ ร.ต.ท.หญิง สายพิณ สมพงษ์ ภริยา ประธานเปิดงาน ที่แต่งกายชุดในเจ้าชายและเจ้าหญิง โดยมี พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ทีมงานโฆษก และเจ้าหน้าที่จากทีมศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร พร้อมทีมแพทย์ พยาบาลในทุกสาขาของหน่วยกุมารเวชกรรม โรง พยาบาลตำรวจ ร่วมกิจกรรมด้วย

ปีนี้ทุกคนแต่งตัวเป็นการ์ตูน ฮีโร่ และการ์ตูนน่ารักๆ ที่เด็กชื่นชอบ ขณะที่ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 9 สาขา ได้แก่กุมารแพทย์ ทารกแรกเกิด โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต โรคติดเชื้อ โรคเลือด โรคภูมิแพ้ โรคต่อมไร้ท่อ พัฒนาการและพฤติกรรม ขึ้นแสดงเพลง Baby Shark บนเวทีร่วมกับเด็กๆ สร้างสีสัน ความสนุกสนานให้กับผู้ร่วมงานทุกคนโดยนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมภริยา มอบรางวัลให้เด็กๆ ที่ขึ้นแสดงบนเวที และแจกไอศกรีมให้กับเด็กทุกคนด้วย พร้อมนำขนม ไอศกรีม มอบให้กับเด็กและผู้ปกครองที่พักรักษาตัวที่หอผู้ป่วยเด็กด้วย

ขณะที่หน่วยกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลตำรวจ จัดหลากหลายกิจกรรม อาทิ แจกของรางวัล เล่นเกม จับฉลาก และกิจกรรมสันทนาการ ที่ให้ความสนุกสนานกับเด็กและผู้ปกครอง บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่น ทุกคนมีรอยยิ้มแห่งความสุขกับการจัดงานวันเด็กปีนี้ นอกจากความสนุกสนานแล้ว ยังมีกิจกรรมที่ให้ความรู้ อาทิ ซุ้มโภชนาการ ให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารที่เหมาะสมกับวัยของเด็กๆ , ซุ้มทันตกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพฟันการแปรงฟันอย่างถูกวิธี , ซุ้มนมแม่ ให้ความรู้เรื่องการให้นมบุตรในแต่ละช่วงวัย ให้คำปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการให้นมบุตร , ซุ้มประเมินพัฒนาการ ให้ความรู้เรื่องพัฒนาการเด็กในแต่ละวัยอย่างเหมาะสมหากเด็กมีพัฒนาการปกติ จะฝึกให้เด็กอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ หากผิดปกติ อาจจะต้องพบแพทย์

เพื่อแนะนำขั้นตอนการเสริมสร้างพัฒนาการให้กับผู้ปกครอง ซึ่งมีการแนะนำผ่านกล้อง ระบบ LINE OFFICIAL ที่บ้าน ใช้เวลาเพียง 1 เดือนแล้วให้เด็กกลับมาทดสอบใหม่อีกครั้งจนกว่าจะผ่านเกณฑ์ อีกทั้งสอนการช่วยชีวิตเบื้องต้นกรณีอาหารติดคอเด็ก รวมไปถึงสนทนาให้ความรู้ในหัวข้อ "กุมารแพทย์ไขปัญหา" และมีการเล่านิทานเกร็ดความรู้ โดยนักศึกษาพยาบาลด้วย

'อธิบดีราชทัณฑ์' ไฟเขียว!! 'ทักษิณ' นอนโรงพยาบาลต่อ อ้าง!! ความเห็นแพทย์ อาการป่วยยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

(11 ม.ค. 67) นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีนายทักษิณ ชินวัตร ออกไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ เกิน 120 วัน ว่า นายทักษิณ มีโรคประจำตัวหลายโรคที่อยู่ระหว่างการรักษาติดตามอาการ โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ

แพทย์จึงมีความเห็นว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อชีวิตเห็นควรส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่าโดยแนวปฏิบัติกรณีมีผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวัง และยังคงรักษาตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้

แพทย์ได้รายงานอาการเจ็บป่วยในหลายประการที่ต้องเฝ้าระวัง โดยแจ้งความเห็นว่า ผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์เฉพาะทางและต้องดูแลอย่างใกล้ชิดถึงอาการป่วย เพื่อให้พ้นจากสภาวะอันตรายแก่ชีวิต เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จึงได้รายงานมายังกรมราชทัณฑ์เพื่อดำเนินการพิจารณา ตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563
ที่ระบุไว้ว่า

กรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวที่สถานที่รักษาเป็นเวลานาน ให้ผู้บัญชาเรือนจำดำเนินการ ดังนี้ กรณีการพักรักษาตัวเกินกว่า 120 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบต่อไป

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้พิจารณาจากความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาที่พิจารณาแล้ว มีความเห็นว่ายังต้องดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ประกอบกับเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความครบถ้วนตามกฎหมาย จึงพิจารณาเห็นชอบ เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2567 ให้นายทักษิณอยู่รักษาตัวต่อยังโรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากยังคงมีอาการเจ็บป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้ทำการรักษาเฉพาะทาง และหากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรืออาการที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตจะได้ดำเนินการรักษาอย่างทันท่วงที

นายสหการณ์ กล่าวว่า ตั้งแต่กรมราชทัณฑ์ส่งนายทักษิณเข้ารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ตนเองยังไม่เคยพบและเข้าเยี่ยมนายทักษิณแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนจำนวนผู้ต้องขังที่เข้ารักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 120 วัน ไม่ได้มีเพียง 3 ราย แต่ยังมีอีกนับหมื่นรายที่ต้องพิจารณาว่าจะให้นอนพักรักษาตัวเกิน 60 วัน หรือ 120 วัน ส่วนโครงการพักการลงโทษกรณีเหตุพิเศษเนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรืออายุ 70 ปีขึ้นไป ถือเป็นคุณสมบัติของผู้ต้องขังอยู่แล้ว ซึ่งต้องรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 โดยราชทัณฑ์ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะผู้ต้องขังทั่วประเทศมีมากกว่า 1 แสนราย

สำหรับผู้ต้องขังที่จะได้รับประโยชน์จากเงื่อนไขดังกล่าว มีทั้งการลดวันต้องโทษ ได้รับการพักโทษ หรือกรณีที่จำเป็นต้องได้รับการพระราชทานอภัยโทษ โดยรายชื่อผู้ต้องขังที่จะผ่านเกณฑ์นี้ ผู้บัญชาการเรือนจำแต่ละแห่งจะต้องรวบรวมรายชื่อและพิจารณาคุณสมบัติของผู้ต้องขังก่อน ก่อนนำเสนอมายังตนเอง ในฐานะอธิบดีกรมราชทัณฑ์

กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ จึงรายงานให้รัฐมนตรีทราบต่อไป ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 โดยกรมราชทัณฑ์ ยังคงยึดหลักการสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ต้องขังพึงได้รับตามมาตรฐานสากลรวมถึงเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยและตามจรรยาบรรณของแพทย์ ข้อมูลส่วนบุคคลหรือการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล จำเป็นต้องได้รับคำยินยอมจากเจ้าของข้อมูลด้วย กรมราชทัณฑ์จึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยออกสู่สาธารณชนได้ ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ตลอดจนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 323 และข้อบังคับแพทย์สภา ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกร พ.ศ.2549 ข้อ 27 ซึ่งแพทย์ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

'ชัยชนะ' ขึ้นชั้น 14 ยัน!! วันนี้ได้ทำหน้าที่ชัดเจนครบถ้วนแล้ว ส่วนภาพการรักษาที่ให้ไม่ได้ เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

(12 ม.ค. 67) ที่โรงพยาบาลตำรวจ หลังจากที่ นายชัยชนะ เดชเดโช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ (กมธ.ตร.) สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคณะทำงาน เข้าศึกษาดูงาน ที่อาคารศรียานนท์ กองบังคับการอำนวยการ โรงพยาบาลตำรวจ โดยมี พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ นายแพทย์ (สบ7) โรงพยาบาลตำรวจ และคณะร่วมชี้แจงรายละเอียด ข้อซักถามต่างๆ

ต่อมา นายชัยชนะ พร้อม นางทิพา ปวีณาเสถียร ส.ส.ลำปาง พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษก กมธ.ตร. และทีมแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ เดินทางไปที่อาคารภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ซึ่งเป็นอาคารพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนเดินทาง นายชัยชนะ กล่าวเพียงว่าขออนุญาตไปตรวจดูตามหน้าที่จะกลับมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง โดยทั้งหมดขึ้นรถกอล์ฟ ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ

จากนั้นมีรายงานว่านายชัยชนะ และคณะกรรมาธิการฯ ขึ้นไปถึงชั้น 14 และพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล บริเวณหน้าเคาน์เตอร์พยาบาลของสถานที่พักของผู้ป่วย แต่ไม่ได้เข้าไปในห้องพักของผู้ป่วย ซึ่งใช้เวลาพูดคุยประมาณ 10 นาที จากนั้นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลตำรวจ ได้นำคณะกรรมาธิการฯ ไปเยี่ยมนักโทษที่รักษาตัวอยู่บริเวณชั้น 7 ของอาคารแห่งนี้ต่อด้วย

ต่อมา นายชัยชนะ เปิดเผยว่า มีผู้ต้องขังมารักษาที่โรงพยาบาลค้างคืนท่านเดียว คือ นายทักษิณ รายอื่นเป็นผู้ต้องขังมารักษาแบบเช้าเย็นกลับ ทั้งนี้ตนได้หารือตามกรอบระเบียบกับทางโรงพยาบาลตำรวจ จึงอนุญาตให้ขึ้นไปชั้น 14 เพื่อไปดูขั้นตอนวิธีการคุมขัง

พบทั้งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ตำรวจในท้องที่รวม 8 นาย ส่วนที่ถามว่าได้เจอตัวนักโทษหรือไม่ เรื่องนี้เป็นความเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ส่วนบุคคลฯ ที่อนุญาตให้ได้เท่านี้ ฉะนั้นสิ่งที่อนุญาตตามกฎหมายคือได้พบเจ้าหน้าที่ประจำชั้น

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า ส่วนจะยืนยันว่านายทักษิณ พักอยู่ที่โรงพยาบาลหรือไม่เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งก็แจ้งมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นพ.ร.บ.ส่วนบุคคล ทั้งนี้เรายืนยันว่าไม่ได้มาขอเยี่ยมใครคนใดคนหนึ่ง เพียงมาดูว่าวิธีปฏิบัติเท่าเทียมหรือไม่ ส่วนวิธีการรักษาก็ชี้แจงไม่ได้

ตนขอย้ำว่ามาดูขั้นตอน วิธีการ เจ้าหน้าที่ควบคุมอย่างไรเมื่อมีผู้ต้องหามาค้างคืน โดยจากที่ได้พูดคุย คือทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะมีการผลัดเปลี่ยนเวรเพื่อดูแล 24 ชั่วโมง และต้องมีการรายงานผู้บังคับบัญชาทุก 2 ชั่วโมง เป็นการถ่ายภาพในห้องที่ผู้ต้องขังที่เป็นผู้ป่วยพักอยู่ ห้องพักไม่ได้มีการล็อกผู้คุมจะเดินเข้าออกได้ทุกเวลา

นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า ตนไม่ก้าวล่วงในการรักษาของแพทย์ จากนี้ต้องไปถามทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่าเอกสารที่ กมธ.ตร.ขอไปว่าแต่ละวันผู้คุมคนไหนที่มาเข้าเวร ผลัดเปลี่ยนเวรอย่างไร ลงชื่ออย่างไร และส่วนของเอกสารค่ารักษาพยาบาล ที่แจ้งว่าใช้สิทธิ์ สปสช.และถ้าเกินจะใช้เงินส่วนตัวได้ ได้เตรียมให้ตามที่ขอไปแล้วหรือไม่

ตนยืนยันว่าส่วนของโรงพยาบาลตำรวจวันนี้ได้ทำชัดเจนครบถ้วนแล้ว ภาพการรักษาที่ให้ไม่ได้เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

ส่วนนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ผิดอะไร แต่ถ้ากรมราชทัณฑ์ไม่ต้องการเป็นจำเลยสังคมนี้ ต้องชี้แจงกับสังคมให้เข้าใจ เมื่อไรที่ชี้แจงไม่เข้าใจจำไว้เลยว่าจำเลยของสังคมก็คือกรมราชทัณฑ์ ส่วนโรงพยาบาลตำรวจ

ต้องยอมรับว่าสิ่งที่โรงพยาบาลทำวันนี้ถูกต้องที่สุดให้ความร่วมมือให้ข้อเท็จจริง การจะยืนยันว่านายทักษิณ อยู่หรือไม่เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ตนขอยืนยันว่ามาดูกระบวนการขั้นตอนเท่านั้น“ นายชัยชนะ กล่าว

นายชัยชนะ กล่าวถึงประเด็นที่กล้องวงจรปิดของอาคารรักษาตัวของนายทักษิณ เสียทั้งอาคาร โดยฝากข้อความไปถึงนายกรัฐมนตรีว่าขอให้ใช้งบประมาณจำนวน 2 ล้านบาทที่นำไปท่องเที่ยวต่างประเทศมาซ่อมแซมกล้องวงจรปิดให้ใช้งานได้ นอกจากภายในอาคารแล้ว บริเวณรอบข้างก็พบว่าก็วงจรปิดเสียด้วยเช่นกันและเสียมาหลายปีแล้ว

สำหรับการมาศึกษาดูงานของกมธ.ตร.นั้น เพื่อสอบถาม ขั้นตอนการปฏิบัติผู้ต้องขังที่ส่งมารักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ว่ามีวิธี รูปแบบขั้นตอนอย่างไร ปฏิบัติกับผู้ต้องขังทุกคนเท่าเทียมหรือไม่

รวมถึงมาสอบถาม กรณีที่ประชาชนมีข้อสงสัยและให้ความสนใจ คือการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นผู้ต้องขังที่รักษาตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค.2566 ว่ามีการปฏิบัติอย่างไร รักษาตัวอยู่ที่ชั้นไหน อย่างไรบ้าง

‘วัชระ’ สุดทน!! ยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. สอบนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ไล่เช็ก ‘ราชทัณฑ์’ ส่อเอื้อประโยชน์นักโทษ ด้าน ‘พ.ต.อ.ทวี’ โดนด้วย!!

(13 ม.ค.67) นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (12 ม.ค. 67) หลังจากทราบว่า คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ไปที่โรงพยาบาลตำรวจ แล้วไม่ได้พบ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จึงไปยื่นหนังสือถึง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่อาคาร 4 สำนักงาน ป.ป.ช. โดยในหนังสือร้องเรียนถึงปปช.มีรายละเอียดดังนี้

“ตามที่กรมราชทัณฑ์ได้รายงานสถานการณ์กรณีนายทักษิณฯ ออกรักษาตัวภายนอกเรือนจำเกิน 120 วัน ลงวันที่ 11 มกราคม 2567 โดยแจ้งความเห็นแพทย์ว่า ผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์เฉพาะทาง และต้องดูแลอย่างใกล้ชิดถึงอาการป่วย เพื่อให้พ้นจากสภาวะอันตรายแก่ชีวิตนั้น

ข้าพเจ้านายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชน กรณีเคลือบแคลงสงสัยข่าวกรมราชทัณฑ์เรียกสรรพนาม ‘นช.ทักษิณ ชินวัตร’ ว่า ‘นาย’ ทั้งที่ในปัจจุบันเป็น ‘นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร’ หรือชื่อย่อ ‘นช.’ มีโทษจำคุก 1 ปี ตามราชกิจจานุเบกษาและต้องถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกรมราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 กฎและระเบียบอย่างเคร่งครัด

การออกข่าวกรมราชทัณฑ์โดยใช้สรรพนามไม่ถูกต้องตามกฎหมาย กฎ ระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของทางราชการ มีลักษณะเอื้อประโยชน์และอวยนักโทษที่มีฐานะ ไม่ปฏิบัติตามหลักนิติรัฐและนิติธรรมไม่เสมอภาคกับนักโทษทั่วประเทศ จำนวน 280,000 คน ส่อว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต ขอให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และผิดประมวลจริยธรรมของข้าราชการและตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ดังนี้

1.) ขอให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์กับพวก กรณีการออกข่าวกรมราชทัณฑ์ใช้สรรพนามเรียก นช.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและกรณีที่เกี่ยวข้อง เช่น การอนุมัติให้ นช.ทักษิณ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ถูกต้องตามระเบียบขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์ โดยมีกรณีนายวิษณุ เครืองาม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 และกรณีกรมราชทัณฑ์ตอบรับว่าจะส่งเอกสารและคลิปภาพ วันที่ 22-23 สิงหาคม 2566 ให้คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กรณี นช.ทักษิณ ให้สอบสวนเอาผิดว่าเหตุใดยังไม่ส่ง และขอให้ออกคำสั่งคุ้มครองคลิปวิดีโอดังกล่าวไม่ให้ถูกทำลาย

2.) ขอให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน แพทย์โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจทุกรายและแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจชื่อ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ (พตร.) กรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องรักษาอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน (เกิน 120 วัน) ส่อว่าใช้วิชาชีพแพทย์กรอกข้อความอันเป็นเท็จต่อราชการหรือไม่ ให้ตรวจทุกฉบับตั้งแต่ 22 สิงหาคม 2566 ถึงวันนี้

3.) ขอให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ว่าเหตุใดไม่ดำเนินการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ นช.ทักษิณ ชินวัตร ตามคำร้องเรียนลงวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เจ็บป่วยจริงหรือไม่ ทำไมระยะเวลาการรักษาเกิน 120 วันยังไม่หายเป็นอะไร ทำไมอยู่นานถึง 120 วันเอื้อประโยชน์ให้กับ นช.ทักษิณหรือไม่

ทั้งนี้ โดยขอให้กันข้าราชการกรมราชทัณฑ์ (พัศดี/ผู้คุม) แพทย์พยาบาลโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจที่ให้การเป็นประโยชน์ไว้เป็นพยานทุกคน

ผบ.ตร.ห่วงใยคิดถึงเด็กนอนป่วยในโรงพยาบาลตำรวจ ส่งทีมโฆษก ตร. สร้างความสุข มอบของขวัญวันเด็กให้กำลังใจถึงเตียง 

เมื่อวันนี้ 13 มกราคม 2567 ที่โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากเป็นวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.มีความห่วงใยและคิดถึงเด็กๆ อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นในงานวันเด็กสนุกสนานเหมือนคนอื่นๆ แต่ต้องมานอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ จึงมอบหมายให้ ทีมโฆษกตำรวจ ประกอบด้วย พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ และ พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย รัตนพานิช รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทีมงานนำกระเช้าของขวัญไปมอบให้เด็กๆ ที่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมนำความห่วงใยจาก ผบ.ตร.ไปสื่อสารกับผู้ปกครองของเด็กๆ ท่ามกลางความดีใจของครอบครัวเด็ก ที่ผบ.ตร.คิดถึงเด็กๆ และให้ความกรุณามอบของขวัญวันเด็กถึงเตียงผู้ป่วย 

ตัวแทน ‘นพ.ใหญ่’ เผยอาการ ‘ทักษิณ’ สวิงขึ้น-ลง  เสี่ยงวิกฤตตลอดเวลา ยืนยัน!! รักษาตัวอยู่จริง

(14 ก.พ.67) ที่โรงพยาบาลตำรวจ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ ไทย (คปท.) ได้ไปเจรจากับตัวแทนของนายแพทย์ใหญ่ เกี่ยวกับอาการป่วยของ นายทักษิณ ชินวัตร โดยได้รับคำตอบว่า อาการของนายทักษิณสวิง ขึ้น ๆ ลง ๆ ชีพจรไม่คงที่ เนื่องจากนายทักษิณ อายุ 75 ปี ซึ่งอาการเสี่ยงวิกฤตตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เมื่อขอขึ้นไปเยี่ยมอาการที่ชั้น 14 ตัวแทนนายแพทย์ไม่ได้อนุญาต นอกจากนี้ ในส่วนสอบถามคำถามอื่น ๆ ไม่ได้รับคำตอบ และโยนให้ไปถามทางราชทัณฑ์แทน

พร้อมกันนี้ ทาง คปท. ได้ตั้งข้อสงสัยกับทางแพทย์ว่า เมื่อถึงวันพ้นโทษอาการของนายทักษิณจะอาการดีขึ้นและสามารถเดินเหินได้หรือไม่ นายแพทย์บอกว่ายังไม่สามารถตอบได้ ซึ่งส่วนนี้เป็นที่น่าสงสัยของประชาชนที่ตั้งคำถาม อยากให้ประชาชนช่วยจับตาดูว่าหากมีการพักโทษแล้ว อาการของทักษิณจะกลับมาปกติเลยหรือไม่ 

ส่วนข้อสงสัยที่ว่านายทักษิณยังรักษาตัวอยู่ชั้น 14 หรือไม่นั้น ทางแพทย์ยืนยันว่า ยังคงมีการรักษาตัวอยู่จริง ซึ่งตนกับทางคณะยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทั้งนี้ ทาง คปท.จะปักหลักที่สะพานชมัยมรุเชฐต่อ จนกว่าจะถึงวันพักโทษ และจะจับตาดูอัยการว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้างหลังจากนายทักษิณได้พักโทษ

นายพิชิต ระบุอีกว่าหลังจากการพักโทษ ทาง คปท.จะมีการไปทวงถาม ป.ป.ช.ว่ามีการสอบนายข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการให้นายทักษิณรักษาตัวนอกเรือนจำ ว่ามีการสอบไปถึงไหนแล้ว ซึ่งเคยยื่นเอกสารให้ตรวจสอบไปแล้วก่อนหน้านี้

โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมสนับสนุนทีมแพทย์ พยาบาล ปฏิบัติภารกิจจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลกเพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก

พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่(สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ มอบหมายให้ พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ/กรรมการและประธานฝ่ายแพทย์/คณะกรรมการการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลก เพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก จัดการประชุมคณะทำงานฝ่ายแพทย์ คณะกรรมการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลก

โดยมี พล.ต.ต. ภาณุเดช บุญเรือง กรรมการและรองเลขานุการ คณะกรรมการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลก เพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก, พล.ต.นายแพทย์ ภูษิต เฟื่องฟู กรรมการคณะกรรมการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลก เพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก, อาจารย์ ณรงค์ สุขมะโน กรรมการคณะกรรมการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลกเพื่อคัดเลือกไป
โอลิมปิก, พล.ต.ต.เอกลักษณ์ ดีรุ่งโรจน์ นายแพทย์ (สบ 6) หัวหน้าศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ , ทีมแพทย์ พยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ เข้าร่วมประชุม เพื่อเตรียมความพร้อมทีมแพทย์ พยาบาลในการดูแลนักกีฬา

พล.ต.ต. ภาณุเดช บุญเรือง กรรมการและรองเลขานุการ คณะกรรมการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลก เพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำให้นักกีฬามวยสากลทั่วโลกได้ไปแข่งขันกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยจัดการแข่งขันที่สนามกีฬาอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก มีนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน มากกว่า 600 คน จาก 40 ประเทศ ถือเป็นโอกาสดีที่จะประชาสัมพันธ์ความพร้อมของประเทศไทย ซึ่งครั้งนี้ได้รับเกียรติจากโรงพยาบาลตำรวจ ให้การสนับสนุนด้านการแพทย์ ที่จะร่วมกันสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ

พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ/กรรมการและประธานฝ่ายแพทย์/คณะกรรมการการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลก เพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก กล่าวว่า ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความสำคัญระดับโลก โรงพยาบาลตำรวจขอบคุณผู้จัดการแข่งขัน ที่ให้ทางโรงพยาบาลตำรวจ ร่วมภารกิจครั้งนี้ ซึ่งทางโรงพยาบาลตำรวจ มีความพร้อมให้การสนับสนุน โดยจัดทีมแพทย์ พยาบาล ประจำการแข่งขัน เพื่อดูแลนักกีฬา ตลอดระยะเวลาการแข่งขันทั้ง 11 วัน ซึ่งจัดทีมแพทย์ 3 ทีม ต่อวัน รวมทั้งรถพยาบาล จากศูนย์ส่งกลับโรงพยาบาลตำรวจ ในการนำส่งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาดูแลต่อที่โรงพยาบาลตำรวจ

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"

#PGH
#โรงพยาบาลตำรวจ
#ศูนย์ประชาสัมพันธ์สื่อสารองค์กรและโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ

โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมสนับสนุนทีมแพทย์ พยาบาล ปฏิบัติภารกิจจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลกเพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุม ชั้น 25 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา การกีฬาแห่งประเทศไทย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานแถลงข่าว ความพร้อมศึกมวยสากลชิงตั๋วโอลิมปิก 2024 เปิดตัว 6 กำปั้นไทยได้ลุ้นโควต้าในบ้าน โดยมี นายกสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ 

โอกาสนี้ พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ/กรรมการและประธานฝ่ายแพทย์/คณะกรรมการการจัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลก เพื่อคัดเลือกไปโอลิมปิก ร่วมแถลงข่าวด้วย 

โดยเผยว่า โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมสนับสนุน จัดการแข่งขันมวยสากลระดับโลกเพื่อคัดเลือกไป สนามที่ 2 หรือ 2 nd World Qualifying Tournament Boxing Road To Paris Bangkok ซึ่งสนามสุดท้ายนี้จะเริ่มระเบิดกำปั้นนัดแรก วันที่ 24 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน นี้ ที่สนามอินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก กรุงเทพฯ ทางโรงพยาบาลให้การสนับสนุนภารกิจดูแลนักกีฬา ที่เข้าร่วมการแข่งขัน ทั้งที่สนามแข่งขัน และโรงแรมที่นักกีฬาเข้าพัก โดยจัดทีมแพทย์ พยาบาล ประจำการแข่งขัน เพื่อดูแลนักกีฬา ตลอดระยะเวลาการแข่งขันทั้ง 11 วัน ซึ่งจัดทีมแพทย์ 3 ทีม ต่อวัน รวมทั้งรถพยาบาล จากศูนย์ส่งกลับโรงพยาบาลตำรวจ ในการนำส่งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาดูแลต่อที่โรงพยาบาล

พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ ยังกล่าวอีกว่า ภารกิจครั้งนี้เป็นภารกิจครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีความสำคัญระดับโลก โรงพยาบาลตำรวจขอบคุณผู้จัดการแข่งขัน ที่ไว้วางใจให้ร่วมภารกิจครั้งนี้ ซึ่งทางโรงพยาบาลตำรวจ มีความพร้อมให้การสนับสนุนทีมแพทย์ พยาบาลดูแลสุขภาพร่างกายของนักกีฬาอย่างเต็มที่

การแข่งขันกีฬาระดับโลกครั้งนี้ มีประเทศที่ลงทะเบียนข้าร่วมการแข่งขัน 144 ประเทศ มีนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ กว่า 1,460 คน ทั่วโลกเข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหมดจะได้รับการรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ (NOC) และถือเป็นการสิ้นสุดการคัดเลือกนักกีฬามวยสากลโลกสู่โอลิมปิก 2024

โรงพยาบาลตำรวจ เชิญชวนประชาชนร่วมเชียร์ สิบตำรวจโท ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด รุ่น 51 กิโลกรัม นักกีฬามวยที่ได้รับ คัดเลือกไปแข่งขันมวยโอลิมปิก และ ส่งกำลังใจให้ 3 ตำรวจ คือ  สิบตำรวจโท พีรภัทธ์ เยียะสูงเนิน รุ่น 71 กิโลกรัม สิบตำรวจโท วีระพล จงจอหอ รุ่น 80 กิโลกรัม และสิบตำรวจโทหญิง ใบสน มณีก้อน รุ่น 75 กิโลกรัม ที่ จะเข้าแข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อไปโอลิมปิก

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top