Thursday, 4 July 2024
ธนกร_วังบุญคงชนะ

'ธนกร' เอือม!! ผลสอบ 2 สส.ก้าวไกลคุกคามทางเพศ 'ผิดจริง' คนหนึ่งถูกขับออกจากพรรค แต่อีกคนกลับได้ไปต่อ

(2 พ.ย.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงความปั่นป่วนของพรรคก้าวไกล หลังมติขับ สส.คุกคามทางเพศ 2 มาตรฐาน ระบุว่า...

"มาตรฐานใหม่สูงลิ่วจริง ๆ
ผลสอบ 2 สส.คุกคามทางเพศผิดจริง
คนหนึ่งถูกขับออกจากพรรค 
สส. อีกคนได้ไปต่อ อนาถใจจริง"

'ธนกร' ชี้!! 'พีระพันธุ์' ทำตามสัญญาสำเร็จ ลดค่าไฟฟ้า 4.18 บาทต่อหน่วย เชื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายไฟฟ้าภาค 'ครัวเรือน-โรงงาน-ภาคเอกชน' ได้มาก

(12 ม.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า “จากการติดตามการดำเนินการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ล่าสุดได้ประกาศอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนม.ค. ถึง เม.ย. 2567 ทั่วไปในอัตรา 4.18 บาทต่อหน่วย ส่วนผู้ที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วย ในอัตราค่าไฟที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ตามที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ ซึ่งเป็นการลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก ซึ่งตนต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่คงมาตรการนี้ต่อ”

ทั้งนี้ จากที่ตนได้ฟังเสียงตอบรับจากประชาชนและภาคเอกชน ต่างมีความพึงพอใจมาตรการลดค่าไฟฟ้าดังกล่าว ว่าลดค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนได้จริง หลังจากนายกฯและครม.ให้การสนับสนุนข้อเสนอของกระทรวงพลังงานและอนุมัติงบกลางเพื่อช่วยยืนมาตรการนี้ โดยหลังจากนี้จะมีการรายงานให้ ครม.รับทราบต่อไป

นายธนกร ยังกล่าวว่า “ถือเป็นความตั้งใจของรัฐบาล โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ ที่ได้ “ทำตามสัญญา“ ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้าของประชาชน ซึ่งภาคประชาชนเอง ก็หวังอยากให้รัฐบาลดำเนินมาตรการดังกล่าว ต่อเนื่องยาวไปจนถึงรอบบิล งวดเดือน พ.ค.-ส.ค.67 โดยเชื่อว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือน โรงงานอุตสาหกรรม ภาคเอกชนต่างๆได้อย่างมาก ส่งผลต่อการลดต้นทุนการผลิตภาคเอกชนทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้นด้วย”

‘ธนกร’ ป้อง ‘ลุงตู่’ หลังถูกพาดพิงประเด็นเยือนต่างประเทศ ยัน!! อดีตนายกฯ เยือนต่างประเทศบ่อยครั้งตามวาระและคำเชิญ

(13 มี.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กกล่าวว่า…

“จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์การเยือนต่างประเทศของนายกฯ ข้อเท็จจริง คือ นายกรัฐมนตรีทุกยุคทุกสมัย ก็ได้มีการเยือนต่างประเทศและร่วมประชุมเวทีโลก ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ในสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีก็ไปเยือนประเทศต่าง ๆ ทั้งการเยือนต่างประเทศ ตามคำเชิญผู้นำชาติต่าง ๆ รวมทั้งการเข้าร่วมประชุมทั้งความร่วมมือระหว่างประเทศ UN APEC ASEAN และเวทีความร่วมมือตามภารกิจของผู้นำไทยในเวทีโลก”

นายธนกร ระบุต่อว่า “อาจจะมีการเว้นว่างแค่ช่วงที่มีสถานการณ์โควิด-19 ระบาดเท่านั้นที่ ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกชะลอการเดินทาง จึงขอบอกกล่าว เพื่อจะได้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ที่นำอดีตนายกฯ มาเปรียบเทียบไม่ศึกษาบริบทประเทศ-โลก เน้นวาทะกรรมนำหน้าข้อมูล อาจเป็นเพราะเหตุนี้หรือไม่หนอ ที่ความสามารถระดับนายจิรายุ รอบนี้ถึง ยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นโฆษกรัฐบาล”

“หากถามผมว่า มองอย่างไรกับการเยือนต่างประเทศของนายกฯ ผมไม่ขอก้าวล่วงอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน ซึ่งท่านนายกเศรษฐา คงมีแผนงานการไปร่วมประชุมและเป้าหมายการเดินทางไปเยือนต่างประเทศอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นดึงนักธุรกิจมาลงทุนในประเทศ รวมถึงการโปรโมตการท่องเที่ยวให้ต่างชาติเข้ามาประเทศไทย ตามที่ท่านฯ ได้ระบุไว้” นายธนกร กล่าว

‘ธนกร’ ค้าน!! นิรโทษกรรม คนผิด ม.112 ยัน!! เป็นคดีด้านความมั่นคง ไม่ใช่การเมือง

(15 มี.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำนปช.มองคดี ม.112 เป็นเงื่อนไขทางการเมือง หากอยากคลี่คลายความขัดแย้งควรขยายพื้นที่การนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมถึงความผิดมาตรานี้ด้วยนั้น ว่า ก่อนอื่นบุคคลในฝ่ายการเมืองต้องตั้งหลักให้ถูกต้องก่อน เพราะคดีชุมนุมทางการเมือง กับ คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นการหมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ เป็นคนละเรื่องที่จะนำมาเหมารวมว่าเป็นการเมืองไม่ได้

“ยกตัวอย่างหากมีใครมาด่าว่า หมิ่นประมาทบุพการีของเรา แบบเสีย ๆ หาย ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการเมือง เจ้าตัวจะยอมหรือไม่ ผมเข้าใจว่าที่หลายคนมองเรื่องนี้ผิดไปเป็นเรื่องการเมืองนั้น เนื่องจากมีบางพรรคการเมืองให้การสนับสนุนกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ ออกมาเคลื่อนไหว เมื่อมีความผิดก็คิดว่าเป็นคดีทางการเมืองซึ่งไม่ใช่ และที่สำคัญศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ชี้ชัดแล้วว่าการออกมาเคลื่อนไหวเรื่องการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรานี้ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง ผมจึงอยากให้ทุกฝ่ายทางการเมืองตั้งสติ แยกประเด็นให้ถูกต้อง” นายธนกร กล่าว 

เมื่อถามว่าหากนิรโทษกรรมไม่รวมคดี ม.112 จะมีการแก้ปัญหาความเห็นต่างในบ้านเมืองอย่างไร นายธนกร กล่าวว่า สังคมไทยมีหลายเวทีให้แสดงความคิดเห็นตามหลักประชาธิปไตย ทั้งเวทีสาธารณะและเวทีสภา ซึ่งตนมองว่าควรที่จะเคารพความเห็นต่างของทุกฝ่าย แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมือง หรือ บางกลุ่ม ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน สมควรที่ปัญญาชนต้องเคารพสิทธิเสรีภาพคนอื่นในสังคม ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น โดยอ้างเหตุผลของกลุ่มตนเองฝ่ายเดียวมากกว่านั้น พรรคการเมืองหรือผู้ใหญ่ต้องชี้แนะ และให้คำปรึกษาที่ถูกต้องแก่คนรุ่นใหม่ ไม่เป็นการให้ท้ายในทางที่ผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นความมั่นคงของรัฐ ต้องให้ความสำคัญใครจะละเมิดไม่ได้ ถือว่าเป็นการสร้างความแตกแยกและบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ

“คุณณัฐวุฒิ ควรยึดหลักการให้ดี ไม่ใช่เห็นว่าเป็นการชุมนุมแล้วเหมารวมว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองไปเสียหมด ต้องมาดูว่าเจตนาและเป้าหมายของการชุมนุมและการแสดงความเห็นต่าง ๆ นั้น ต้องการอะไรกันแน่ ความคิดเห็น ความชื่นชอบทางการเมืองแตกต่างกันได้ แต่ต้องไม่สร้างความแตกแยก ทำกิจกรรมโดยความสงบ และต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย หากทำผิดเรื่องความมั่นคงของรัฐ ไปแตะต้องเบื้องสูงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร ไม่ถูกต้อง และศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยชี้ชัดมาแล้ว ซึ่งนายณัฐวุฒิก็ยอมรับเองว่าไม่เคยมีการเคลื่อนไหวแบบนี้มาก่อน จึงมองว่าเรื่องนี้ก็ไม่ควรที่จะได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่ใช่การเมือง” นายธนกร กล่าว

‘ธนกร’ ขอบคุณ ‘สุริยะ’ แก้ปัญหาตั๋วเครื่องบินแพงช่วงเทศกาล เชื่อ!! หากคุมได้ทั้งปี จะช่วยหนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ

(11 เม.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและสะท้อนปัญหาราคาค่าตั๋วเครื่องบินแพงในช่วงเทศกาลไปยังนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และในคณะกรรมาธิการกิจการศาล องคร์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและกองทุน สภาผู้แทนราษฎรหลายครั้ง  ล่าสุด นายสุริยะได้กำชับให้นโยบายกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการบิน โดยมีการตอบรับอย่างดีจาก 6 สายการบินคือ การบินไทย, ไทยแอร์เอเชีย, บางกอกแอร์เวย์ส, ไทยไลอ้อนแอร์, นกแอร์ และไทยเวียตเจ็ท ได้เพิ่มเที่ยวบินในช่วงวันที่ 11-12 เมษายน และ 15-16 เมษายน รวม 104 เที่ยวบิน จำนวน 17,874 ที่นั่ง เพื่อสอดคล้องกับมติของคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้มีวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ปีนี้รวม 6 วัน และเพื่อแก้ไขปัญหาราคาบัตรโดยสารเครื่องบินแพงเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนด้วย โดยจะทำการบินไปยังสนามบินหลักให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั้ง ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย อุบลราชธานี อุดรธานี และขอนแก่น

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ทางกพท.ได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลค่าโดยสารของวันที่ 12 เมษายน 2567 ซึ่งคาดว่าประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงสงกรานต์เป็นวันแรก ใน 3 เส้นทางยอดนิยม คือกรุงเทพฯ-ภูเก็ต กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ-กระบี่ 

พบว่าเส้นทางกรุงเทพฯ-ภูเก็ต โดยมีค่าโดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 2,611 บาทต่อเที่ยว ส่วนกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ค่าโดยสารเฉลี่ยที่ 2,346 บาทต่อเที่ยว และกรุงเทพฯ-กระบี่ มีค่าโดยสารเฉลี่ยเท่ากับ 2,797 บาทต่อเที่ยว ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาค่าบัตรโดยสารในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ถือว่าราคาลดลง 3-14%  

นอกจากนี้ขอให้รมว.คมนาคมและกพท. ควบคุมกำกับดูแลเรื่องราคาบัตรโดยสารเครื่องบินในสายการบินที่เหลือ รวมถึงขยายมาตรการดังกล่าวออกไปในช่วงปกติที่ไม่ใช่เทศกาลด้วย เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีของรัฐบาลด้วย

“ขอขอบคุณท่านสุริยะ กระทรวงคมนาคม และกพท.รวมถึงขอบคุณผู้บริหารทั้ง 6 สายการบิน ที่ไม่ปล่อยผ่านความเดือดร้อนของประชาชนที่ร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก เรื่องค่าตั๋วเครื่องบินแพง โดยเฉพาะช่วงเทศกาล จนนำมาซึ่งการควบคุมและแก้ปัญหาดังกล่าวได้สำเร็จ โดยเห็นว่าควรขยายมาตรการนี้ไว้ตลอดทั้งปี เพื่อลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง ทั้งยังเป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลเรื่องการท่องเที่ยวด้วย โดยเชื่อว่าในช่วงมหาสงกรานต์วันหยุดยาวครั้งนี้ จะเห็นการเดินทางของพี่น้องประชาชนและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนเติบโตตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ได้อย่างแน่นอน” นายธนกร กล่าว

‘ธนกร’ ฟาดใส่ ‘ธนาธร-ช่อ’ หยุดชี้นำชวนสมัคร สว. ผ่านเว็บ ย้ำ!! ถ้าอยากได้ สว.‘อิสระ-เป็นปชต.’ ก็ไม่ควร ออกมาเคลื่อนไหว

(28 เม.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.)กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ออกประกาศเตือนไปถึงกลุ่มบุคคลและตัวแทนองค์กร ที่จัดแคมเปญให้มีการจูงใจ หรือชี้ชวน รวบรวมบุคคลจากหลากหลายอาชีพรวม 20 กลุ่ม ให้เป็นผู้เสนอตัวสมัครเข้ารับการเลือกให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ โดยมีผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้ารับการเลือกเป็นส.ว. จำนวนมากได้กรอกข้อมูลส่วนตัว จุดยืนวิสัยทัศน์ ลงในเว็บไซต์เพื่อให้ผู้จัดแคมเปญรวบรวมข้อมูลนั้น อาจเข้าข่ายเป็นการจัดตั้งบุคคลให้มาเป็นผู้สมัครรับเลือกส.ว. อาจเข้าข่ายมีความผิดกฎหมาย

นายธนกร กล่าวว่า หากกกต.มีเหตุสงสัยว่าการเลือกไม่ได้เป็นไปโดยสุจริต มีอำนาจสั่งระงับ ยับยั้ง แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกการเลือกและสั่งให้ดำเนินการเลือกใหม่ หรือนับคะแนนใหม่ได้ทันที หากพบว่าผู้สมัครรับเลือกเป็นส.ว.ยินยอมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใดช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับเลือกต้องถูกระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับ ตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นด้วย ซึ่งท้ายที่สุด จะทำให้การเลือกส.ว.มีปัญหาในหลายอำเภอ หลายจังหวัด โดยมองว่า จะมีการร้องเรียนกันไปมาวุ่นวายทั้งประเทศและส่งผลทำให้ได้ส.ว.ชุดใหม่ ล่าช้าออกไป

“ขอฝากไปถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า น.ส.พรรณิการ์ วานิช และแกนนำที่ออกมาเปิดแคมเปญเชิญชวนให้คนมาสมัครเป็นส.ว.กันเยอะๆ และยังมีการให้กรอกข้อมูลผ่านเว็บไซต์นั้น กกต.ออกโรงเตือนแล้วขอให้ระมัดระวัง อย่าทำผิดกฎหมายเสียเอง ถ้าอยากเห็นส.ว.ชุดใหม่ มีที่มาโดยสุจริต ถูกต้องและโปร่งใส เลือกกันเองใน 20 วิชาชีพ ไม่มีฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงหรืออยู่เบื้องหลัง ตามเจตนารมย์ประชาธิปไตยจริงๆ ก็ไม่ควรออกมาเคลื่อนไหว สุดท้ายเกรงว่าจะได้ส.ว.จัดตั้งในร่างทรงฝ่ายการเมืองบางกลุ่มมากกว่า” นายธนกร กล่าว

‘ธนกร’ ฟาดใส่ ‘ชัยธวัช’ เอาแรงงานมาอ้าง หวังผลโจมตีทางการเมือง ชี้!! รัฐมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตปชช. ปรับค่าแรงทุกปี แต่ต้องดูให้รอบคอบ

(1 พ.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) กล่าวว่ากระทรวงแรงงาน และรัฐบาลให้ความสำคัญกับพี่น้องประชาชนภาคแรงงาน เพราะถือเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ พัฒนาเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรม การเกษตรและภาคท่องเที่ยว ล้วนต้องใช้แรงงานที่มีฝีมือและมีความเชี่ยวชาญ ซึ่งล่าสุดกระทรวงแรงงานได้ประกาศข่าวดีมาแล้วว่าเตรียมขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในปีนี้และปรับขึ้นทุกปี โดยผ่านคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งจะดำเนินการเร็วขึ้นจากแผนงานที่วางไว้

นายธนกร กล่าวว่า จากกรณีที่ นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายเซีย จำปาทอง สส.พรรคก้าวไกล ออกมาโจมตีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน และนายกฯว่าให้ความหวังผู้ใช้แรงงานลมๆ แล้งๆ ไม่ทำตามที่หาเสียงไว้นั้น ตนมองว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นอำนาจของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่มีผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ดังนั้น ฝ่ายการเมืองหรือ รมว.แรงงาน จึงไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ โดยรัฐบาลต้องดูให้รอบด้านไม่ใช่มองแค่ฝ่ายลูกจ้างอย่างเดียว ต้องดูถึงสภาพคล่องและกำลังทุนของนายจ้างและผู้ประกอบการรวมถึงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศควบคู่กันไปด้วย จึงทำให้คณะกรรมการไตรภาคีต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ อีกทั้งนายกฯและรัฐบาลก็ยึดนโยบายหลักที่ได้แถลงต่อสภาไว้ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องผู้ใช้แรงงานในการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทุกปีอยู่แล้ว

“การที่พรรคก้าวไกล ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำตามที่หาเสียงไว้นั้น มองว่าเป็นการหวังดีประสงค์ร้าย นำผู้ใช้แรงงานมาบังหน้าเพื่อโจมตีทางการเมืองรัฐบาล เพราะถ้าหากกระทรวงแรงงาน เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซงคณะกรรมการไตรภาคี ให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอย่างรวดเร็ว ย่อมจะถูกก้าวไกลโจมตีอีกเช่นกัน ซึ่งตามหลักการแล้ว ทุกรัฐบาลต้องหารือผ่านคณะกรรมการไตรภาคี และต้องคิดอย่างรอบคอบว่าผู้ประกอบการ จะได้รับผลกระทบแบกรับต้นทุนไหวหรือไม่ หากมีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจนทำให้ต้นทุนการผลิตสูงเกินไปจน นายจ้างผู้ประกอบการ แบกรับไม่ไหว สุดท้ายผลกระทบก็จะกลับมาที่ผู้ใช้แรงงานอยู่ดี การโจมตีทั้งขึ้นทั้งล่องแบบนี้ จึงมองว่า ก้าวไกลนำความเดือดร้อนของประชาชนมาบังหน้าเพื่อหวังดิสเครดิตรัฐบาล จึงอยากถามกลับว่า เป็นการหวังดีต่อพี่น้องผู้ใช้แรงงานจริงๆ หรือไม่ หรือหวังผลทางการเมืองเพียงอย่างเดียว” นายธนกร ระบุ

‘ธนกร’ สยบข่าวลือ ‘รทสช.’ รักกันดี สามัคคีทุกคน ไม่มี ‘ตั้งก๊ก-แบ่งก๊วน’ ย้ำ!! ไม่ได้เป็นพรรคเฉพาะกิจ มีอุดมการณ์ ทำงานเพื่อปชช. ขอตามรอย ‘ลุงตู่’

(19 พ.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์หลังมีสมาชิกพรรคหลายคนลาออกทำให้เกิดกระแสข่าวพรรคใกล้แตก โดยยืนยันว่า ก็เป็นแค่ข่าวลือซึ่งในความเป็นจริง สสและสมาชิกพรรคทุกคน มั่นใจและรู้กันดีว่า รวมไทยสร้างชาติเรายังเหนียวแน่น ทำงานเป็นทีม มีการแบ่งหน้าที่กันทำในส่วนต่างๆ ไม่ได้มีการแบ่งก๊ก แบ่งก๊วน แบ่งกลุ่มตามที่มีข่าว

ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดถึงมีข่าวในลักษณะนี้ออกมา โดยมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของพรรค การเมืองที่มีคนออก คนเข้า ซึ่ง รทสช.ก็เช่นกัน มีคนทั้งรุ่นเก่า รุ่นกลางและรุ่นใหม่มีทุกรุ่นขอเข้ามาร่วมงานกับพรรคอีกจำนวนมาก ซึ่งสมาชิกทุกคนมั่นใจในการนำของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง

เมื่อถามว่า แกนนำคนสำคัญที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคหลายคน ทั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์, นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่ถูกมองว่าเป็นคนของกลุ่มทุนของพรรค อาจเป็นสัญญาณเตือนทางการเมืองหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า การบริหารพรรคการเมือง ต้องให้เกียรติหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค รวมถึงกรรมการบริหารพรรคที่จะโบกธงนำพาสมาชิกในการทำงานการเมือง ส่วนการตัดสินใจลาออกถือเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ยืนยันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติยังคงเดินหน้าทำงานตามอุดมการณ์ ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อตั้งพรรคไม่เปลี่ยนแปลง คือยึดมั่นการทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง การคงอยู่ของพรรคขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง

“ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมีข่าวเรื่องพรรคแตกออกมา เพราะความจริงรทสช.เราเป็นทีมเดียวกันหมด ไม่มีก๊วน โดยเฉพาะเมื่อวันที่12 พฤษภาคมที่ผ่านมาในงานสัมมนา สส.ของพรรค บรรยากาศดีเป็นไปอย่างชื่นมื่น ไม่มีการตั้งก๊ก แบ่งก๊วนอย่างที่ข่าว เพราะมั่นใจในหัวหน้าพีระพันธุ์ กรรมการบริหารและผู้ใหญ่ในพรรคจะพิจารณาทุกเรื่องอย่างเหมาะสม” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘ธนกร’ ติง ‘พิธา’ ดื้อคำสั่งศาลฯ แถแถลง 9 ข้อสวน ชี้!! บิดเบือนแบบนี้จะเป็นผู้นำประเทศที่ดีได้อย่างไร 

(10 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล แถลง 9 ข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล โดยมองว่า เป็นการไม่เคารพคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้ออกมาเตือนก่อนล่วงหน้าแล้วว่าไม่ควรมีการชี้นำกระทบความเชื่อมั่นในกระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องยึดมั่น นั่นคือการเคารพกฎหมาย เคารพคำสั่งศาล

การออกมาแถลงข้อต่อสู้คดีควรยื่นต่อศาลโดยตรง ไม่ใช่มาแถลงต่อสื่อมวลชน ต่อประชาชน มากกว่านั้นยังอ้างข้อกฎหมายแบบบิดเบือนเอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่นแบบข้าง ๆ คู ๆ อ้างประชาธิปไตยสารพัด ทั้งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรค ซ้ำยังอ้างว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. มีกระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมายอีก ซึ่งนายพิธาและพรรคก้าวไกล มีความกังวลค่อนข้างหนักเรื่องคดีจนทำให้พาลไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม กระบวนการกฎหมายทั้งระบบ แบบนี้จะเป็นผู้นำประเทศที่ดีได้อย่างไร

เมื่อถามว่า นายพิธาอ้างว่า กกต. ยื่นศาลโดยไม่แจ้งให้พรรคได้ชี้แจงนั้น นายธนกร กล่าวว่า ประธาน กกต. ได้ยืนยันการดำเนินการของ กกต. แล้วว่าไม่ได้ใช้ระเบียบสืบสวนไต่สวน แต่เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งไม่จำเป็นต้องแจ้งให้พรรคก้าวไกลทราบ เพราะมีหลักฐานตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 

ทั้งนี้มองว่า ในชั้นกระบวนการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญเอง ก็เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตามที่พรรคขอขยายเวลาถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 15 วัน จนครบกำหนดยื่นคำชี้แจงแล้ว ถือว่าคดีนี้ กกต. และศาล ได้ดำเนินการครบถ้วนตามกระบวนการยุติธรรม หลังจากนี้ก็เป็นดุลยพินิจของศาล ผลจะออกมาเป็นบวกหรือลบ พรรคก้าวไกลควรยอมรับน้อมรับคำตัดสิน

“การที่นายพิธาและก้าวไกลออกมาแถลงอ้างว่าพรรคการเมืองเป็นส่วนสำคัญของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นจะอ้างไม่ได้เพราะถ้าพรรคการเมืองทำผิดกฎหมายก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงตรงนี้ การอ้างและชี้นำสังคม ว่าศาลไม่มีอำนาจ กกต. ยื่นโดยไม่ชอบ เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยคำพูดสวยหรูให้ตัวเองดูดี แต่เป็นการก้าวล่วงและไม่เคารพคำสั่งศาล แบบนี้จะเป็นผู้นำประเทศที่ดีได้อย่างไร” นายธนกร ระบุ

'ธนกร' ชี้!! เหตุ 'รวมไทยสร้างชาติ-พีระพันธุ์' ขยับความนิยมมาอันดับ 4   เพราะ 10 เดือนร่วมรัฐบาล ลุยทำงานเต็มที่ ตามอุดมการณ์ DNA 'ลุงตู่'

(1 ก.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า จากที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็น 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจประชาชนถึงคะแนนนิยมทางการเมืองบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่า เสียงประชาชนยังคงให้ความไว้วางใจ พึงพอใจการทำงานของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเป็นอันดับ 4  ระบุว่าเพราะมีภาพลักษณ์ที่ดี มีความน่าเชื่อถือ การทำงานมีความซื่อสัตย์ สุจริต

ส่วนคะแนนนิยมพรรครวมไทยสร้างชาติ  ก็ยังครองใจประชาชน โดยให้คะแนน มาเป็นอันดับที่ 4 เช่นกัน

ทั้งนี้ จากผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนถึง เสียงที่ประชาชน มองและได้รับประโยชน์ จากการทำงานในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ผ่านมา 10 เดือน ของนายพีระพันธุ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติที่มุ่งมั่นตั้งใจ แก้ไขปัญหา โดยเฉพาะด้านพลังงานที่นายพีระพันธุ์ ที่กำลังขับเคลื่อน ตามแนวทาง 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ออกกฎหมายด้านพลังงาน เพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบในระยะยาว  

นอกจากนี้ สส. ทั้ง 36 คนรวมถึง อดีตผู้สมัครและสมาชิกพรรค ยังคงทำงานดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าในส่วนของพลังเงียบที่ยังไม่ตัดสินใจให้คะแนนนิยมกับบุคคลและพรรคการเมืองใดนั้น เมื่อถึงเวลา จะเห็นประชาชนให้ความไว้วางใจพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างแน่นอน

“รวมไทยสร้างชาติยังคงยึดมั่นอุดมอุดมการณ์ DNA ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้แนวทางตั้งแต่แรก คือการลงพื้นที่รับฟังปัญหาและเร่งแก้ไขให้กับพี่น้องประชาชนทันทีอย่างต่อเนื่องนั้น ต้องขอขอบคุณโพลที่สำรวจความคิดเห็นประชาชน ซึ่งผลที่ออกมาสะท้อนให้เห็นถึงความพึงพอใจผลการทำงาน ของทั้งนายพีระพันธุ์ และสส.ของพรรค ที่คะแนนนิยมมาเป็นอันดับ 4 ตนเชื่อว่า พลังเงียบที่ไม่แสดงความเห็น แท้จริงแล้ว ยังคงจับตาดูการทำงานของรัฐบาลและทุกพรรคการเมือง ที่หาเสียงไว้จะทำได้จริงและรักษาสัญญากับประชาชน หรือไม่” นายธนกร ระบุ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top