'น้าเดช' มองปรากฏการณ์ค่ายรถยนต์ทยอยปิดโรงงาน ผลกระทบจากแรงส่งเสริมการลงทุนที่ไม่สมดุล เริ่มออกฤทธิ์

ไม่นานมานี้ 'น้าเดช' นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ สื่อสารมวลชนด้านยานยนต์ และผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

สิ่งที่ผมจะแสดงความเห็นต่อไปนี้ ผมอยากให้คนที่เข้ามาอ่าน วางความรักความชังทางการเมืองออกไปก่อน อ่านแล้วค่อยๆ ทำความเข้าใจ ค่อยๆ คิด อย่าใช้อารมณ์มาต่อว่าด่าทอผม ยิ่งถ้าคุณรู้ว่าผมอยู่ฝ่ายไหน คุณยิ่งต้องคิดนานๆ ก่อนจะมาด่าผม

เรื่องบริษัทรถยนต์ทยอยปิดโรงงานนั้น ผมแสดงความเห็นมานานแล้วว่า 'รัฐบาล' ตั้งแต่รัฐบาลที่ผ่านมา คิดสั้น เชื่อมุมมองของข้าราชการที่คิดตามกระแสมากเกินไป คิดตามโลกแบบไฟไหม้ฟาง ผมไม่ได้บอกว่าคิดผิดนะครับ ผมแค่บอกว่าคิดตื้นเกินไปเท่านั้น

ผมเตือนหลายครั้งแล้วว่า การ 'ให้แต้มต่อ' กับผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้านั้น ให้คิดให้ดี ต้องสร้างสมดุลให้เท่าเทียมกัน เพราะโลกนี้ไม่ได้บอกว่าต้องเป็นรถไฟฟ้า โลกนี้บอกเพียงแค่ว่าต้องลดมลพิษจากรถยนต์เท่านั้น หมายถึงลดมลพิษตั้งแต่เกิดจนตาย คือตั้งแต่เริ่มผลิตชิ้นส่วนแรก จนหมดสภาพไปจากโลกใบนี้

ผมบอกมาตลอดว่า การให้การสนับสนุน และส่งเสริมการลงทุนต้องมีขีดจำกัด จะเห็นได้ว่ามีเงินช่วยเหลือคันละเป็นแสนบาท แต่เขาสามารถลดราคาขายลงได้คันละกว่าสองแสนบาท แสดงว่าถ้าไม่ให้ส่วนลดตรงนี้ เขาก็ขายได้อยู่ดี

ผมบอกมาตลอดว่า การส่งเสริมการลงทุน ต้องคิดให้ดีว่าเท่าไหร่จึงจะพอ ไม่ใช่ถ่างขาอ้าซ่า ใครแข็งมาก็ถลกกางเกงเข้ามาเสียบจึกๆๆๆ แล้วก็ไป เพราะการส่งเสริมแบบ 'ไม่อั้น' เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ลองคิดดูนะครับว่าอีกห้าปีข้างหน้า แต่ละยี่ห้อจะตั้งโรงงานแล้วขายได้ยี่ห้อละเท่าไหร่ ถ้าลงทุนตั้งโรงงาน แล้วขายได้เท่าที่รถสันดาปที่ประกาศปิดตัวขายได้ ผู้ผลิตเหล่านั้นจะอยู่ได้ไหม และถ้าเขาม้วนเสื่อเก็บกระเป๋ากลับบ้าน จะมีปัญญาไปตามปรับเขาหรือไม่ คนที่อนุญาตจะรับผิดชอบอย่างไร

มันต้องมีการคำนวณว่า ส่งเสริมกี่โรงงาน จึงจะสมน้ำสมเนื้อกับตลาดบ้านเราและตลาดโลก ถ้ามาหลังจากจำนวนที่คิดเอาไว้ ก็ต้องลดการสนับสนุนลงไป 

แล้วเคยคิดกันบ้างไหมว่า บริษัทที่เข้ามานั้น เขามีลูกเล่นกันอย่างไร ในอดีตนั้นถ้าเข้ามาในนามบริษัทโตโฮมอเตอร์ จะผลิตรถยนต์รุ่นไหนก็ภายใต้โตโฮมอเตอร์ แต่ปัจจุบันนี้ บริษัทกำแพงใหญ่เข้ามาผลิตรถ เขาบอกว่า แมวน่ารัก เป็นยี่ห้อ ไม่ใช่เป็นรุ่นของยี่ห้อกำแพงใหญ่ ถัง ก็เป็นยี่ห้อ ไม่ใช่รุ่นของกำแพงใหญ่ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลา เขาก็จะเลิกยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ ไม่ใช่เลิกทั้งยี่ห้อใหญ่ ทุกรายที่เข้ามาทีหลังก็เป็นอย่างนี้กันหมด

ที่สำคัญคือ พวกที่เข้ามาใหม่นั้น ขนเอาผู้ผลิตชิ้นส่วนของตัวติดมาด้วย ไม่ได้สร้างอะไรในประเทศไทยเลย

ส่วนคนที่บอกว่าเป็นผลดีต่อผู้บริโภคนั้น ผมถามจริงๆ ว่า ท้ายที่สุดถ้าเขาประกาศเก็บกระเป๋าลงเรือกลับซัวเถา คนที่ซื้อรถของเขาใช้ จะตกอยู่ในสภาพอย่างไร เพราะทุกวันนี้ยังด่ากันระงมท้องทุ่ง

ผมยืนยันว่าการส่งเสริมการลงทุนยังจำเป็น แต่ต้องมีขีดจำกัดที่เหมาะสม ต้องสร้างสมดุลให้ดี เพราะทุกวันนี้แม้แต่ในประเทศจีนเอง ก็แทบจะไม่ได้เรียกว่ารถยนต์ไฟฟ้า EV แล้ว แต่เปลี่ยนมาเรียกเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ NEV New Energy Vehicle แทนที่แล้ว

ผมพูด ผมตะโกน ผมเรียกร้องมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว พูดตรงๆ คือรัฐบาลลุงตู่ ว่าให้ระวัง แต่กองเชียร์พากันบอกว่า โลกเปลี่ยนไปแล้ว หมดยุครถยนต์สันดาปแล้ว เราต้องเร่งเปลี่ยนเพื่อเป็น 'ฮับ' คือเป็นฮับสำหรับผู้ผลิตที่เจ๊งจากประเทศของตัวเองหรืออย่างไรก็ไม่รู้ กองเชียร์หันมาด่าผมกันขรม ว่าผมหาแดกกับรถยนต์ญี่ปุ่น หาแดกกับรถยนต์ใช้น้ำมัน ทั้งที่ผมพยายามเตือนรัฐบาลลุงตู่ของพวกเขาว่า อย่าไปหลงเชื่อที่ฝ่ายข้าราชการใต้กะลาชงมามากนัก แต่ผมกลับถูกด่า ผลจึงตามมาที่วันนี้ และยังจะมีตามมาวันหน้าอีก ไม่เว้นแม้แต่ผู้จำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า ที่ได้รับการสนับสนุน ภายใต้ข้อกำหนดว่า “พรุ่งนี้มึงต้องตั้งโรงงงานในประเทศไทยนะ” ผมเดาว่าจะมีม้วนเสื่อกลับไปโดยไม่ตั้งโรงงานอย่างน้อยสามยี่ห้อ ภายในปี พ.ศ.๒๕๗๐ ถ้าผมเดาผิด ถึงวันนั้นผมจะยอมเป็นคนแก่ครับ ๕๕๕๕๕๕๕

ส่วนที่บอกว่าวันนี้ผู้บริโภคเป็นฝ่ายได้ ลองคิดดูว่าถ้าพรุ่งนี้ผู้จำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อที่คุณซื้อมาประกาศว่า “กูเลิก” ราคารถของคุณจะตกไปเท่าไหร่ และคุณจะหาศูนย์บริการและอะไหล่จากไหน คิดเล่นๆ ดูก็ได้ครับ #เพจนี้มีแต่เรื่องไร้สาระ #อ่านเอาเล่นอย่าอ่านเอาเรื่องนะจ๊ะ #ซื้อรถต้องมาไบเทค๓ถีง๗กรกฎาคมชมฟรีมีชิงโชคและแจกของรางวัล #งานขายรถใหม่ป้ายแดงรถมือสองมีรับประกัน #รถใหม่ป้ายแดงรถไฟฟ้ามีให้ลองรถมือสองมีรับประกัน #ฟาสท์ออโต้โชว์ครั้งที่๑๒ #รักดอกจึงบอกมาแต่ถ้าโกรธกันก็ไม่ว่านะจ๊ะ

ปล. ผมยังยืนยันความคิดผมว่า รถยนต์ไฟฟ้าควรได้รับการสนับสนุน 'ที่เหมาะสม' และอยู่ในระดับ 'จำกัดจำนวน' นะครับ ผมไม่ได้ค้านหัวชนฝานะครับ เข้าใจตรงกันนะครับ