‘คนไทยในต่างแดน’ เผย ยุคเสื่อมโทรมของซานฟรานซิสโก  จากเมืองน่าอยู่สู่แดนสวรรค์ของเหล่า ‘อาชญากรรม-คนไร้บ้าน’

เมื่อไม่นานมานี้ ยูทูบเบอร์ชื่อดัง ‘มัสลา สนศิริ’ หรือที่ในโลกโซเชียลรู้จักกันในชื่อ ‘คุณมอร์ส’ เจ้าของช่องยูทูบ ‘MOSSALA101’ ที่มียอดผู้ติดตามในช่องยูทูบมากกว่า 951,000 คน โดยคอนเทนต์ส่วนใหญ่ที่คุณมอร์สทำนั้น คือการบอกเล่าและตีแผ่เรื่องราวหลากหลายแง่มุมเกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งเรื่องอาหาร การใช้ชีวิต แฟชัน รวมถึงอาชีพของคนไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

ล่าสุด คุณมอร์สได้โพสต์คลิปวิดีโอลงในช่องยูทูบของเธอ เกี่ยวกับการได้พูดคุยกับคนไทยในเมืองซานฟรานซิสโก โดย ‘คุณกอล์ฟ’ 1 ในคนไทยที่ได้มาทำธุรกิจเปิดร้านอาหารอยู่ในซานฟรานซิสโกนั้น ได้เล่าว่า ตนนั้นเป็นพาร์ทเนอร์ของร้าน ‘Farmhouse kitchen thai cuisine’ อาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโกมากว่า 17 ปีแล้ว และได้เคยย้ายไปเปิดร้านอาหารอยู่ที่รัฐเท็กซัส 1 ปี แต่สุดท้ายก็ย้ายกลับมาอยู่ที่ซานฟรานซิสโกเหมือนเดิม โดยคุณกอล์ฟได้เล่าว่า…

“เมื่อก่อนนี้ ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่น่าอยู่ สวยงาม ดูสะอาด และสามารถเดินเที่ยวได้ทุกๆ ที่ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเศร้าใจมาก เพราะ ‘อาชญากรรม’ ที่เกิดขึ้นในซานฟรานซิสโกตอนนี้นั้นมีเยอะมาก เนื่องจากที่นี่เคยออกกฎหมายฉบับหนึ่งว่า หากราคามูลค่าของค่าเสียหายนั้น ไม่เกิน 900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตำรวจจะไม่สนใจหรือทำอะไรทั้งนั้น”

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้อาชญากรรมในซานฟรานซิสโกนั้นพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง จนเมืองที่เคยสวยงาม มีสภาพที่เสื่อมโทรมลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไร้ความระเบียบ และเป็นอันตรายต่อชีวิต รวมถึงทรัพย์ของผู้อยู่อาศัย ตลอดจนชีวิตนักท่องเที่ยวเองด้วยเช่นกัน

เมื่อถามว่า ทางร้านอาหารของคุณกอล์ฟเคยเจอเหตุการณ์แย่ๆ หรือไม่? คุณกอล์ฟตอบว่า “ร้านโดนทุบปีละ 4 ครั้ง มีคนเข้ามาขโมยของในร้าน หรือบางครั้งก็มีลูกค้าที่กินแล้วไม่จ่ายเงิน และเหตุการณ์ล่าสุดคือ ไปซื้อของแล้วถูกปล้น ซึ่งในตอนนั้นเรื่องเกิดขึ้นหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว ในขณะที่กำลังจะขับรถออกไป ก็มีคนมาเปิดประตูรถออก เพราะเราไม่ได้ล็อกรถ และเขาก็กระชากขโมยเอากระเป๋าไป โดยที่พวกเรายังไม่ทันได้ตั้งตัว” 

เมื่อถามว่า เมืองซานฟรานซิสโกยังน่าอยู่หรือไม่? คุณกอล์ฟตอบว่า “เอาตรงๆ เลยนะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ในตัวเมืองของซานฟรานซิสโกนั้น ไม่น่าอยู่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ แต่คิดว่าร้านค้า การขายสินค้า รวมถึงกิจการต่างๆ อาจจะกลับมาฟื้นขึ้นได้ แต่คงจะต้องตกต่ำจนจมดิ่งให้สุดก่อน ถึงจะกลับมาดีขึ้น ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลามากถึง 10-20 ปีเลยก็ได้” 

นอกจากนี้ คุณกอล์ฟ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงผลกระทบ จากความเสื่อมโทรมของตัวเมืองซานฟรานซิสโก ซึ่งทำให้กิจการร้านอาหารของเขานั้นต้องเผชิญวิกฤตอย่างหนัก เพราะยอดขายอาหารตกต่ำลงอย่างมาก เนื่องจากการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยว และผู้อยู่อาศัยเดิมที่เริ่มย้ายออกจากตัวเมืองกันมากยิ่งขึ้น เพราะทนกับความเสื่อมโทรม และอาชญากรรมที่พุ่งสูงไม่ไหวอีกต่อไป

“โดยปกติแล้ว ยอดขายอาหารของร้านเราในเมืองซานฟรานซิสโกนั้นไม่เคยแพ้ใคร เรามีร้านอาหารอยู่ทั้งหมด 2 ร้าน คือ ‘Farmhouse kitchen thai cuisine’ กับ ‘Son & Garden San Francisco’ ซึ่งปกติแล้วยอดขายของเราจะสูงที่สุดตลอด ถึงแม้จะว่าร้านอาหารของเราจะเป็นร้านเล็กๆ แต่ยอดขายก็ยังคงถือว่าสูงอยู่ดี แต่ตอนนี้ยอดขายของเรานั้นดิ่งพสุธามาก” 

คุณกอล์ฟ ยังเล่าต่อว่า ตนนั้นมีธุรกิจร้านอาหารอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกก็จริง แต่บ้านที่อาศัยอยู่จริงๆ นั้น ได้ย้ายมาอยู่ที่ ‘เมืองปาซิฟิกา’ (Pacifica) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างออกมาจากซานฟรานซิสโก และเมืองปาซิฟิกานั้นยังเป็นเมืองที่กำจัด ‘กลุ่มคนไร้บ้าน’ (Homeless) อีกด้วย หากพบเจอที่ไหน กลุ่มคนเหล่านั้นจะถูกนำชื่อออกจากระบบของเมืองทันที ในขณะที่เมืองซานฟรานซิสโกไม่มีมาตรการเหล่านี้

“บางครั้งเราก็รู้สึกว่า เราไม่ได้โหดร้ายนะ แต่ว่ามันไม่เหมาะสมจริงๆ อย่างเช่น ปล่อยปะละเลย หรืออ้าแขนรับสำหรับเรื่องพวกนี้มากจนเกินไป มันจะทำให้คนเป็นง่อย ไม่รู้จักทำมาหากิน ขอโทษจริงๆ ที่ต้องพูดอย่างนี้ ในขณะที่พวกเราเป็นคนต่างเชื้อชาติที่ต้องจากบ้านจากเมืองมา ต้องมาทำงานสู้ฟัดกันฟัน ทำตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ ล้างจาน หั่นผัก ทำทุกอย่าง หรือต้องส่งเสียตัวเองเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างเราสู้จนสุดใจ แต่คนพวกนี้ดันไม่ทำอะไรเลย และยังได้รับเงินช่วยเหลือ หรือช่วยในเรื่องของความเป็นอยู่อย่างดีจากรัฐบาล แต่ก็ยังก่ออาชญากรรม ซึ่งเมื่อถูกจับได้ไม่นานก็ได้รับการปล่อยตัว เพื่ออะไร? สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตของพวกเราลำบากมากจริงๆ” คุณกอล์ฟ กล่าวทิ้งท้าย