'ยูเรเนียม' ไอเทมลับพา 'เมียนมา' มั่งคั่งยั่งยืน ใต้การ 'โอบอุ้ม-ต่อยอด' จากพี่เบิ้มอย่าง 'รัสเซีย'

ต้องบอกว่า การที่เหล่าชาติตะวันตกต่างรุมบอยคอตเมียนมาในวันนี้ เหมือนยิ่งเป็นการผลักไสให้เมียนมาเดินเข้าไปหาจีนกับรัสเซียมากขึ้น และ 2 มหาอำนาจก็พร้อมเป็นพันธมิตรกับเมียนมาอย่างออกหน้าออกตาในที่สุดด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือความสัมพันธ์อีกระดับของเมียนมากับรัสเซีย ซึ่งเดิมทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันเพียงเล็กน้อยในเรื่องของกองทัพและการลงทุนในธุรกิจพลังงาน แต่หลังจากการยึดอำนาจของกองทัพ นำมาซึ่งการขับไล่ไสส่งเมียนมาด้วยการบอยคอตหรือคว่ำบาตรใด ๆ จากชาติตะวันตกนั้น ได้เป็นแรงผลักให้เกิดความร่วมมือระหว่างเมียนมากับรัสเซียมากขึ้น ไม่ใช่เพียงความร่วมมือในแง่ของกองทัพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการร่วมมือในด้านอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสาธารณสุขและการเข้ามาพัฒนาพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ 

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นการเปิดหน้าอย่างชัดเจนด้วยว่า ขุมทรัพย์ของเมียนมาที่แท้จริงนอกจาก อัญมณีและน้ำมันแล้ว ยังมีแร่ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ด้วย

ว่ากันว่าคนงานเหมืองทราบดีอยู่แล้วว่ามีแร่ปฏิกรณ์นิวเคลียร์อยู่ในการทำเหมืองหลาย ๆ ที่โดยเฉพาะเหมืองทองหลายแห่ง ซึ่งเคยมีรายงานถึงการค้นพบแร่ยูเรเนียม (Uranium) จากเหมืองทองกันอยู่แล้วเป็นระยะ ๆ เพียงแต่ก็ไม่เคยมีใครพูดถึงการนำแร่ยูเรเนียมมาใช้ในประเทศแต่อย่างใดก็เท่านั้นเอง

ดังนั้นการที่รัสเซียก้าวเข้ามาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ให้นั้น จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ของเมียนมา เพราะหากสร้างเสร็จจริง ประเทศเมียนมาจะมีเสถียรภาพด้านสาธารณูปโภคไฟฟ้าเพราะวัตถุดิบหาซื้อง่าย ส่วนรัสเซียก็อาจจะได้ส่วนแบ่งแร่กัมมันตภาพรังสีเหล่านี้มาใช้ในการพัฒนาอาวุธต่อก็เป็นได้

คงต้องยอมรับว่าเป็นการเดินเกมที่ผิดพลาดของชาติตะวันตก ซึ่งแทนที่จะทำให้เมียนมาอ่อนแรง แต่กลับทำให้เมียนมาแข็งแกร่งขึ้นและในวันหนึ่งอาจจะยืนได้บนขาของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร และก็ไม่มีประเทศไหนกล้าแหยมกับประเทศเล็ก ๆ นี้ เพราะแร่กัมมันตภาพรังสีในครอบครองมันพร้อมจะนำไปต่อรองกับใครก็ได้ทั้งหมด

ยิ่งวันนี้เมียนมาได้รัสเซียเข้ามาหนุนแบบชัดเจน เพราะรัสเซียเองก็ไม่รอช้ากับโอกาสที่อยู่ตรงหน้า โดยเลือกที่จะเข้าข้างและโอบอุ้มเมียนมาประดุจเพื่อนสนิท ผ่านการแสดงออกที่เห็นได้ชัดในงาน Eastern Economic Forum 2022 ที่ผ่านมา ก็ทำให้ลำแข้งของเมียนมายืนได้อย่างมั่นคงขึ้น จากความสัมพันธ์ที่ยกระดับไปอีกขั้นระหว่างรัสเซียและเมียนมา

จากนี้เราคงต้องดูท่าทีในเวทีโลกของรัสเซีย และอาจจะรวมถึงจีนด้วย ว่าจะนำพาเมียนมาให้กลับมาเป็นที่ยอมรับต่อนานาประเทศได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งผลลัพธ์สุดท้าย ก็คงจะขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่จะนำมาสู่การเจริญความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ

แต่ที่แน่ ๆ หากรัสเซียหรือจีน ตั้งใจจะเข้ามาพัฒนาเมียนมาจริงๆ รับรองได้ว่าเมียนมาจะเติบโตอย่าวก้าวกระโดดจนน่าตกใจเสียยิ่งกว่าสมัยยุคนายพลเต็งเส่ง หรือ ยุคนางอองซานซูจีเถลิงอำนาจก็เป็นได้

อ้อ!! แถมท้ายให้อีกเรื่อง หลังจากมีประเด็นที่พยายามโยงว่าทำไมมาเลเซียเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ไม่ได้ Free VISA จากเมียนมาในการเดินทางเข้าประเทศ เอย่าไปหาข้อมูลแล้วพบว่า เนื่องจากทางฝั่งมาเลเซียมีการประกาศ ว่าประชาชนชาวเมียนมาที่ต้องการเข้าประเทศมาเลเซียต้องทำวีซ่า ดังนั้นจึงน่าจะเป็นเหตุผลที่ในการที่ทำให้มาเลเซียเป็นประเทศเดียวที่ต้องทำวีซ่าก่อนเข้าประเทศด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เป็นเหตุผลทางการเมืองที่สืบเนื่องจากการประชุมอาเซียนที่ผ่านมาแต่อย่างใด


ที่มา: AYA IRRAWADEE