Friday, 28 June 2024
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

'ปูติน' เตรียมสังคายนา 'กองทัพ' ปรับกลยุทธ์ ใช้นักวิชาการนำการทหาร

วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียสร้างเสียงฮือฮาอีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นงานพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซียในสมัยที่ 6 ด้วยแผนการปรับโครงสร้างกองทัพครั้งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบเกือบ 20 ปี ด้วยการแต่งตั้ง 'อังเดร เบโรซอฟ' ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ และนักรังสีเคมี ขึ้นรับตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ โดยปูตินตัดสินใจลองใช้นักวิชาการนำการทหาร ที่จะส่งผลต่อแผนปฏิบัติการทางทหารครั้งใหม่ในยูเครนต่อจากนี้ไป

ข่าวการปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้นำกระทรวงกลาโหมในรัสเซีย เริ่มมีมาตั้งแต่หลังการเลือกตั้งใหญ่ของรัสเซียเมื่อ เดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมาแล้ว แต่ไม่มีใครคาคดิคเลยว่าปูตินจะตัดสินใจให้นักวิชาการพลเรือนคนหนึ่ง ที่ไม่มีพื้นเพด้านการทหารมาก่อน มาแทน เซอร์เก ชอยกุ รัฐมนตรีกลาโหมที่อยู่คู่บุญปูตินมาถึง 12 ปี

อังเดร เบโรซอฟ เป็นชาวมอสโควโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 1959 ปัจจุบันอายุ 65 ปี เรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์จาก Moscow State University ด้วยคะแนนระดับเกียรตินิยม และทำงานด้านวิชาการอย่างเข้มข้นมาตลอด 

โดยทำงานเป็นนักวิจัยในห้องปฏิบัติการจำลองระบบมนุษย์และเครื่องจักรของสถาบัน Central Economic Mathematical Institute ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งเป็นหัวหน้าห้องปฏิบัติการในสถาบันพยากรณ์เศรษฐกิจของสถาบัน  Russian Academy of Sciences ในปี 1991 

ในขณะเดียวกัน เขาได้รับการทาบทามให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรีของรัฐบาล มอสโควไปด้วย ทำงานวิชาการไปด้วย และ ยังทำวิจัยระดับปริญญาเอกไปด้วย ที่สามารถประสบความสำเร็จทั้ง 3 ด้าน เป็นนักวิชาการที่เชี่ยวชาญทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ และ เทคโนโลยีที่หาตัวจับยาก

จนเมื่อวลาดิมีร์ ปูตินขึ้นสู่อำนาจในรัสเซียในปี 2000 อังเดร เบโรซอฟ ถูกดึงตัวไปเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลของเขา และได้รับตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 ในปี 2020 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อังเดร เบโรซอฟ เป็นหนึ่งในคนสนิทข้างกายที่ปูตินไว้ใจ และมีอิทธิพลอย่างมากในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของรัสเซีย 

ดังนั้นการวางเบโรซอฟ ในตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในครั้งนี้ จึงถูกมองว่าเป็นการสังคายนาครั้งสำคัญภายในกองทัพรัสเซีย และการเปลี่ยนมุมมองใหม่ในสถานการณ์สงครามในยูเครน ที่รัสเซียจำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการงบประมาณที่รัดกุมขึ้น เพื่อจะสามารถทำสงครามได้นานกว่าแรงสนับสนุนของชาติตะวันตกที่ส่งให้กับยูเครน 

คอนสแตนติน คาลาเชฟ นักวิเคราะห์การเมืองรัสเซียมองว่า การแต่งตั้ง อังเดร เบโรซอฟ เข้ามาคุมกระทรวงกลาโหมรัสเซียถือเป็นข่าวร้ายของพันธมิตรชาติตะวันตกเหมือนกัน เพราะถึง อังเดร เบโรซอฟ จะไม่ใช่นักการทหาร และ คงไม่ได้มีอิทธิพลในการวางแผนยุทธศาสตร์การรบของรัสเซียมากนัก แต่เขาเป็นนักการเงิน ที่จะดูแลงบประมาณทุกบาท ทุกสตางค์ในกองทัพไม่ให้รั่วไหล ตั้งแต่คลังอาวุธ ไปจนถึงเงินสวัสดิการทหาร 

เช่นเดียวกับ Rybar Telegram Channel สื่อรัสเซียที่เกาะติดข่าวในกองทัพรัสเซีย ก็รายงานว่า อังเดร เบโรซอฟ ถูกส่งมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและปรับโครงสร้างหลัก ในด้านการเงิน และ ระบบการจัดซื้อจัดจ้างในกองทัพ ที่มีข่าวอื้อฉาวเรื่องการคอร์รัปชันอย่างมโหฬารในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

และทันทีที่มีข่าวการเข้ารับตำแหน่งใหม่ของนักวิชาการด้านเศรษฐกิจ ก็มีการเข้าจับกุม พลโท ยูรี คุซเนตซอฟ  ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลหลักของกระทรวงกลาโหม ที่เป็นการจับกุมแบบสายฟ้าแล่บ ขณะที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ในบ้าน และสามารถยึดของกลางเป็นเหรียญทอง สินค้าแบรนด์เนมหรู และ เงินสดมากกว่า 100 ล้านรูเบิล (ประมาณ 36 ล้านบาท) ภายในบ้านของเขา 

ยูรี คุซเนตซอฟ ถูกตั้งข้อหารับสินบน และมีสิทธิถูกจำคุกนานถึง 15 ปี นับเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพรัสเซียคนที่สองในรอบ 1 เดือนที่โดนจับข้อหาคอร์รัปชัน รับสินบนก้อนใหญ่ต่อจาก  ติมูร์ อิวานอฟ รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ที่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของอดีตรัฐมนตรีกลาโหม เซอร์เก ชอยกุ ที่เพิ่งถูกย้ายในวันนี้ 

หน้าที่รับผิดชอบของ อังเดร เบโรซอฟ ไม่ได้มีแค่การตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใสเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมา เขาได้รับมอบหมายให้ปกป้องเศรษฐกิจรัสเซียจากผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก และยังมีบทบาทสำคัญในโครงการพัฒนาเทคโนโลยีโดรนในประเทศ โดยเป้าหมายหลักของ อังเดร เบโรซอฟ คือ การส่งเสริมให้รัสเซียมีอธิปไตยทางเทคโนโลยี ที่เหนือชั้นยิ่งขึ้นไปในอนาคต 

จึงเป็นที่น่าจับตาในยุทธศาสตร์ 'นักวิชาการนำการทหาร' ของปูตินในครั้งนี้ ที่อาจเป็นเพราะเล็งเห็นแล้วว่าสงครามยูเครนคงยืดเยื้อยาวนาน ดังนั้นจึงต้องเป็นฝ่ายที่อึดที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถพิชิตชัยในท้ายที่สุดนั่นเอง 

‘Tesla’ เตรียมเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ 6,700 คน เซ่นยอดขายสะดุดจากพิษสมรภูมิตลาด EV เดือด

‘Tesla’ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก ภายใต้การนำของ ‘อีลอน มัสก์’ ประกาศปลดพนักงานระลอกใหม่อีกครั้งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป ที่คราวนี้มีสัดส่วนพนักงานฝ่ายบริการด้านซอฟต์แวร์ และ ฝ่ายพัฒนาวิศวกรรม รวมอยู่ด้วย 

แถลงการณ์ปลดพนักงานจาก Tesla เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้บริหารสูงสุดอย่าง ‘อีลอน มัสก์’ ประกาศว่าจะยุบแผนกเทคโนโลยีการชาร์จประจุไฟฟ้า และจะลดจำนวนพนักงานในโรงงานทั่วโลกลงมากกว่า 10% 

และเมื่อวานนี้ (6 พ.ค. 67) พนักงานที่ต้องโดน Layoff รอบล่าสุดนี้ก็ได้อีเมลยืนยันจากทางบริษัทเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีการเปิดเผยผ่านสื่อว่า แค่เฉพาะโรงงานโซนอเมริกา ในรัฐเท็กซัส, แคลิฟอร์เนีย, เนวาดา, และนิวยอร์ก ก็มีพนักงานที่จะถูกเลิกจ้างมากถึง 6,700 คนแล้ว

นับเป็นการลดจำนวนพนักงานครั้งใหญ่อีกครั้งของ Tesla อันเป็นผลพวงมาจากความกดดันเรื่องยอดขายที่ลดลงอย่างมาก ในสมรภูมิตลาดรถยนต์ EV ที่นักการตลาดต่างให้คำจำกัดความว่าเป็นการต่อสู้ในระดับ ‘นองเลือด’ จากคู่แข่งมาแรงอย่างค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่ส่งรถยนต์รุ่นใหม่เข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้ตลาดรถยนต์ EV กลายเป็นสงครามราคาที่ห้ำหั่นกันดุเดือด

อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์ลง รวมถึงแผนการใหม่ของอีลอน มัสก์ ที่จะเน้นเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์การขับขี่อัตโนมัติ, โรโบแท็กซี่ และ หุ่นยนต์มนุษย์ Optimus ก็เป็นปัจจัยที่ Telsa จำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายในบางทีม เพื่อเก็บทุนไว้พัฒนาโปรเจกต์ใหม่ ๆเหล่านี้

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ของ Tesla สะท้อนถึงสถานการณ์ตลาดรถยนต์ EV ที่มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุด Xiaomi บริษัทผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายใหญ่ของจีนก็กระโดดเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้แล้วเช่นกัน 

ล่าสุด ในงานแสดงยานยนต์นานาชาติ ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ที่ถือเป็นหนึ่งในงานแสดงรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในส่วนงานจัดแสดงรถยนต์ EV แสดงให้เห็นถึงความต้องการในตลาดยังโตขึ้นได้เรื่อย ๆ

ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ก็ได้เปิดตัวรถยนต์ EV รุ่นใหม่ในงานมากถึง 278 คัน ที่ต่างแข่งขันกันอย่างเอาเป็น เอาตาย ทั้งในด้านเทคโนโลยีสุดล้ำ โปรโมชัน ลด แลก แจก แถม และกลยุทธการตัดขาคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง Xiaomi จนผู้บริหารบริษัทสมาร์ตโฟนชื่อดังออกมายอมรับว่า ค่ายรถคู่แข่งพยายามทำทุกอย่างเพื่อสกัดยอดจองของ Xiaomi ในงานนี้

หากตลาดรถยนต์ EV มีการแข่งขันเรื่องราคาเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ย่อมส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากอัปเกรดเทคโนโลยีให้ล้ำหน้ากว่าใคร ซึ่งย่อมหมายถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และต้องยอมกลืนเลือด ลดราคา อัดโปรโมชัน ยอมขาดทุนเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า ในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์ 200 รายในจีนตอนนี้ น่าจะเหลือรอดเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียว หลังจากที่อุตสาหกรรมนี้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว 

เหลย จุน ประธานบริษัท Xiaomi เคยให้สัมภาษณ์กับ CCTV ของจีน เมื่อ 28 เมษายนที่ผ่านมาว่า ในตลาดรถยนต์ EV ตอนนี้ นอกจาก Tesla แล้ว ทุกคนกำลังสูญเงินมหาศาลในตลาดนี้  

แต่ถึงแม้ผู้ผลิตรถยนต์ EV ของจีนยังยอมรับในความเป็นเจ้าตลาดโลกของ Tesla แต่เมื่อเข้าสู่ยุคสงคราม นักรบย่อมมีบาดแผล ไม่ไว้เว้นแม้แต่ Tesla ที่เริ่มออกอาการไม่ดีกับยอดขายรถยนต์ EV ของตัวเอง จนต้องลดจำนวนพนักงานเพื่อความอยู่รอด แถมสมรภูมินี้มีแนวโน้มว่ายังต้องรบกันอีกยาวไกล ซึ่งสุดท้ายจะเหลือผู้ผลิตกี่ค่าย ที่รอดตายจนถึงสนามรบสุดท้าย ก็ต้องมาดูกัน 

โรงแรมฮ่องกงชาร์จเพิ่มทุกเม็ด 'สบู่-แปรง-ยาสีฟัน'  ตามกฎหมายใหม่ฮ่องกง 'แบนพลาสติกใช้แล้วทิ้ง'

นักท่องเที่ยวจีนโวยหนัก เมื่อโรงแรมในฮ่องกงยกเลิกนโยบายแจกอุปกรณ์ ของใช้ในห้องน้ำฟรีให้กับแขกที่เข้าพัก ไม่เว้นแม้แต่โรงแรมระดับ 5 ดาว หากลูกค้าจำเป็นต้องใช้ 'แปรงสีฟัน - ยาสีฟัน - สบู่ - แชมพู' และอื่นๆ ที่โรงแรมเคยเตรียมไว้ให้เป็นชุดเซตเล็กๆ อย่างที่เราคุ้นเคยกัน ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว ต้องจ่ายเพิ่มเท่านั้น 

โดยทางโรงแรมในฮ่องกงให้เหตุผลว่า จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายใหม่ Product Eco-responsibility Bill กฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องระเบียบข้อบังคับการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง ที่เพิ่งผ่านสภาฮ่องกงเมื่อ 18 ตุลาคม 2566 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา

ซึ่งในกฎหมายฉบับล่าสุดนี้ระบุว่า ไม่อนุญาตให้โรงแรมและเกสต์เฮาส์จัดหาอุปกรณ์อาบน้ำแบบใช้แล้วทิ้ง และน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกในห้องพักแบบฟรีๆ อีกต่อไป 

นอกจากนี้ ยังห้ามผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบ Oxo (กลุ่มพลาสติกที่ย่อยสลายเร็ว) ยกตัวอย่างเช่น แปรงสีฟัน, ยาสีฟันแบบหลอด, หมวกอาบน้ำ, มีดโกนหนวด, หวี, สำลีปั่นหู, กระดาษชำระที่มาในห่อพลาสติก, แชมพู-ยาสระผม แบบขวดเล็ก, หรือแม้แต่น้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติก ก็จำเป็นต้องงดให้บริการ 

บางโรงแรมเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่น เช่น น้ำบรรจุขวดแก้ว หรือ แปรงสีฟันที่ทำจากเตรียมไว้ให้แขก แต่นอกเหนือจากนี้ ลูกค้าที่ไม่ได้เตรียมของใช้ส่วนตัวมา ต้องซื้อเพิ่มเท่านั้น ซึ่งแต่ละโรงแรมก็มีเรทราคาของใช้ที่แตกต่างกันไป 

อาทิ โรงแรมหรูระดับ 5 ดาวอย่าง Hyatt กำหนดราคา หมวกอาบน้ำ 3 ชิ้น HK$15, ยาสีฟัน 1 หลอด HK$15, ชุดโกนหนวด HK$15 หรือหวีที่มาในราคา HK$30 (1 เหรียญฮ่องกง = 4.70 บาท) 

แต่สำหรับโรงแรมราคาประหยัดทั่วไปที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมกันนั้น ลูกค้าต้องซื้อเพิ่มทุกไอเทมไม่เว้นแม้แต่น้ำดื่มในห้อง ที่มาในราคาต่อชิ้น ชิ้นละ HK$ 5 - 10 ที่ทำให้นักเที่ยวจีนบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่ไม่ใช่เรื่องของการรักษ์โลกแล้ว แต่เป็นธุรกิจชัดๆ 

นักท่องเที่ยวจีนรายหนึ่งบ่นผ่านสื่อโซเชียลจีนว่า นโยบายเพื่อสิ่งแวดล้อมแบบใด มาชาร์จราคาของใช้กับลูกค้าที่เมื่อก่อนเป็นบริการฟรีของทางโรงแรมอยู่แล้ว และมีหลายคนที่มองว่า เป็นการอ้างเรื่องสิ่งแวดล้อมบังหน้าเพื่อหากำไร เพราะราคาห้องพักก็ไม่ได้ถูกลง แต่ลูกค้าต้องมาเสียค่าใช้จ่ายยุบยับเพิ่มอีกแม้แต่ค่ายาสีฟัน

ด้านโฆษกกรมพิทักษ์สิ่งแวดล้อม แสดงความเห็นผ่านสื่อว่า ทางฮ่องกงจำเป็นต้องออกกฎหมายฉบับนี้เพื่อลดปริมาณพาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง แล้วเข้าใจว่าข้อบังคับฉบับใหม่อาจไม่ถูกใจทุกคน ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาเลยถ้านักท่องเที่ยวเตรียมของใช้ส่วนตัวมาเอง  

ส่วนคำร้องเรียนเกี่ยวกับการชาร์ตราคาของใช้ในห้องน้ำของทางโรงแรมนั้น ทางโฆษกของกรมพิทักษ์สิ่งแวดล้อมกล่าวว่า กฎหมายระบุเพียงว่า ห้ามโรงแรมแจกผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้แล้วทิ้งแก่ลูกค้าเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุเรื่องการชาร์ตราคาของใช้เพิ่มของทางโรงแรม ดังนั้นทางโรงแรมจะตั้งราคาเท่าไหร่ หรือชาร์ตสิ่งของใดเพิ่ม ก็เป็นดุลยพินิจของผู้บริหารแต่ละโรงแรมเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกฎหมายใหม่ฉบับนี้ 

และย้ำว่า นโยบายเรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเริ่มมีมาแล้วทั่วโลก และการแบนผลิตภัณฑ์พลาสติกในอุตสาหกรรมโรงแรมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ทั้งนี้ ผู้ประกอบการโรงแรมในฮ่องกงควรให้ข้อมูลกับแขกผู้มาพักล่วงหน้า เพื่อให้เข้าใจถึงข้อห้ามการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกของทางฮ่องกง 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง 'แคสเปอร์ จุย อิง-เว่ย' ผู้อำนวยการสมาพันธ์ผู้ประกอบการโรงแรมฮ่องกง กล่าวว่า ทางโรงแรมจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายฮ่องกงก็จริง แต่ก็อยากให้รัฐบาลฮ่องกงช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องกฎหมายใหม่ แก่นักเดินทางด้วย แทนที่จะฝากหน้าที่ไว้กับผู้ประกอบการโรงแรมเพียงฝ่ายเดียว

ด้าน เพอร์รี อิว พัค-หลง ผู้แลกฎหมายด้านการท่องเที่ยว กล่าวว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการโรงแรมปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายแล้ว และเชื่อว่าหลายโรงแรมกำลังมองหาสิ่งของ และ บรรจุภัณฑ์ทางเลือก ที่ไม่ใช่พลาสติก ที่มีราคาเทียบเท่ากับสินค้าเดิม อย่างยาสีฟันหลอด หรือ มีดโกนหนวด ที่ตอนนี้ยังหาค่อนข้างยาก 

แต่เชื่อว่าสามารถหาผลิตภัณฑ์อื่นที่ทดแทนพลาสติกได้ในอีกไม่นาน เพื่อบริการลูกค้าได้ฟรีเหมือนเดิม เพราะต้องยอมรับว่ากฎหมายใหม่มีผล กระทบกับการท่องเที่ยวฮ่องกงจริง จากกระแสความไม่พอใจของนักท่องเที่ยว ที่กระจายเต็มโซเชียลจีนอยู่ในขณะนี้ 

เพราะการรักษ์โลก ต้องแลกกับความไม่สะดวกสบายบ้าง แต่ถ้าจะให้ดี ควรมีโปรโมชันให้ลูกค้าหน่อยก็น่าจะดี เพราะไหนๆ โรงแรมก็ประหยัดต้นทุนค่า สบู่ แชมพู ยาสีฟัน และของใช้จุกจิก ที่เคยแจกให้ฟรีไปแล้ว ก็น่าจะคืนกำไรให้ลูกค้าหน่อย เสียงบ่นก็จะน้อยลงได้เอง 

'ไต้หวัน' เตรียมรื้อถอน อนุสาวรีย์ 'เจียง ไคเชก' ทั่วประเทศ หวังล้างภาพลักษณ์เผด็จการ ยุคแห่งความน่าสะพรึงสีขาว

รัฐบาลไต้หวันประกาศที่จะรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก ประธานาธิบดีคนแรกของไต้หวัน ที่มีอยู่ถึง 760 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงอนุสรณ์สถานใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงไทเปด้วย ท่ามกลางการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานถึงภาพลักษณ์ 2 ขั้วอันย้อนแย้งว่า เจียง ไคเชก เคยเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำที่ต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น และ ลัทธิคอมมิวนิสต์จีน-โซเวียต จนนำไปสู่การก่อตั้งสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในเวลาต่อมา 

แต่ในอีกแง่หนึ่งเขาก็เป็นผู้นำเผด็จการทหาร ที่ปกครองไต้หวันด้วยกฏอัยการศึกยาวนานถึง 38 ปี โดยที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามกลุ่มต่อต้านอย่างโหดเหี้ยมตลอดระยะเวลาที่ครองอำนาจในไต้หวัน

แม้จะถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งไต้หวัน แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ชาวไต้หวันรุ่นใหม่รู้สึกไม่สบายใจกับการมีอยู่ของอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จนทำให้ไต้หวันถูกมองว่าเป็นเกาะแห่งอนุสรณ์สถานของ เจียง ไคเชก และเรียกร้องให้รื้อถอนอนุสาวรีย์ของอดีตผู้นำคนสำคัญออกไป 

จนเมื่อปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลไต้หวันได้จัดตั้งคณะกรรมการยุติธรรมเพื่อสอบสวนเรื่องราว และหลักฐาน การปกครองในช่วงสมัยของ เจียง ไคเชก ตั้งแต่เพิ่งเข้ามามีบทบาททางการเมือง จนถึงปีที่เขาถึงแก่อสัญกรรมในปี 2518 

และหนึ่งในข้อเสนอคือ การรื้อถอนรูปปั้นนับพันของเจียง ไคเชก จากทุกพื้นที่สาธารณะของไต้หวัน และในวันที่ 22 เม.ย.67 สภาไต้หวันก็ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่าจะเร่งรื้อถอนอนุสาวรีย์ที่ยังเหลืออยู่อีก 760 แห่ง ออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อตอบสนองต่อเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ของประชาชนว่าดำเนินการช้าเกินไป 

ส่วนรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดของ เจียง ไคเชก ตั้งอยู่ที่ อนุสรณ์สถานใจกลางกรุงไทเป ที่เป็นเหมือนจุดไฮไลต์ของนักท่องเที่ยว มีแผนที่จะย้ายไปตั้งไปรวมกันในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของกรุงไทเป ที่จะเก็บรวบรวมรูปปั้น เจียง ไคเชก ที่ถูกรื้อถอนไปแล้วนับพันมาไว้รวมกัน

ทั้งนี้ การถอดถอนอนุสาวรีย์ของ เจียง ไคเชก เคยเป็นประเด็นถกเดือดในสภาไต้หวันอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า ซึ่งปัจจุบันเป็นฝ่ายรัฐบาลมีความเห็นว่า ไต้หวันควรถอยห่างจากประเพณีการไว้อาลัยอดีตผู้นำผู้ก่อตั้งไต้หวันได้แล้ว เพราะ เจียง ไคเชก มีภาพลักษณ์ผู้นำเผด็จการทหาร ที่ใช้อำนาจปกครองไต้หวันมานานถึง 46 ปี

แต่ฝ่ายพรรคก๊กมินตั๋งของอดีตผู้นำ เจียง ไคเชก ที่เป็นฝ่ายค้าน ตอบโต้ว่า ชาวไต้หวันก็ไม่ควรลืมเกียรติยศต่าง ๆ ที่ เจียง ไคเชก เคยทำไว้ในการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น เพื่อรวมชาติจีนให้กลับมาเป็นปึกแผ่น และการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ต้องการแผ่อิทธิพลเหนือเกาะไต้หวัน การรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จึงไม่ต่างจากความพยายามลบประวัติศาสตร์อันเป็นรากเหง้าของชาวไต้หวัน

สำหรับ เจียง ไคเชก เป็นทั้งนักการเมืองฝ่ายชาตินิยม และผู้นำทหารที่เคยร่วมคณะปฏิวัติของ ด็อกเตอร์ ซุน ยัตเซ็น ผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติซินไฮ่ เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่สู่ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ และยังเป็นผู้นำทัพต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 

แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลงหลังความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิญี่ปุ่น เจียง ไคเชก กลับต้องเผชิญหน้ากับสงครามกลางเมือง กับกองกำลังฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดย เหมา เจ๋อตง และสุดท้ายเขาพ่ายแพ้ เจียง ไคเชก ตัดสินใจพาคณะรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง มาสถาปนาสาธารณรัฐจีนพลัดถิ่นบนเกาะไต้หวันในปี พ.ศ. 2492 

หลังจากนั้น เจียง ไคเช็ก ใช้กฏอัยการศึกปกครองไต้หวัน ที่มีการปราบปรามศัตรูทางการเมือง และผู้ที่เห็นต่างอย่างโหดเหี้ยม จนถูกยกให้เป็นยุคแห่งความน่าสะพรึงสีขาวของไต้หวัน (白色恐怖) ซึ่งช่วงเวลาของการใช้กฎอัยการศึกในไต้หวันกินเวลานานถึง 38 ปี ที่มีผู้คนมากถึง 140,000 คนถูกจำคุก และเกือบ 4,000 คนถูกประหารชีวิตจากข้อหาต่อต้านรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง ของ เจียง ไคเชก

แต่ในขณะเดียวกัน ชาวไต้หวันบางส่วนก็มองว่า เจียง ไคเชก ก็มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และความเจริญรุ่งเรืองของไต้หวัน อีกทั้งยังเป็นผู้วางรากฐานระบบการเมืองที่เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์ในปัจจุบัน 

ดังนั้น เกียรติยศของ เจียง ไคเชก จึงเหมือนเหรียญ 2 ด้าน ในมุมมองของกลุ่มอนุรักษ์นิยม มองว่าเรื่องราวที่ผ่านมาเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาติ ที่ชาวไต้หวันไม่สามารถเลือกที่จะลบทิ้งด้านใด ด้านหนึ่งได้ แต่ในส่วนของฝ่ายเสรีนิยมก็มองว่า ไต้หวันก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นั้นมานานแล้ว และสัญลักษณ์ของการบูชาเผด็จการอำนาจนิยม ก็ไม่ควรเป็นมรดกที่สืบทอดให้กับคนรุ่นลูก 

แต่เมื่อวันนี้ฝ่ายรัฐบาลไม่ใช่พรรคก๊กมินตั๋ง การรื้อถอนอนุสาวรีย์ เจียง ไคเชก จึงต้องดำเนินต่อไป เพราะเชื่อว่าไต้หวันยุคใหม่ควรก้าวไปข้างหน้าบนพื้นฐานอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องทิ้ง เจียง ไคเชก อดีตผู้นำเผด็จการทหารผู้ที่เคยสร้างชาติไว้ข้างหลัง 

'นักพี้เยอรมัน' เฮสนั่น!! รัฐบาลผ่านกฎหมายกัญชาเสรี 'ปลูก-เสพ' ได้ ไม่ผิดกฎหมาย ชี้!! ปลอดภัยกว่าก๊งเหล้า

นักพี้ชาวเยอรมันหลายพันคนเฮสนั่น เมื่อรัฐบาลผ่านร่างกฎหมายกัญชาถูกกฎหมายอย่างเป็นทางการเมื่อวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา และได้มารวมตัวสูบกัญชาฉลองชัยกันอย่างเอร็ดอร่อยที่หน้าประตูบรันเดินบวร์ค สถานที่ไอคอนที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงเบอร์ลิน

ตำรวจเบอร์ลินประเมินว่า มีผู้มาร่วมงานบริเวณหน้าประตูบรันเดินบวร์ก ราว 4,000 คน เพื่อมาสูบกัญชา ณ ใจกลางเมืองหลวงร่วมกัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม 'Smoke-In' เพื่อฉลองชัยที่สามารถผลักดันให้กัญชาถูกกฎหมายในเยอรมัน ซึ่งนอกจากจะนัดมาสูบกัญชาร่วมกันแล้ว ยังมีงานแสดงคอนเสิร์ต และการกล่าวปราศรัยของนักเคลื่อนไหวจำนวนหนึ่งด้วย

ในความเห็นของผู้ที่สนับสนุนร่างกฎหมายนี้มองว่า การเสพกัญชา เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการดื่มสุราหลายเท่า โดยอ้างอิงจากข้อมูลทางสถิติของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการดื่มสุราเกินขนาด หรือ คดีอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการดื่มสุรา ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับจำนวนคนที่สูบกัญชา จึงมีผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อยชูป้ายว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการดื่ม’ หากมีกัญชาเป็นตัวเลือกในวงปาร์ตี้ สันทนาการ ที่ดีกว่า

จากร่างกฎหมายใหม่นี้ ชาวเยอรมันมีสิทธิ์ครอบครองกัญชาสดได้ไม่เกิน 25 กรัม หรือในรูปกัญชาตากแห้งไม่เกิน 50 กรัมต่อคน และสามารถปลูกเองที่บ้านได้ไม่เกิน 3 ต้น แต่ต้องอยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะในเยอรมัน หรือ 18 ปีขึ้นไป  

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในการเสพคือ ห้ามสูบบนทางเท้า และบริเวณใกล้โรงเรียน หรือ สนามเด็กเล่นในช่วงกลางวัน และยังห้ามสูบกัญชาในบริเวณสถานีรถไฟทั่วประเทศ เพื่อปกป้องผู้โดยสารคนอื่น โดยเฉพาะ เด็ก และเยาวชน ที่สัญจรโดยรถไฟ 

แต่ถึงแม้จะมีชาติตะวันตกอย่างเยอรมัน แคนาดา สวิสเซอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส และ หลายรัฐในสหรัฐอเมริกา ที่รับรองการสูบกัญชาอย่างถูกกฎหมาย แต่การใช้กัญชายังเป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่า อาจนำไปสู่การเสพสารเสพติดที่มีฤทธิ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น อาทิ โคเคน หรือ เฮโรอีน หรือไม่ 

ด้าน ดร.สเตฟาน ทอนเนส หัวหน้าแผนกพิษวิทยาทางนิติเวชที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต กล่าวว่า จากข้อมูลของผู้ติดยาในเยอรมันพบว่า ผู้ที่ติดเฮโรอีน มักใช้เสพสารเสพติดชนิดอื่น ๆ ร่วมด้วย แต่ในทางกลับกัน กลุ่มผู้ที่เสพกัญชาจำนวนน้อยมากที่จะขยับขึ้นในเสพเฮโรอีน แม้จะมีความเชื่อมโยงระหว่างการเสพกัญชา ที่จะกระตุ้นความต้องการในการเสพยาเสพติดชนิดอื่นๆได้ในอนาคต แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่สามารถระบุว่าเป็นสาเหตุโดยตรงของการติดสารเสพติด อย่างโคเคน หรือ เฮโรอีนได้

เช่นเดียวกันกับการสำรวจข้อมูผลกระทบของกัญชาต่อสุขภาพ และการทำลายสมอง หรือคำกล่าวอ้างที่ว่าการเลือกเสพกัญชา มีอันตรายน้อยกว่าการดื่มเหล้า ก็ยังไม่มีผลงานวิจัยมายืนยันได้อย่างชัดเจนถึงข้อสรุปเหล่านี้ เพราะทั้งสุรา และกัญชา ต่างมีสารที่เป็นอันตรายในตัวเอง และมีฤทธิ์ถึงตายได้เหมือนกันขึ้นอยู่กับปริมาณการเสพ  

ดังนั้น รัฐบาลเยอรมันจึงยกให้เป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนบุคคล หากเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลือกที่จะเสพกัญชา ก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย หากสูบในพื้นที่ ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด แต่ถ้าเสพหนักจนไปก่ออาชญากรรม หรือ กลายเป็นผลเสียต่อร่างกายก็เป็นเรื่องของกรรมต่างวาระ ที่ผู้เสพต้องรับผิดชอบในทุกๆการกระทำของตนเอง 

เพราะฉะนั้น นักพี้ก็ต้องเสพอย่างมีสติ แต่เกรงว่าจะมีสติได้แค่มวนแรก มวนต่อ ๆ ไป สติสตังชักไม่รู้ว่าทิ้งไว้ตรงไหนแล้วนะซี 

'จีน' สั่งกวาดล้างเหล่าอินฟลูฯ 'สร้างข่าวลือ-ปั่นคอนเทนต์ลวง' ลั่น!! โลกโซเชียลไม่อยู่เหนือกฎหมาย ทำผิด ก็มีสิทธิติดคุก

รัฐบาลมณฑลหังโจว ประเทศจีนจัดหนัก สั่งแบนอินฟลูเอ็นเซอร์สาว ดาวโซเชียลคนดัง 'สู เจียอี๋' ผู้ใช้ชื่อบัญชีในโลกออนไลน์ว่า 'Thurman Maoyibei' ที่มีผู้ติดตามถึง 40 ล้านคน แต่ตอนนี้ถูกแบนจากทุกแพลตฟอร์มโซเชียลที่เธอใช้ ทั้ง Tiktok, Weibo และ Wechat ด้วยความผิดฐาน 'สร้างความปั่นป่วนในสังคม' และมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีได้ทั้งจำและปรับ 

'สู เจียอี๋' หรือ 'Thurman Maoyibei' เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชัน ความงาม และไลฟ์สไตล์คนดังใน Douyin หรือ Tiktok ของจีน ที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก 

แต่ราวเดือนกุมภาพันธ์ เธอได้โพสต์คลิปขณะกำลังเที่ยวในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่ามีบริกรเข้ามาทัก บอกว่าพบสมุดการบ้าน 2 เล่มที่น่าจะเป็นของเด็กจีน ลืมไว้ในห้องน้ำที่ร้าน อยากให้ตามหาเจ้าของเพราะเห็นว่าเธอเป็นคนจีนเหมือนกัน

จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นภารกิจตามหาเจ้าของการบ้านของ Thurman Maoyibei เมื่อเธอไลฟ์ผ่านโซเชียลที่มีผู้ติดตาม 40 ล้านคน ตามหา 'ชิน หลาง' ชั้น ป.1 ห้อง 8 ที่ปรากฏชื่อบนสมุดการบ้านที่ลืมไกลถึงกรุงปารีสให้มารับสมุดคืนได้ที่เธอ จนกลายเป็นไวรัลอย่างกว้างขวาง และมีผู้แอบอ้างว่าเป็นญาติ หรือ คนรู้จัก ชิน หลาง มากมายในโลกโซเชียลจีน

หลังจากผ่านไปไม่นาน มีการตรวจสอบข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองของจีน ย้อนไปถึงช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ก็ไม่พบว่ามีเด็กในช่วงวัยประถมที่ชื่อ ชิน หลาง เดินทางไปต่างประเทศแต่อย่างใด 

และคดีก็พลิกทันที จน สู เจียอี๋ ต้องออกมายอมรับว่าเธอกุเรื่อง ชิน หลาง ขึ้นมา เพื่อสร้างคอนเทนด์ในช่องของเธอ โดยสมุดการบ้านนี้เธอซื้อมาทางออนไลน์ และมี 'เสว่' เพื่อนร่วมทีมอีกคนเขียนบทเรื่องราวการบ้านหายในฝรั่งเศสให้ และช่วยกันปั่นให้เกิดกระแสทั้งใน Douyin และ Weibo จนมียอดแชร์นับล้านวิว

หลังความแตก สู เจียอี๋ ออกมากล่าวขอโทษสังคมผ่านทางโซเชียล ด้วยความ 'รู้เท่าไม่ถึงการณ์' แค่ต้องการเพียงสร้างกระแสให้ช่องทางออนไลน์ของเธอเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น ซึ่งเธอสำนึกแล้ว ต้องการให้การกระทำของเธอเป็นกรณีตัวอย่าง และต่อไปเธอสัญญาว่าจะทำแต่คอนเทนด์เพื่อสร้างสรรค์สังคมคุณภาพ

แต่ไม่ทันแล้ว เพราะวันนี้รัฐบาลหังโจวได้สั่งแบนบัญชีออนไลน์ของ สู เจียอี๋ ในทุกแพลตฟอร์ม สูญเสียผู้ติดตามหลายสิบล้านในพริบตา และมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีในข้อหาสร้างความปั่นป่วนในสังคมด้วย

คดีของ สู เจียอี๋ เป็นอีกหนึ่งในหลายหมื่นคดี ที่กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้ออกมาประกาศจะกวาดล้างเหล่าบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่กุข่าวเท็จ ปั่นข่าวลือ เพื่อดึงกระแสให้ช่องทางออนไลน์ของตัวเอง และถือเป็นภัยสังคมอย่างหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็ตาม

และตั้งแต่ธันวาคม 2566 เป็นต้นมา มีการจับปรับเจ้ากรมข่าวลือที่ปล่อยข่าวเท็จในเน็ตไปแล้วมากกว่า 10,000 ราย และถูกจำคุกอีกกว่า 1,500 ราย 

รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะย้ำว่า โลกโซเชียลไม่ใช้พื้นที่ที่อยู่นอกกฏหมาย ชาวเน็ตจีนจึงควรตระหนักถึงกฏ ระเบียบ ในการใช้คำพูด หรือแสดงพฤติกรรมในโซเชียลให้จงหนัก เพราะรัฐบาลตามจับได้ และปรับจริง ติดคุกจริง แน่นอน

ส่วนชาวโซเชียล จำเป็นต้องมีสติในการเสพข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ควรเช็กให้ชัวร์ก่อนแชร์ จะได้ไม่เจ็บใจทีหลัง

‘ตลาดแรงงานมาเลฯ’ ให้ความสำคัญทักษะด้านภาษา มากกว่าใบปริญญา ยิ่งสื่อสาร ‘จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น-อารบิก’ ได้ดี ยิ่งมีโอกาสหางานได้มากกว่า

ตลาดแรงงานมาเลฯ เริ่มมองหา ‘คนทำงานรุ่นใหม่’ ที่มีทักษะ ขยันเรียนรู้ มากกว่าใบเกรด และหากยิ่งรู้ภาษาจีน ก็ยิ่งได้เปรียบ

สมัยก่อน อาจจะกล่าวได้ว่า มีใบปริญญา สามารถการันตีโอกาสในการหางานที่ดีกว่าได้ ยิ่งเป็นใบปริญญาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง ก็ยิ่งมีโอกาสมากกว่าคนอื่น 

แต่ในยุคสมัยใหม่ที่กระแสค่านิยมและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก จนความรู้เชิงวิชาการเพียงอย่างเดียว ดูจะไม่เพียงพอเสียแล้ว เมื่อนายจ้างเริ่มพิจารณาคนทำงานที่มีคุณสมบัติอื่น ๆ มากกว่า โดยเฉพาะ ทักษะประสบการณ์ทำงานจริง, ความรู้เรื่องวัฒนธรรม รวมถึงจรรยาบรรณในการทำงาน 

วิค สิทธสนาน ผู้อำนวยการของ Jobstreet by Seek Malaysia แสดงความเห็นว่า การพัฒนาด้านอาชีพกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยได้ยกรายงานจาก Hiring Compensation and Benefits Report for 2024 ซึ่งบ่งชี้ว่ามีนายจ้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เน้นคัดเลือกบุคลากรที่เคยผ่านการฝึกอบรมวิชาชีพ หรือ หลักสูตรที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ตามทักษะที่นายจ้างต้องการ มากกว่าใบปริญญาแล้ว 

แม้การพิจารณาคัดเลือกพนักงานจากวุฒิการศึกษายังคงมีอยู่ แต่ก็จะถูกลดความสำคัญลงไป เมื่อนายจ้างยุคใหม่ต้องการคนที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทางที่ตรงกับสายงานมากกว่า และจำเป็นต้องนำมาใช้งานได้จริงด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้บริหารเว็บไซท์ที่ให้บริการรับสมัคร, จัดหางานอันดับ 1 ในมาเลเซีย ยังเน้นอีกว่า ‘ภาษาอังกฤษ’ มีความสำคัญ แต่ยังไม่พอ 

เนื่องจากมาเลเซียมีเศรษฐกิจที่ผูกพันกับทางจีนอย่างมาก ความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนจึงพุ่งสูงขึ้นในตลาดแรงงานมาเลเซีย โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลาง ที่หลายบริษัทระบุเลยว่าต้องการผู้ที่พูดภาษาจีน หรือสามารถพูดได้หลายภาษา

ความเห็นของผู้บริหาร Jobstreet สอดคล้องกับ ดาตุ๊ก ดร.ซาอีด ฮัซเซน ซาอีด ฮัสมาน ประธานสหพันธ์นายจ้างมาเลเซีย ที่ได้กล่าวว่า ปัจจุบัน นายจ้างสนใจผู้สมัครที่จบวุฒิสายอาชีพ (TVET) มากกว่า เพราะมีทักษะหลายอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ในการทำงานจริงได้โดยตรง โดยนายจ้างก็มีแนวโน้มประเมินผู้สมัครแบบองค์รวมมากขึ้น

และถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษยังอยู่ในห้าอันดับแรกของทักษะที่เป็นที่ต้องการ แต่ ดร.ซาอีด ฮัซเซนเห็นเช่นเดียวกับ วิค สิทธสนาน ว่าทักษะภาษาจีนกลางเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน 

ซึ่งนอกจากภาษาจีนแล้ว ผู้ที่เชี่ยวชาญทักษะภาษาอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี และ อารบิก ก็เป็นที่ต้องการสูงเช่นกัน ทั้งนี้เพราะมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศศูนย์กลางการลงทุนของบริษัทข้ามชาติ จึงมองหาบุคลากรที่สามารถสื่อสารได้หลายภาษา นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ 

จึงสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะมี ‘ความรู้’ แบบใดมาจากระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม แต่สิ่งที่เจ้าของกิจการมองหาคือ ‘ทักษะ’ ที่หมายถึง ‘ความสามารถ’ ในการใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ด้านงานช่าง งานเทคนิค ฯลฯ รวมถึงเข้าใจในการทำงานในวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายด้วย ซึ่งทักษะเหล่านี้ ไม่อาจพิจารณาจากใบปริญญาได้ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองที่หน้างานเท่านั้น 

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง 
ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย 
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

แค่ปริญญา ไม่พอจริง ๆ”

Chevron โอนหุ้นโครงการท่อก๊าซยาดานาให้ ปตท.ก่อนถอนตัวออกจากพม่า ส่ง ปตท.ผู้ถือหุ้นใหญ่ ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 62.96%

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 เม.ย.67) Chevron บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศถอนตัวออกจากโครงการสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติยาดานาในประเทศพม่าแล้ว หลังจากที่บริษัทแสดงจุดยืนประณามความรุนแรง และ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่ามานานกว่า 2 ปี

โดยสัดส่วนหุ้นของ Chevron จำนวน 41.1% จะถูกโอนไปให้กับผู้ถือหุ้นที่เหลืออยู่ในโครงการนี้ ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. และ และวิสาหกิจน้ำมันและก๊าซเมียนมา หรือ MOGE ที่ตอนนี้อยู่ภายในการดูแลของรัฐบาลทหารพม่า 

และจากการจัดสรรหุ้นใหม่หลังจากที่ Chevron ถอนตัวไป จะทำให้ ปตท. กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของโครงการยาดานาไปในทันที ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 62.96% 

โฆษกของ Chevron กล่าวว่า การถอนธุรกิจออกจากพม่าเป็นความตั้งใจของบริษัทอยู่แล้ว หลังจากเหตุการณ์รัฐประหารในพม่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 ที่ก่อให้เกิดจลาจล การลุกฮือของประชาชนและชนกลุ่มน้อย และการปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้พม่าต้องเผชิญกับวิกฤติด้านมนุษยธรรมอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ทางบริษัทจึงขอถอนธุรกิจออกจากพม่าอย่างเป็นระเบียบตามขั้นตอนที่ควบคุมได้

โครงการสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติยาดานา แต่เริ่มเดิมทีเป็นการร่วมทุนของบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ 2 บริษัท ได้แก่ Total Energies ของฝรั่งเศส และ Chevron ของสหรัฐอเมริกา ร่วมกับ ปตท. สผ. ของไทย และ MOGE ของรัฐบาลพม่า ในสัดส่วนผู้ถือหุ้น Total Energies (31.2%), Chevron (28.3%), ปตท (25.5%) และ MOGE (15%) ตามลำดับ 

แหล่งก๊าซธรรมชาติยาดานา สามารถผลิตก๊าซได้ราว 6 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และในปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ 70% ส่งขายในประเทศไทย ส่วนอีก 30% เป็นของ MOGE ในการจัดจำหน่ายพลังงานในประเทศ 

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในพม่าเมื่อปีพ.ศ. 2564 คณะรัฐประหารที่นำโดย ผู้นำทหารสูงสุด มิน อ่อง หล่าย ได้เข้าควบคุมกิจการ MOGE อันเป็นสาเหตุให้บริษัทพลังงานจากชาติตะวันตกถูกกดดันให้ถอนทุนออกจากธุรกิจพลังงานในพม่า เนื่องจาก MOGE กลายเป็นแหล่งรายได้หลักที่หล่อเลี้ยงรัฐบาลทหารพม่า และต่อมา โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้ออกคำสั่งห้ามบริษัทเอกชนของอเมริกันทำธุรกรรมทางการเงินใด ๆ กับ MOGE เพื่อตัดวงจรท่อน้ำเลี้ยงของกองทัพพม่า

ด้วยเหตุนี้ Total Energies จึงตัดสินใจถอนทุนออกจากโครงการยาดานา ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 โดย ปตท.สผ. ก็เป็นผู้รับช่วงถือครองหุ้น ของ Total Energies ในเวลาต่อมา 

ด้าน Chevron ก็ได้ประกาศแผนถอนทุนออกจากกิจการพลังงานในพม่าเช่นเดียวกัน และตัดสินใจที่จะโอนหุ้นให้กับผู้ร่วมทุนที่ยังเหลืออยู่ คือ ปตท.สผ. และ MOGE

ล่าสุด มนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) ได้ส่งจดหมายถึงประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งเรื่องการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการยานาดา ที่เป็นผลจากบริษัทในเครือ Chevron ตัดสินใจถอนการลงทุน และประสงค์ที่จะโอนหุ้นให้กับผู้ร่วมทุนที่เหลืออยู่ ทำให้ ปตท.สผ. จะมีสัดส่วนการลงทุนที่ร้อยละ 62.9630 ในโครงการยาดานา มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 เป็นต้นไป

ด้านกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ไม่ขอออกความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจถอนทุนของบริษัท Chevron พม่า และสถานการณ์ของบริษัทเอกชนแต่ละแห่งที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพม่า แต่ยังคงจุดยืนแน่วแน่ในการกดดันรัฐบาลพม่า รวมถึงกิจการภายใต้การควบคุมของรัฐให้อ่อนแอลง และสนับสนุนการต่อสู้ของรัฐบาลพลเรือนในพม่า 

สังคมเกาหลีเดือด กระแส 4B Movement ลาม ทำอัตราเด็กแรกเกิดเกาหลีใต้ต่ำที่สุดในโลก

ขบวนการสตรีนิยม (กลุ่ม เฟมินิสต์) ในเกาหลีใต้ กำลังตกเป็นจำเลยสังคมเมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกาหลีใต้มีอัตราเด็กแรกเกิดน้อยที่สุดในโลก เนื่องจากจุดกระแส 4B Movement ที่ให้ผู้หญิงเกาหลีลุกขึ้นมาปฏิเสธการแต่งงาน และการมีลูก 

กระแส 4B Movement ย่อมาจากแนวทางการปฏิเสธบรรทัดฐานของสังคมต่อผู้หญิง 4 ประการของเกาหลีใต้ได้แก่...

- Bihon (非婚) - ปฏิเสธการแต่งงานกับผู้ชาย
- Bichulsan (非出産) - ปฏิเสธการมีลูก
- Biyeonae (非戀愛) - ปฏิเสธการดูตัวกับผู้ชาย
- Bisekseu ( 非sex) - ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย 

โดยกระแส 4B Movement เริ่มเกิดขึ้นราวๆ ปี 2019 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก 'คิมจียอง เกิดปี 82' นิยายแนวเฟมินิสม์ เรื่องดังของเกาหลีใต้ ของ 'โช นัม-จู' ที่มียอดจำหน่ายสูงกว่า 1 ล้านเล่ม ต่อมาถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ นำแสดงโดยดาราชื่อดังระดับแถวหน้าของเกาหลีใต้อย่าง ช็อง ยู-มี และกงยู มาแล้ว 

และเคยเป็นนิยายที่ทำให้เกิดกระแสต่อต้านจากกลุ่ม 'ชายแท้' และ 'กลุ่มอนุรักษ์นิยม' ในเกาหลีใต้อย่างรุนแรง ถึงกับประกาศบอยคอดนักแสดงหญิงทุกคนที่อ่านนิยายเล่มนี้ออกสื่อ หรือจะไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่เคยอ่านนิยายเล่มนี้โดยเด็ดขาด 

แต่ในขณะเดียวกัน นิยายเล่มนี้ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ชื่นชมอย่างถล่มทลายจากนักวิจารณ์วรรณกรรม และ กลุ่มนักอ่านผู้หญิง และเป็นต้นกำเนิดของกระแส 4B Movement ของกลุ่มสตรีนิยมสุดโต่งในเกาหลีใต้ในเวลาต่อมา ที่คาดว่าน่าจะสมาชิกราวๆ 5 พัน - 5 หมื่นคนทั่วประเทศ

แม้จะมีเคลื่อนไหวในกลุ่มสตรีนิยมของเกาหลีใต้มานานหลายปีแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็มีการพูดถึงกระแส 4B ขึ้นมาอีก เมื่อมียูทูปเบอร์ 2 สาวชื่อดัง จอง เซ-ยองและ แบ็ก ฮา-นา ได้แสดงความคิดเห็นของพวกเธอผ่านช่อง SOLOdarity ว่าการแต่งงานเป็น 'สาเหตุที่แท้จริงของระบบปิตาธิปไตย' หรือระบบที่ผู้ชายเป็นใหญ่ และ 2 สาวยูทูบเบอร์ยังสนับสนุนให้ผู้หญิงเกาหลีลุกขึ้นมาปฏิเสธค่านิยมที่ว่าด้วยเรื่องหน้าที่ของผู้หญิงที่ฝังรกลึกมาแต่โบราณ รวมถึง การต้องแต่งงาน หรือ ต้องมีลูกให้ได้

จึงทำให้มีการหยิบประเด็นเรื่อง 4B กลับมาถกเถียงกันอย่างร้อนแรงใน Tiktok ของเกาหลีใต้อีกครั้งโดยดาว TikTok สาวชื่อ Jeanie ได้ออกมาวิจารณ์ว่า การปฏิเสธผู้ชายนั่นต่างหากที่อาจทำให้ผู้หญิงสูญพันธุ์ และเกาหลีก็จะสิ้นชาติ แต่ประเด็นคือ กระแส 4B เกิดจากการที่สังคมเกาหลีมีแนวคิดเหยียด และรังเกียจผู้หญิงมาตลอด จึงทำให้ผู้หญิงเกาหลีใต้จำนวนมากลุกขึ้นมาต่อต้านความสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิง และ บรรทัดฐานทางสังคมที่มีต่อผู้หญิงเกาหลี

ซึ่งตอนนี้กระแส 4B ก็เริ่มลุกลามออกไปนอกเกาหลีแล้ว จากการแชร์ในโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก และกำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกาหลีใต้มีอัตราเด็กเกิดใหม่ต่ำที่สุดในโลกในปี 2023 ที่ผ่านมาด้วยอัตราเด็กแรกเกิดเพียง 0.78 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 2.3 และสอดคล้องกับผลสำรวจความเห็นของผู้หญิงเกาหลีใต้ล่าสุด กว่า 65% ระบุว่าไม่ต้องการมีลูก

สื่อเกาหลีใต้ชี้ว่า กระแส 4B ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการตอบโต้ของผู้หญิงเกาหลี ต่อความรุนแรงในสังคมที่ผู้หญิงมักเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำ อาทิ คดีฆาตกรรมหญิงสาวในห้องน้ำสาธารณะเมื่อไม่นานมานี้ โดยชายหนุ่มที่อ้างว่าโกรธแค้นเพราะฝ่ายหญิงหมางเมิน ไม่สนใจเขา 

อย่างไรก็ตาม กระแส 4B Movement ก็ยังถือว่าเป็นเพียงกลุ่มเคลื่อนไหวเล็กๆ ในเกาหลีใต้เท่านั้น ไม่อาจระบุว่าเป็นตัวแทนกลุ่มประชากรหญิงของเกาหลีใต้ทั้งหมดได้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกาหลีใต้มีเด็กเกิดน้อย หรือ ผู้หญิงเกาหลีใต้ไม่อยากแต่งงาน หรือ ไม่อยากมีลูก ไม่ได้เกิดจากกระแสเรื่อง 4B Movement เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาเรื่องปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม สวัสดิการช่วยเหลือของรัฐบาล หรือค่านิยมโดยรวมที่เปลี่ยนไปของคนหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ด้วย 

เพราะเรื่องของหัวใจ และ ความรักระหว่างหญิง-ชาย กับ ความพร้อมในการดูแลลูกนั้น ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน 

 

ชาว X ลือสนั่น!! มือเผาอัลกุรอาน เป็นศพในนอร์เวย์ ด้านชาวเน็ตสงสัย หรือเก็บตัวเงียบรอเผาคัมภีร์ออกสื่ออีกครั้ง

ข่าวลือสนั่นโลกโซเชียลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา คือข่าวการเสียชีวิตของ นาย ซาลวัน โมมิกา ชายชาวอิรัก ผู้ลี้ภัยในสวีเดน ที่ก่อเหตุหยามหัวใจชาวโลกอิสลามด้วยการประท้วง เผาคัมภีร์อัลกุรอานออกสื่อ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านศาสนาอิสลาม และเชิดชูสิทธิเสรีภาพทางการพูด 

แต่เมื่อวันอังคาร (2 เม.ย.67) ที่ผ่านมาสำนักข่าวในโซเชียลต่างออกมาแชร์ข้อมูลว่า พบนายซาลวัน โมมิกา เสียชีวิตแล้วในประเทศนอร์เวย์ ที่เขาเพิ่งทำเรื่องลี้ภัยจากสวีเดน เนื่องจากถูกกดดันจากทางการสวีเดนที่กำลังดำเนินการเนรเทศเขาออกนอกประเทศจากการเคลื่อนไหวที่สร้างความโกรธแค้นจากสังคมอิสลามอย่างมากเป็นวงกว้าง 

แม้ในตอนนี้ยังไม่มีข่าวยืนยันอย่างเป็นทางการจากนอร์เวย์ว่า นาย ซาลวัน โมมิกา เสียชีวิตจริงตามข่าวหรือไม่ แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จากเจ้าตัว ทั้งการปรากฏตัวในที่สาธารณะ และ ในโซเชียล เพื่อเป็นการสยบข่าวลือว่าตัวเขายังมีชีวิตอยู่แต่อย่างใด 

ดังนั้น การหายตัวไปของ ซาลวัน โมมิกา มือเผาอัลกุรอาน ยังคงเป็นปริศนา

ซาลวัน โมมิกา ปัจจุบันวัย 37 ปี เป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลามชาวอิรัก แต่เดิมระบุว่าตนเป็นชาวคริสเตียน เนื่องจากเกิดในครอบครัวชาวคริสต์ในอิรัก ต่อมาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกองกำลังติดอาวุธ Popular Mobilization Forces ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอิหร่าน เพื่อต่อต้านกลุ่มก่อการร้าย ISIS และต้านอิทธิพลของสหรัฐฯ ในพื้นที่ 

แต่ทว่า ซาลวัน โมมิกา มีทัศนคติที่ต่อต้านศาสนาอิสลามอย่างรุนแรง ทำให้เขาอยู่ในอิรักไม่ได้ ในปี 2018 จึงทำเรื่องลี้ภัยมาอยู่ในสวีเดน และประกาศตนเป็นนักเสรีนิยมผู้ไร้ศาสนา แต่สื่อหลายสำนักให้คำจำกัดความเขาว่าเป็นกลุ่มต่อต้านอิสลามหัวรุนแรง 

เหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อของนาย ซาลวัน โมมิกา กลายเป็นที่รู้จักอย่างมาก คือการเผาคัมภีร์อัลกุรอาน หน้าสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในกรุงสตอกโฮล์ม เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2566 สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวมุสลิมทั้งในสวีเดน และทั่วโลก จนถึงกับมีการรวมกลุ่มประท้วงที่หน้าสถานทูตสวีเดนในกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสวีเดนส่งตัวนาย ซาลวัน โมมิกา กลับมาลงโทษในข้อหาดูหมิ่นศาสนา 

แต่นั่นไม่อาจหยุดการกระทำของซาลวัน โมมิกา ได้ เขาได้เผาคัมภีร์อัลกุรอาน โชว์ออกสื่ออีกหลายครั้ง รวมทั้งแสดงการดูหมิ่นด้วยการเหยียบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม ฉีก ทำลายหนังสือ หรือละเลงเนื้อเบคอนลงบนอัลกุรอาน  

ถึงแม้ว่าสวีเดนจะเป็นประเทศเสรี แต่ก็ใช่ว่าชาวสวีเดนจะเห็นชอบกับสิ่งที่ซาลวัน โมมิกา ทำ ที่แสดงถึงการคุกคามศรัทธาและความเชื่อของคนอื่น อีกทั้งยังสร้างความวุ่นวาย ชักศึกเข้าบ้าน ที่ทำให้ชาวสวีเดนส่วนใหญ่รู้สึกไม่สบายใจ เป็นผลให้รัฐบาลสวีเดนเพิกถอนสิทธิ์ผู้ลี้ภัยของเขาในเวลาต่อมา และกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาส่งตัวนาย ซาลวัน โมมิกา ไปยังประเทศที่ 3 ที่ไม่ใช่อิรัก 

ซึ่งล่าสุด ซาลวัน โมมิกา เพิ่งออกมาโพสต์ใน X เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 67 ที่ผ่านมาว่าตัวเขาได้เดินทางออกจากสวีเดน ไปลี้ภัยในประเทศนอร์เวย์เรียบร้อยแล้ว โดยได้ยื่นคำร้องขอสิทธิ์คุ้มครองผู้ลี้ภัยที่นั่น เนื่องจากรัฐบาลสวีเดนไม่ต้อนรับผู้ลี้ภัยที่เป็นนักปรัชญา และ นักคิดผู้มีปัญญา แต่กลับไปรับผู้ลี้ภัยที่เป็นผู้ก่อการร้ายแทน อีกทั้งกล่าวหารัฐบาลสวีเดนที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของชาวสวีเดนที่แท้จริง และยืนยันจะเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านอุดมการณ์อิสลามต่อไป แม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

ซึ่งนั้นเป็นความเคลื่อนไหวในโซเชียลครั้งสุดท้าย ก่อนจะมีข่าวลือสะพัดว่าพบตัวนาย ซาลวัน โมมิกา กลายเป็นศพซะแล้ว ในนอร์เวย์ 

แต่เรื่องทั้งหมดยังคงเป็นเพียงข่าวลือ เมื่อสื่อต่างประเทศได้สอบถามไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ สำนักงานตำรวจในนอร์เวย์ ก็ยังไม่พบข้อมูลผู้เสียชีวิตที่มีชื่อว่า ซาลวัน โมมิกา แต่อย่างใด 

ดังนั้น ข่าวลือของชาว X อาจเป็นเพียงการเล่นตลกในเทศกาลวันโกหก หรือเป็นการสาปส่งล่วงหน้า ในช่วง ซาลวัน โมมิกา ยังต้องเก็บตัวเงียบเพื่อรอการพิจารณาคำร้องขอลี้ภัยในนอร์เวย์ หรือเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จนกว่าจะพร้อมเผาคัมภีร์ออกสื่ออีกครั้ง 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top