Wednesday, 24 April 2024
เยาวชนไทย

สุดประทับใจ 'ผู้ว่าเมืองน้ำดำ' ร้องเพลงหมอลำ สร้างแรงบันดาลใจ ให้เยาวชนในกิจกรรมโครงการ TO BE NUMBER ONE

วันนี้ (12 ม.ค. 66) เวลา 09.00 น. รายงานแจ้งว่า นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ลงพื้นที่ตรวจความเรียบร้อย และให้กำลังใจ น้อง ๆ ลูก ๆ นักเรียนที่มารับเสด็จ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ที่จะเสด็จมาทรงติดตามผลการดำเนินงานโครงการ TO BE NUMBER ONE ของจังหวัดกาฬสินธุ์ ณ โรงเรียนบัวขาว อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยทรงเปิดชมรม TO BE NUMBER ONE เปิดศูนย์เพื่อนใจ TO BE NUMBER ONE และทรงเป็นประธานในการแสดงคอนเสิร์ต TO BE NUMBER ONE ในเวลา 17.00 น. เป็นต้นไป

การเข้าพบนักเรียนนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้จับไมค์ร่วมร้องเพลง (หมอลำ) ที่เรียกเสียงฮือฮา เพราะผู้ว่าสามารถร้องได้เหมือนศิลปิน ที่ได้อธิบายให้เยาวชนมีฝัน เหมือนตนที่เป็นลูกชาวนาแต่ด้วยความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียนก็สามารถที่จะมาเป็นผู้ว่าหรือมารับราชการเป็นข้าราชการที่ดีได้ โดยเน้นย้ำให้เยาวชนห่างไกลยาเสพติดด้วย 

‘น้องพรีม’ คว้ารางวัลชนะเลิศ Kibo-ABC Award แข่งขันนำเสนอผลการทดลองบนอวกาศ ของ ‘สวทช.-แจ็กซา’

(21 มี.ค. 66)  เมื่อเร็ว ๆ นี้ 17 มีนาคม 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สนับสนุนเยาวชนไทยร่วมแข่งขันนำเสนอผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์บนสถานีอวกาศนานาชาติ ภายใต้โครงการ Asian Try Zero-G 2022 ร่วมกับเยาวชนจากประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ผ่านระบบออนไลน์ Zoom ผลปรากฏว่านางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ (พรีม) นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ คว้ารางวัลชนะเลิศ Kibo-ABC Award ได้รับโล่และเกียรติบัตรจากนักบินอวกาศขององค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น หรือ แจ็กซา (JAXA)

ดร.จุฬารัตน์ ตันประเสริฐ รองผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ตามที่ สวทช. ร่วมกับแจ็กซาดำเนินโครงการ Asian Try Zero-G 2022 เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยส่งแนวคิดการทดลองในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำเข้าร่วมแข่งขันกับเยาวชนจากประเทศสมาชิกในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งแจ็กซาได้เลือกข้อเสนอการทดลองจาก 5 ประเทศ จำนวน 6 เรื่อง ขึ้นไปทดลองจริงในห้องทดลองคิโบะ โมดูล (Kibo Module) บนสถานีอวกาศนานาชาติ โดย นายโคอิจิ วะกาตะ นักบินอวกาศญี่ปุ่น เมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา ล่าสุดวันที่ 17 มีนาคม 2566 แจ็กซาได้จัดเวทีแข่งขันนำเสนอผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์บนสถานีอวกาศนานาชาติในรูปแบบออนไลน์ เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนได้ฝึกรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และสรุปผล โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรม

ในจำนวนข้อเสนอการทดลองที่ได้รับคัดเลือกขึ้นไปทดลองจริงบนสถานีอวกาศนานาชาติและร่วมแข่งขันนำเสนอผลการทดลองทั้งหมด 6 เรื่องนั้น มีผลงานของเยาวชนไทยจำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ การทดลองเรื่อง การศึกษาพฤติกรรมของก้อนน้ำทรงกลมเมื่อถูกแรงกระทำในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ นักเรียนชั้น ม. 6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และการทดลองเรื่อง การศึกษาระดับน้ำที่สูงขึ้นจากแรงดึงของผิวภาชนะในสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ ของนางสาวอินทิราภรณ์ เชาว์ดี บัณฑิตจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งในการแข่งขันนำเสนอผลการทดลอง เยาวชนไทยทั้ง 2 คน ได้ค้นคว้าหาข้อมูลถึงหลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนสมมติฐานและผลการทดลองที่ได้เห็นจากการรับชมการถ่ายทอดสดการทดลองจากสถานีอวกาศนานาชาติแบบเรียลไทม์

ทั้งนี้ภายหลังเยาวชนทั้ง 5 ประเทศนำเสนอผลการทดลองผ่านระบบออนไลน์เสร็จสิ้น คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศต่าง ๆ ได้คัดเลือกให้ นางสาวจิณณะ วัยวัฒนะ นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ และทีมเยาวชนจากประเทศญี่ปุ่น ได้รับรางวัลชนะเลิศ Kibo-ABC Award ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ Crew Award คือ Mr. Jr-Chiun Tsai เยาวชนจากสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)

'รองโฆษกเพื่อไทย' ติง!! กิจกรรม 'ปากระป๋องใส่ภาพนักการเมือง' แม้ทำได้ตามสิทธิเสรีภาพ แต่เยาวชนยังไม่อาจแยกแยะ

เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.66) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความพร้อมภาพผ่านเฟซบุ๊ก 'ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ - หนุ่ม' ระบุว่า...

เมื่อวานผมได้รับทราบถึงการจัดกิจกรรม ที่ปรากฏภาพ นักเรียนชั้นประถมศึกษา เข้าร่วมงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เมือง จังหวัด #สุรินทร์ และมีการเล่นกิจกรรมเกม 'ปากระป๋องใส่ภาพบุคคลทางการเมือง' และเกิดความไม่สบายใจอย่างยิ่ง จึงอยากสื่อสารกับทุกท่านในสังคม โดยเฉพาะผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้

ผมขอเรียกร้องและย้ำเตือนแก่โรงเรียน หน่วยงานรัฐ ตลอดจนผู้ใหญ่ในสังคมทุกท่าน ให้ใช้วิจารณญาณและความระมัดระวังในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้มากขึ้น การทำกิจกรรมในลักษณะนี้อาจทำได้ตามสิทธิเสรีภาพ แต่เมื่อพึงตระหนักได้ว่ากิจกรรมดังกล่าวจะมีเด็กและเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้าร่วม ควรหลีกเลี่ยงรูปแบบกิจกรรมที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชัง หรือการปลูกฝังแนวคิดทางการเมืองแก่ผู้ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ

ถึงแม้สถานศึกษาจะเป็นสถานที่ปลอดภัยในการแสดงออก สามารถเปิดให้มีอิสระทางความคิด กิจกรรมที่เกิดในโรงเรียนควรเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ มีประโยชน์ทางวิชาการหรือสันทนาการ และควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมด้วย หากกิจกรรมนี้ริเริ่มโดยกลุ่มนักเรียน ควรมีครูอาจารย์ช่วยให้ความรู้และความเข้าใจถึงความเหมาะสมของรูปแบบกิจกรรมด้วย

"สังคมไทยขับเคลื่อนด้วยพวกเราทุกคนนะครับ ผมขอเรียกร้องถึงทุกภาคส่วนในสังคม รวมถึงพรรคการเมืองและผู้สนับสนุนพรรคการเมืองทุกท่าน ให้ใช้ความระมัดระวังในการดำเนินกิจกรรมการเมืองทุกรูปแบบ โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชน ไม่ควรยุยงให้เกิดพฤติกรรมที่สร้างความขัดแย้งในสังคม สร้างแบบอย่างของการแสดงออกต่อความเกลียดชังด้วยความรุนแรง หรือปลูกฝังแนวคิดทางการเมืองเชิงลบแก่ผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพราะอาจส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศความแตกแยกในสังคม"

‘วินทร์’ ชี้ ‘สังคมปัจจุบัน’ กำลังหล่อหลอม ‘เด็ก’ ให้กลายเป็นปีศาจ ‘ความรู้-จริยธรรม’ จึงเป็นธุระของคนทั้งชาติ ที่ต้องคอยช่วยกันปลูกฝัง

เมื่อวานนี้ (6 ต.ค.66) วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และนักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กระบุว่า…

ข่าวเด็กวัย 14 ก่อเรื่องร้ายสร้างความสะเทือนใจแก่ทุกคน แม้ว่าเรายังไม่ได้รับรายงานสาเหตุที่แท้จริงว่าเป็นปัญหาทางจิต เช่น โรคจิตเภท หรือปัญหาครอบครัว หรืออะไร เราก็น่าจะฉวยโอกาสนี้สำรวจสถานการณ์เด็กบ้านเราในภาพรวม

หลายปีนี้ผมเจอเรื่องเด็กหลงทางหลายคนที่เป็นลูกหลานของเพื่อน ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวบ้าง ปัญหายาเสพติดบ้าง สร้างความทุกข์มหันต์ให้พ่อแม่ ในฐานะคนที่เคยเลี้ยงลูกวัยนี้ รู้ว่าพฤติกรรมหลงทางของเด็กเป็นฝันร้ายของพ่อแม่ทุกคน

พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการให้ลูกเป็นนักเรียนชั้นเลิศ ได้เกรด 4 ทุกวิชา แค่ต้องการให้เรียนวิชาพอมีความรู้ประกอบอาชีพ ไม่สร้างปัญหาแก่ใคร ได้เท่านี้ก็ดีใจแล้ว

แต่การเลี้ยงลูกในยุคนี้ยากขึ้นทุกที ทั้งอิทธิพลจากเพื่อนๆ จากสื่อ โลกโซเชียล จากเกม จากหนัง ไปจนถึงการเมือง

เด็กก็คือเด็ก ฉลาดแค่ไหนก็มีวุฒิภาวะแค่ระดับหนึ่ง แต่มักคิดว่าตนเองรู้จักโลกมากพอแล้ว จึงไม่ฟังใคร

วุฒิภาวะต้องใช้เวลาและประสบการณ์ชีวิตด้วย

เมื่อเกิดปัญหา เรามักชี้นิ้วไปที่ปัจเจกไม่กี่คน หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก แต่ความจริงปัญหาของเด็กแต่ละคนที่ทำผิด ก็คือปัญหาของคนทั้งชาติที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน จะชี้นิ้วไปที่คนไม่กี่คนในวงแคบๆ ไม่ได้

ดังที่เคยบอกว่า สิ่งมีค่าที่สุดของชาติคือทรัพยากรคน และการสร้างทรัพยากรคนเริ่มที่เด็ก ต้องปลูกฝังความรู้และจริยธรรมควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง จึงจะได้เด็กที่มีคุณภาพและวุฒิภาวะที่สูงพอ เป็นปัญญา ไม่ใช่ปัญหาของสังคม

จะสร้างความรู้และจริยธรรมได้ เป็นธุระของทุกคนและทุกระบบในประเทศ

แต่ภาพในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม หลายปีนี้เราได้ยินข่าวเด็กถูกผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเสมอ บางคนบางฝ่ายสามารถล้างสมองเด็กเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพวกเขาได้อย่างเลือดเย็น 

ปัญหาของเด็กคนหนึ่งจึงมักเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ประกอบด้วยปัญหาอื่นๆ ของคนอื่นๆ คนจำนวนมากไม่ได้อยู่บนยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งนั้น อาจไม่ใช่ปัญหาโดยตรง แต่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เพราะทุกอย่างในสังคมดำเนินไปแบบ cause - effect 

cause #1 สร้าง effect #1, effect #1 สร้าง cause #2, cause #2 สร้าง effect #3... ต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ใครคนหนึ่งคอมเมนต์ด่าคนอื่น มันจะกลายเป็น cause ที่สร้าง effect ใหม่ จากคนต่อคน จนถึงจุดหนึ่ง effect ก็ไปถึงเด็กที่ยังมีปัญญาและวุฒิภาวะไม่สูงพอ เด็กคนนั้นก็อาจหลงเชื่อว่าตนเองเป็นทางแก้ปัญหา ทั้งที่ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา และก่อปัญหาสังคมได้โดยที่เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าตนเองกำลังช่วยสังคม

ดังนั้นปัญหาสังคมจากเด็กก็คือปัญหาของคนทั้งชาติที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งผู้ใหญ่ที่เจตนาปั่นหัวเด็ก ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่ไม่แย้งผู้ใหญ่คนนั้น

ท่านพุทธทาสภิกขุเทศน์หัวข้อเรื่อง “ยิ่งจะทำให้ดี, โลกมันยิ่งบ้า” ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2513 ว่า

"เสรีภาพในการเขียน ไม่มีใครว่าใครได้ แล้วก็เขียนเรื่องลามก อนาจาร ลงไปในหนังสือประจําวัน, แพร่หลายทั่วไปหมด ; ย้อมนิสัยเด็กๆ ให้เสียไปโดยไม่รู้สึกตัว, โดยไม่ต้องรู้สึกตัว, เขียนเรื่องอ่านเล่นโดยนามปากกา ที่มีชื่อเสียง นิยมนับถือกันทั้งประเทศ แต่แล้วก็เขียนเรื่องที่ทําให้เด็กมีจิตใจเลวทราม, เสื่อมเสียทางศีลธรรมโดยไม่รู้สึกตัว คุณไปเอาหนังสือพิมพ์มาพิจารณาดูเอาก็แล้วกัน ก็จะมองเห็น...

"ยังมีอะไรอีกมากที่ทําให้เด็กๆ กลายเป็นปีศาจในร่างมนุษย์ คนโตๆ ไม่เป็นไร ไม่กี่ปีก็ตาย แต่ว่าการที่ทําให้เด็กๆ มากลายเป็นอย่างนั้นนั้น มันน่าอันตรายอย่างยิ่ง เพราะว่าเขายังจะอยู่ไปอีกนาน..."

นั่นคือภาพเมืองไทยในปี 2513 เมื่อ 53 ปีก่อน วันนี้ปัญหาเด็กที่เกิดจากปีศาจผู้ใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย และรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นความล้มเหลวที่จะสร้างคนที่มีคุณภาพ ก็คือความล้มเหลวของทั้งสังคม

ทุกคำที่เราพูด ทุกประโยคที่เราด่า ทุกแง่ลบที่เราแสดง เป็นส่วนหนึ่งของ cause - effect ของสังคมรวม

วินทร์ เลียววาริณ
6 ตุลาคม 2566

‘ผู้ปกครอง’ เฝ้าระวัง!! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ แปลงร่างเป็น ‘Toy Pod’ ผลิตเลียนแบบ ‘ตุ๊กตา-ของเล่น-กล่องขนม’ หวั่นระบาดสู่เด็ก

(21 มี.ค. 67) ผศ.ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ ผู้จัดการโครงการศึกษาพัฒนาขยายผลการเฝ้าระวังและจัดการความรู้ผลิตภัณฑ์เสี่ยงสุขภาพ เปิดเผยว่า ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าได้ปรับเปลี่ยนรูปโฉมของสินค้าบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่ให้ห่างไกลจากบุหรี่มวน โดยใช้การตลาดการ์ตูน ปรับรูปร่างหน้าตาจากบุหรี่ไฟฟ้าแบบเดิม มาเป็นบุหรี่ไฟฟ้า Gen 5 ‘toy pod’ หรือบุหรี่ไฟฟ้าตุ๊กตา ที่ผลิตเลียนแบบตุ๊กตา ของเล่น ตัวการ์ตูนฮิต อาร์ตทอย ทำเหมือนกล่องขนม ขวดน้ำผลไม้ ไปจนถึงเครื่องเขียน ชนิดเลียนแบบได้เหมือนสมจริงทั้งรูปร่างหน้าตา ขนาด และสีสัน และมีขนาดเล็ก ซึ่ง toy pod ใช้นิโคตินปรับโครงสร้างหรือนิโคตินสังเคราะห์ทำให้สูบง่ายไม่ระคายคอ มีนิโคตินสูง 3-5% สูบได้นานถึง 8,000-15,000 พัฟฟ์

โดย toy pod จะผลิตเลียนแบบตัวการ์ตูนตุ๊กตายอดฮิต โดราเอมอน Super Mario โปเกมอน บางรุ่นเลียนแบบอาร์ตทอยชื่อดังอย่างตุ๊กตา Molly ตุ๊กตา plush หรือตัวการ์ตูนเจ้าหญิงดิสนีย์ บางรุ่นสร้างตัวการ์ตูนขึ้นมาเองเป็น brand character เช่น การ์ตูนโจรสลัด โดยขายสินค้าผ่านการผจญภัยของตัวการ์ตูนและเหล่าสมุน บางรุ่นทำเหมือนของเล่นเลโก้ และผลิตออกมาเป็นคอลเลคชั่นคล้ายของสะสม แต่ละชุดมี 10-12 ตัว มีชื่อเรียกแต่ละชุด มีสีแตกต่างกันเพื่อบอกรสชาติ กลิ่นหอม รสชาติผสมผสานกันทั้งผลไม้ ความเย็น และลูกกวาด เช่น รสแตงโม พีช มิ้นท์

“เป็นที่น่าตกใจที่การตลาดล่าเหยื่อเด็กนี้ประสบความสำเร็จ จากการมีข่าวว่ามีการระบาดในกลุ่มนักเรียนระดับประถม ล่าสุดพบเด็ก ป.1 (6 ขวบ) พกบุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้นพ่อแม่ ครูและโรงเรียน ควรต้องคอยเฝ้าระวังบุหรี่ไฟฟ้าแปลงร่างเหล่านี้ที่เป็นอันตรายต่อเด็ก เพราะ toy pod ออกแบบช่วงปากสูบให้กลมกลืนไปกับตัวตุ๊กตา จนอาจไม่ทราบว่านี่คือบุหรี่ไฟฟ้า หากนำมาวางปนกันกับของเล่น อาจแยกไม่ออกว่าอันไหนคือของเล่นจริง อันไหนคือบุหรี่ไฟฟ้า” ผศ.ดร.ศรีรัช กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า การตลาดล่าเหยื่อของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าที่ไร้จริยธรรมนี้ นอกจากจะพัฒนาบุหรี่ไฟฟ้าให้เย้ายวนเด็กอายุเล็กลงเรื่อยๆ ยังพัฒนาสถานที่ และส่งเสริมการขาย ในสื่อโซเชียลที่ถูกใจและตรงกับวิถีชีวิตของเด็กๆ ด้วย จากรายงานการเฝ้าระวังการตลาดบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์ช่วงม.ค.-ก.พ. ปี 2567 โดย น.ส.กนิษฐา ไทยกล้า พบว่า มีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์จำนวนมากถึง 309 บัญชีรายชื่อ 

มีการโพสต์ 605 ครั้ง ส่วนใหญ่ 66.7% เป็นผู้ขายรายเก่าที่ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มาก่อนปี 2567 รองมาคือ 33% เป็นผู้ขายรายใหม่ที่ลงทะเบียนใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ปี 2567 โดยลักษณะการขายส่วนใหญ่ 54.4% เป็นผู้ขายย่อย 44.7 ขายส่ง/รับตัวแทนขาย และ 1% รับรีวิว ทั้งนี้ 29.1% ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) มากที่สุด รองมาคือ 26.9% เฟซบุ๊ก 17.5% อินสตาแกรม 15.2% เว็บไซต์ 7.4% ไลน์ 3.6% ติ๊กต็อก และ 0.3% ยูทูบ

“กลยุทธ์การตลาดบุหรี่ไฟฟ้าบนสื่นออนไลน์ เน้นโพสต์เพื่อสร้างการรับรู้ถึงตัวผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า การรักษาลูกค้าด้วยการจัดส่งฟรี แจก แถม และลดราคา จนกระทั่งเกิดการซื้อขาย ส่งถึงบ้าน มีเก็บเงินปลายทาง โดยผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่นิยมโพสต์ขายมากที่สุด คือ 89.3% pod รองมาคือ 6.3% ชุดบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมสูบ และ 4% เครื่องเปล่า โดยแนวโน้มของการออกแบบผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าเน้นให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ ความชอบของคนรุ่นใหม่ เริ่มมีการรายงานพบตู้กดขายบุหรี่ไฟฟ้า” ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าวต่อไปว่า น่าเป็นห่วงมากที่เด็กอาจกำลังตกเป็นเหยื่อการตลาดของบุหรี่ไฟฟ้าบนสื่อออนไลน์ เพราะหากสมองของเด็กตั้งแต่ในครรภ์ถึงอายุ 25 ปี สะสมสารนิโคตินจากบุหรี่ไฟฟ้า จะทำให้เซลล์สมองถูกทำลายได้มาก โดยเฉพาะต่อระบบความจำ ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับการเรียน และส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ชัก หัวใจล้มเหลวได้ ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องคงมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นมาตรการที่ดีที่สุด และยังต้องเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องจริงจัง จับกุมผู้กระทำความผิดที่ลักลอบนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้าบนสื่อออนไลน์ ที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบัน เพื่อปกป้องเด็กจากการตลาดล่าเหยื่อนี้ 

“วิกฤตการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า หายนะกำลังคืบคลานทำร้ายลูกหลานไทย สังคมคงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ จะต้องร่วมพลังกันออกมาส่งเสียงดังๆ บอกรัฐบาล ว่า 'คนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า' ร่วมกันสอดส่องดูแลหากมีสิ่งผิดกฎหมาย ช่วยกันแจ้งเบาะแส สายด่วน สคบ. 1166 และที่สำคัญผู้ปกครองและครูต้องรู้เท่าทันกลยุทธ์ล่าเหยื่อ รู้จักพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมแรงร่วมใจทั้งชาติเพื่อปกป้องลูกหลานไทยจากมหันตภัยนี้” ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว

'กัน จอมพลัง' ร่วมถกแนวทาง-แก้ปัญหา ‘เด็กก่อเหตุรุนแรงทางเพศ’ แนะ!! ‘ควรปรับแก้ กม.-ฉีดให้ฝ่อ’ ป้องกันพ้นโทษออกมาก่อเหตุอีก

(22 มี.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล (ครน.) โดยมีนายชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายกิตติกร โล่ห์สุนทร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการ ครน. เข้าร่วม ที่ทำเนียบรัฐบาล 

โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า การประชุม ครน.วันนี้ ได้พิจารณาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่ก่อเหตุความรุนแรงเกี่ยวกับเพศและด้านต่างๆ โดยมี พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พ.ต.ท.พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ผู้แทนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาเด็กก่อเหตุความรุนแรง เพราะจากข้อมูลของกรมพินิจฯ มีเยาวชนที่กระทำความผิดคดีอาญา ฐานข่มขืนกระทำชำเรา ปี 65 จำนวน 670 คน ปี 66 จำนวน 881 คน และปี 67 มีแล้วจำนวน 198 คน ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น 

ขณะที่ กัน จอมพลัง กล่าวว่า ตนได้รับฟังความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียส่วนตัว เกี่ยวกับเด็กที่ก่อความรุนแรง ควรมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งมีผู้มาแสดงความคิดเห็นกว่า 5 พันคน ส่วนใหญ่ อยากให้ภาครัฐปรับแก้กฎหมาย หรือวิธีการป้องกันให้ดีกว่านี้ เพราะจากประสบการณ์ที่ตนลงพื้นที่ พบว่า ผู้ก่อเหตุจำนวนไม่น้อย เมื่อพ้นโทษออกมา ก็จะก่อเหตุซ้ำ รวมถึงมีพฤติกรรมก่อกวนเหยื่อ ทำให้เหยื่อต้องตกอยู่ในความหวาดระแวงตลอดเวลา

นอกจากนี้ ปัญหาเด็กก่อเหตุความรุนแรง ยังพบผู้นำท้องถิ่น เข้ามาเกี่ยวข้องในการช่วยเหลือด้วย ตนจึงมีแนวคิดว่า ผู้ก่อเหตุที่มีพฤติกรรมกระทำความผิดซ้ำ ควรบังคับฉีดให้ฝ่อ เพื่อป้องกันพ้นโทษออกมาก่อเหตุอีก เพราะหลายกรณีได้รับโทษเบา เพียงไม่กี่ปี ก็พ้นโทษ รวมถึงที่ผ่านมา เหยื่อไม่ค่อยได้รับการเยียวยา จึงอยากให้มีการปรับแก้ให้เข้มงวดขึ้น 

ด้าน พ.ต.ท.ประวุธ กล่าวว่า กฎหมายเด็กอายุไม่เกิน 12 กระทำผิด จะไม่ต้องรับโทษนั้น เป็นไปตามหลักสากล ไม่สามารถส่งสถานพินิจได้ ส่วนเด็กช่วงอายุ 12-15 ปี กระทำผิด ไม่ต้องรับโทษเหมือนกัน แต่ศาลมีอำนาจว่ากล่าวตักเตือน หรือ ส่งตัวเด็กไปสถานฝึกอบรม แต่ไม่ให้เกินกว่าวันที่เด็กมีอายุครบ 18 ปี ซึ่งกลุ่มช่วงอายุ 12-15 ปี เป็นช่วงที่กระทำความผิดสูง ส่วนเด็ก 15-18 ปี ศาลสามารถสั่งลงโทษได้ ส่วนการแก้ช่วงอายุไม่ต้องรับโทษ ต้องเกี่ยวข้องกับหลักสากลด้วย จึงควรมีการรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน แต่ที่สามารถทำได้ คือ ส่งเข้าสถานฝึกอบรม จากไม่เกินอายุ 18 ปี ขยายเป็น 24 ปี เพื่อเพิ่มการดูแลให้มากยิ่งขึ้น 

โดยนายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา ตนเคยออกกฎหมายป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ เพื่อเฝ้าระวังบุคคลอันตรายก่อเหตุซ้ำ ซึ่งกฎหมายนี้ จะสามารถช่วยแก้ปัญหาเด็กก่อเหตุความรุนแรงได้ แต่แนวทางการแก้ปัญหาแบบรูปธรรม ที่ประชุม ครน.ได้มีมติ มอบหมายให้สำนักงานกิจการยุติธรรม ไปรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ควรมีการปรับแก้กฎหมายเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเด็กก่อเหตุความรุนแรง พร้อมมอบหมาย ให้สร้างการรับรู้ และทำให้สังคมตระหนักรู้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยตนขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันขับเคลื่อนแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง

วิเคราะห์ความเป็นจริง 'อนาคตไทย-เยาวชนไทย' สาละวันเตี้ยลง พ่ายแพ้เยาวชนเวียดนาม ยับ!!

บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2564 เวียดนาม ประเทศสังคมนิยม เคยทำสงครามกับสหรัฐฯ วันนี้ เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และ กำลังก้าวขึ้นเป็น 'จีน 2' ในเอเชีย 

ทำไมเวียดนาม ถึงก้าวกระโดด? (ข้ามประเทศไทย) เพราะเขามีปัจจัยหลัก ดังนี้...

1. มีปริมาณ 'กำลังคน' ประชากรมีมากกว่าไทย มีคน 100 ล้าน และ ไม่ใช่แค่คนระดับใช้แรงงานเท่านั้น แต่ยังมีคนระดับชั้นมันสมองเพิ่มมากขึ้น จากการพัฒนาการศึกษา 'เชิงคุณภาพ' ต่อเนื่อง อย่างจริงจัง ขณะที่ไทย...สาละวันเตี้ยลง ต่ำลง

ลองพิสูจน์จากเด็กเวียดนาม ที่ได้รับทุน (ของไทย) มาเรียนปริญญาโท-เอก ที่คณะวิศวะลาดกระบัง ทุกคนทั้งเก่งคณิตศาสตร์ (มากกว่าเด็กไทย) ภาษาอังกฤษก็เข้มแข็งกว่า และ ยังขยันสุด ๆ น่ากลัวมาก อาจารย์ไทยชอบมาก เพราะทำงานวิจัยได้ยอด รับผิดชอบสูง น่าประทับใจ

นี่แค่ เด็กเวียดนามระดับกลาง ๆ เพราะระดับตัวท็อป จะไปเรียนต่อที่อเมริกา ซึ่งวันนี้ มีมากกว่า 24,000 คน!!! ซึ่งเน้นด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีขั้นสูง ขณะที่มีเด็กไทยเรียนอยู่ในอเมริกาเพียง 6,000 คน น้อยกว่าเวียดนาม 4 เท่า!!!! 

หมายความว่า เวียดนามกำลังมี 'คนระดับมันสมอง' โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งคือ รากฐานของการยกระดับประเทศ มากกว่าไทย (หลายเท่า) 

2. มีเงิน มีงบประมาณ เพราะเศรษฐกิจเวียดนาม ในปีที่ผ่านมา เติบโตที่สุดของโลก! ขณะที่ประเทศอื่น รวมทั้งไทย ติดลบ! และ เพียงแค่ครึ่งปีที่แล้วนี้ โตไปมากกว่า 5% แล้ว และจะร้อนแรงยิ่งขึ้น...

เพราะเกิดการลงทุน จากต่างประเทศมหาศาล (มากกว่าลงทุนในไทยไปนานหลายปีแล้ว) เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก มีบริษัทเกาหลี มาลงทุน 4,000 กว่าบริษัท ขณะที่มาไทยเพียง 400 บริษัท และ มีบริษัทชั้นนำของโลกทุกแขนง กำลังมุ่งสู่เวียดนาม

ทำให้เกิดการส่งออกสินค้า มูลค่าเพิ่มมหาศาล ซึ่งตอนนี้เวียดนามส่งออกมากกว่าไทยไปแล้วครับ และ กำลังจะทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ หากเราไม่คิดสู้!!

3. มีความรักชาติ เป็นชาตินิยมสูง ถือเป็นจุดแข็งของเวียดนาม เด็กเวียดนามทุกคนเรียนรู้ 'ประวัติศาสตร์ชาติ' รู้จัก 'การต่อสู้ของลุงโฮ' ท่านโฮจิมินห์ บิดาของชาติ รู้เรื่องราว การต่อสู้ ด้วยความทรหด อดทน ไม่ยอมแพ้ ให้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างชาติ 

(ส่วนเยาวชนไทยจำนวนไม่น้อย ถูกอาจารย์ในมหาลัย ปลูกฝังความรู้สึกชังชาติ มีการยกเลิกการเรียนประวัติศาสตร์ชาติไทย ฯลฯ อนาคตมีแต่ จะพาชาติตกต่ำ)

เวียดนาม ปลูกฝังค่านิยม การรักการอ่าน การขยันเรียนแบบสุดๆ โรงเรียนในเวียดนาม แม้ไม่ใหญ่ ไม่สวย เหมือนโรงเรียนไทย แต่คุณภาพไม่แพ้ใครในโลก ลองดูคะแนนมาตรฐาน PISA Score เด็กเวียดนามทำได้คะแนนสูงสุดในอาเซียน เกือบเท่าเด็กสิงคโปร์!!

คนอเมริกัน เชื้อสายเวียดนามในสหรัฐฯ ก็เรียนเก่ง (ที่ MIT ก็มีเด็กอเมริกันเวียดนามเยอะมาก) ประสบความสำเร็จสูงมาก แม้แต่คุณหมอ พญ. ดร. พริสซิลลา ชาน ภรรยาคนสวยของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ก็เป็นคนเชื้อสายเวียดนาม คนเหล่านี้ยังสนับสนุนประเทศเวียดนามทุกรูปแบบ เต็มที่

ไม่อยากให้คนไทยมองข้ามเรื่องนี้ รุ่นพ่อแม่เราเกิดมา ก็ไม่แพ้เกาหลี วันนี้เกาหลีเป็นประเทศชั้นนำของโลกไปแล้ว พวกเราหลายคนเกิดมาก็ไม่แพ้สิงคโปร์ ไม่แพ้มาเลเซีย แต่วันนี้เขากระโดดไปไกลแล้ว 

และวันนี้ พวกเราหลายคนยอมรับว่า "ทำใจไม่ได้" ที่เรากำลังเป็นรองเวียดนาม 

แม้เราไม่ได้อิจฉาเวียดนาม และ ก็ไม่ได้ชื่นชมว่า เวียดนามจะดีเก่งกว่าไทยไปซะทุกเรื่อง เพียงแต่อยากให้ คนไทยเรียนรู้ข้อเท็จจริง เพื่อนำมาวางแผนสู้ พัฒนาชาติไทย ต้องไม่ยอมแพ้!!!

ปกติ #คนไทยไม่แพ้ใครในโลก และ # ถ้าจะทำ ก็ทำได้ 

ขอเป็นกำลังใจ ให้คนไทยทุกคนสู้ๆ 

ขอเสริมจุดที่สำคัญจุดอื่น ที่คนไทยหลายส่วน อาจจะไม่รู้ หรือ ลืมไป คือ...

1) เมื่อตอนไซ่ง่อนแตก คนเวียดอพยพไปสู่ 2 แหล่งสำคัญ คือ สายฝรั่งเศสและ สายอเมริกา 

2) สายฝรั่งเศส คือ กลุ่ม Elite พวกนายพลฝ่ายขวา ที่ยังพอหอบเงินไปตั้งตัวพอให้อยู่ได้บ้าง ส่วนสายที่ไปอเมริกานั้น เป็นคนจนล้วนๆ คือพวกไม่มีค่าเครื่องบินเลยหนีไม่ทันนั่นแหล่ะ

3) เมื่อทั้ง 2 สายไปถึงประเทศปลายทาง ทุกคนก็ต้องทำงานหนัก เพราะรัฐไม่ให้ใครอยู่เฉยๆ Elite ต้องหางานทำ มีตังหน่อย ก็เปิดร้านอาหารเล็กๆ อภิสิทธิ์เดิม ที่เคยได้จากระบบหมดสิ้น กลายเป็นผู้อพยพพลเมืองใหม่ ของประเทศ ทุกชนชั้นเลยต้อง Set zero คนเวียดนาม เรียกเวียดโพ้นทะเลว่า 'เวียดกิ่ว'

4) เวียดกิ่ว เมื่อจำเป็นต้องทำงาน รัฐก็ส่งไปเรียนหลากหลายอาชีพ เวียดกิ่ว เลยอยู่ในทุกวงการ  ไม่ใช่เน้นจับธุรกิจร้านอาหารอย่างเดียว เหมือนคนไทย

5)  เมื่อเด็กๆ เห็นพ่อแม่ลำบาก ก็เลยต้องตั้งใจเรียน  ยิ่งไปเป็นพลเมืองอพยพ ต้องเก่งกว่าคนในประเทศเป็น 2 เท่า เด็กเวียดกิ่ว เลยขยันเรียนหนังสือมากเป็นที่ 1 ของห้องเป็นส่วนใหญ่

6) เมื่อเด็กพวกนี้ สอบมหาวิทยาลัยในระดับกะทิได้  ก็มีหน้าที่การงานที่ดีตามมา ทั้งฝั่งอเมริกา และ ฝรั่งเศส ได้เป็นหมอ อจ.มหาลัย นักกฎหมาย นักวิทยาศาสตร์ พวกนี้ มักได้กลายเป็นมือขวาของนายฝรั่ง

7) ถึงแม้จะเป็นผู้อพยพ แต่ความคิดถึงแผ่นดินแม่  ยังคงแรง ยิ่งพวก Elite ที่ได้ไปรับรู้รสชาติชีวิต คนธรรมดา เลยทำให้เข้าใจว่า พวกตนเคยได้อภิสิทธิ์อะไรมา ส่วนคนจนลำบากยังไง เริ่มมีการกลับไปทำงานสังคม สร้างมูลนิธิ ช่วยคนยากจน สมาคมทันตแพทย์ในฝรั่งเศส ระดมหมอฟันเวียดกิ่วอาสา  400 กว่าคน บินมาลงพื้นที่ทำฟันให้ชาวบ้านฟรี ทุกปี หมอจ่ายค่าเดินทาง กินอยู่เอง

8) เมื่อรุ่นที่ 2 ทั้งเก่ง ทั้งแข็งแรง เริ่มอยากช่วยบ้านเกิด จึงเริ่มมาเปิดธุรกิจเอาไว้ พร้อมทั้ง เอาความสามารถของตัวเองมาลง Set up บริษัทในเวียดนาม  ศักยภาพของเวียดนาม เลยโตแบบก้าวกระโดด

9) คิดภาพนะ คนเวียดนาม มืออาชีพ ทำงานระบบฝรั่ง ทั้งชีวิตจากทั้ง 2 ฝั่งโลก รวมหลายแสนคนเดินทาง มาพัฒนาบ้านเค้า เทียบกับคนไทยไปเรียนเก๋ๆ กอดปริญญาสวยๆ จบก็กลับบ้าน ไม่เคยทำงานจริง ลองเทียบคุณภาพฝีมือกันดู (จะต่างชั้นกันมาก)

10) ถ้าวันนี้ เวียดนามจะไปไกลมาก ไม่ใช่เพราะแค่ฝรั่ง เห็นวัยรุ่นเยอะเลยจะมาใช้แรงงาน แต่เพราะมีคนเวียดนาม ระดับมือพระกาฬบินมาลงมือเองด้วย  ขนความรู้ระดับสูงจากทั้ง 2 ฝั่งโลก มาเทลงในประเทศเดียว เวียดกิ่ว USA ยังมีเขม่น กับเวียดกิ่ว France อยู่พอสมควร แต่เขาแข่งกันสร้างของดี ความดี...

11) ยังไม่รวม สายสัมพันธ์ที่คนเวียดกิ่ว จากทั้งอเมริกาและฝรั่งเศส มีกับรัฐบาลตัวเอง จะขออะไรก็ได้หมด แต่แน่นอน คนเวียดกิ่วไม่เอาจีน

12) 5 ปีที่แล้ว เด็กที่มาจากเวียดนาม สร้างปรากฏการณ์การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ คณะทันตของฝรั่งเศส จากคะแนนสูงสุด 10 คน มี 7 คนมาจากเวียดนาม

ทุกวันนี้คนไทยหลายคน ยังหัวเราะเยาะ ดูถูกคนเวียดนาม (มองเพียงระดับคนขายแรงงานเท่านั้น)

มองอนาคตจากปัจจุบัน จะเห็นได้ชัดว่า เยาวชนไทย แพ้เยาวชนเวียดนาม แบบเกือบหมดทางสู้ในด้านการพัฒนาประเทศ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top