Tuesday, 16 April 2024
พิษณุโลก

พิษณุโลก - ม.นเรศวร เปิดหอเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พร้อมเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ และอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาช่างสิบหมู่

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 10.00 น. ศูนย์แสดงนิทรรศการและการประชุมนานาชาติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก  ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีเปิดหอเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หอพระไตรปิฎก และห้องนิทรรศการช่างสิบหมู่

โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กาญจนา เงารังษี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร  พร้อมด้วย นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก และผู้บริหารจากมหาวิทยาลัย ให้การต้อนรับ

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดแสดงพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช รวมทั้งเป็นการพัฒนามหาวิทยาลัยให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ และอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาช่างสิบหมู่ให้คงอยู่สืบไป ณ ศูนย์แสดงนิทรรศการและการประชุมนานาชาติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก

หลังจากนั้น เยี่ยมชมหอเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (King Naresuan the Great Hall of Honor) จัดแสดงพระราชประวัติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตั้งแต่พระองค์พระราชสมภพ ศึกเมืองคังมีแผ่พระบรมเดชานุภาพ ประกาศอิสรภาพ และสงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับพระมหาอุปราชา

หอพระไตรปิฎก มหาวิทยาลัยนเรศวร (Tripitaka Hall) จัดแสดงพระไตรปิฎก ที่เป็นหลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรวบรวมบันทึกหลากหลายภาษาของหลายชนชาติ เช่น ภาษาพม่า ภาษาฮินดี ภาษาจีน และอื่น ๆ  ทั้งในรูปแบบหนังสือ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์

ห้องนิทรรศการช่างสิบหมู่ (Ten Divisions Of Traditional Thai Crafts) จัดแสดงงานศิลปกรรมต่าง ๆ ในหัวข้อ “มหาวิทยาลัยนเรศวรกับงานช่างสิบหมู่” เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญางานช่างสิบหมู่ที่เกิดจากการวิจัย ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ มาจัดแสดงในรูปแบบของนิทรรศการ เพื่อแสดงความก้าวหน้าทางด้านศักยภาพ และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย และชมสาธิตการดุนโลหะดอกเสลาและดอกรวงผึ้งแบบประยุกต์ การปักไทย โดยศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยนเรศวร

 

รู้จัก 'เบิร์ดปากแดง' สุดยอดหนุ่มใจบุญ ซ่อมจักรยานมือสองแจกเด็กใน 'วันเด็ก' ทุกปี

'เบิร์ดปากแดง' หนุ่มอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ใจบุญขี่รถพ่วงข้างเก็บขยะของเก่าขายมากว่า 20 ปี ไปพร้อม ๆ กับซ่อมจักรยานมือสองให้กับเด็ก ๆ ที่ยากจนและขาดแคลนและร่วมส่งมอบให้เด็กนักเรียนในวันเด็กแห่งชาติทุกปี

นายเสกสรร มากศรทรง หรือ เบิร์ดปากแดง อายุ 35 ปี เป็นชาวบ้านคลองคล้า หมู่ 11 ตำบลมะต้อง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก มีอาชีพรับซื้อของเก่ามากว่า 20 ปี ซึ่งเป็นอาชีพของครอบครัวที่ออกไปรับซื้อของเก่าตามบ้านเรือนประชาชนแล้วนำมาขายต่อ

'เบิร์ดปากแดง' ชายหนุ่มที่มีเอกลักษณ์ปากจะแดง เนื่องจากใช้ครีมทาหน้ายี่ห้อหนึ่งตั้งแต่วัยรุ่น ส่งผลให้ปากแดงตลอดเวลา แต่ที่เป็นรู้จักกันดีเนื่องจาก ‘เบิร์ดปากแดง’ จะรับซื้อของเก่าในช่วงกลางวันนำไปขาย นำเงินส่วนหนึ่งมาซ่อมจักรยานเก่า ๆ ในช่วงกลางคืนเพื่อนำจักรยานไปมอบให้แก่เด็ก ๆ ที่ยากจน ไม่มีจักรยานใช้และต้องการจักรยานไปใช้ในชีวิตประจำวันและช่วงวันเด็ก เบิร์ดปากแดงจะนำจักรยานที่ซ่อมไปมอบให้แก่เด็กตามโรงเรียนต่าง ๆ จนเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก อย่างมาก

พิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 จัดพิธีบวงสรวงและพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เนื่องในวันกองทัพไทย

วันที่ 18 มกราคม 2566 เวลา 08.09 นาฬิกา ที่ พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ และพระรูปพระสุพรรณกัลยา ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก  พลโท สุริยะ เอี่ยมสุโร แม่ทัพภาคที่ 3  พร้อมด้วย คุณกันต์ฤทัย เอี่ยมสุโร ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบกสาขากองทัพภาคที่ 3 และคณะผู้บังคับบัญชา และกำลังพลกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3 ร่วมพิธีบวงสรวงและพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะ และจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย 

พร้อมทั้งกล่าวคำสดุดีพระเกียรติคุณฯ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชให้ชาติไทย และทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชา ในวันที่ 18 มกราคม 2135 ซึ่งตรงกับวันกองทัพไทย

พิษณุโลก ตำรวจภาค 6 กวดล้างอาชญากรรม ยึดปืน ยาบ้า อาวุธสงคราม

เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 66 ที่ห้องประชุมชั้น 2 ตำรวจภูธรภาค 6 ต.มะตูม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พร้อมรองผู้บัญชา และผู้บังคับการตำรวจภูธรในสังกัดภาค 6 ร่วมกันแถลงข่าวผลงานการกวาดล้างอาชญากรรม และยาเสพติด ในช่วงระหว่างวันที่ 15-24 ม.ค. 2566 ตามแผนป้องกันปราบปรามอาชญกรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 'ป้องราษฎร์ ปราบภัย หัวใจคือประชาชน' 

สำหรับการระดมกวาดล้างอาชญากรรมในครั้งนี้ เป็นกลุ่มเป้าหมายในภาพรวมของหน่วยอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อให้ปรากฏผลเป็นรูปธรรม โดยใช้ผลวิเคราะห์ข้อมูล สถานภาพอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และนาฬิกาอาชญากรรม เป็นข้อมูลในการวางแผนปฏิบัติ ซึ่งทางตำรวจภูธรจังหวัดในสังกัดตำรวจภูธรภาค 6 และกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค ได้ระดมกวาดล้างอาชญากรรม เน้นความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม การพนัน ยาเสพติด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง อาวุธปืน ความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และบุคคลตามหมายจับ บังเกิดผลการปฏิบัติ อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ 

พิษณุโลก รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยมการสอบคัดเลือกบุคคลเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก ประจำปี 2566

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พันเอก สมบัติ บุญกอแก้ว รองเสนาธิการกองทัพาคที่ 3 เดินทางไปตรวจเยี่ยมการสอบคัดเลือกบุคคลเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก ประจำปี 2566 ขั้นที่ 1 ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 สนามที่ 1 ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร 

โดยรองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 3 ได้เน้นเจ้าหน้าที่กำกับดูแลให้เรียบร้อย โปร่งใส ยุติธรรม ทั้งนี้ยึดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 เป็นสำคัญ รวมถึงการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับนักเรียนที่มีสิทธิ์สอบ และผู้ปกครองที่มาคอยให้กำลังใจ 

'วัดราชบูรณะ' พิษณุโลก เตรียมแจกข้าวสาร 14 ตัน มอบให้ ปชช.คนละ 5 กิโลกรัม วันที่ 14 มี.ค.นี้

วัดราชบูรณะจังหวัดพิษณุโลกร่วมกับคณะศิษย์จากประเทศไต้หวันเตรียมข้าวสาร 14 ตันแจกให้กับประชาชนคนละ 5 กิโลกรัม วันที่ 14 มีนาคมนี้

วันที่ 8 มีนาคม 2566 พระครูสิทธิธรรมภิวัช เจ้าอาวาสวัดราชบูรณะอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลกเปิดเผยว่าในวันอังคารที่ 14 มีนาคม 2566 คณะลูกศิษย์จากประเทศไต้หวันมีกำหนดการมาทำพิธีพุทธาภิเษกท้าวมหาพรหม ณ วิหารหลวงพ่อทองดำ วัดราชบูรณะ และในโอกาสนี้คณะลูกศิษย์จากประเทศไต้หวันได้เตรียมข้าวสาร 14 ตัน เพื่อแจกให้กับประชาชนชาวพิษณุโลกเป็นการทำบุญถวายกุศล

‘เพื่อไทย’ เผย ‘เศรษฐา’ เตรียมขึ้นปราศรัยแรก ‘พิจิตร-พิษณุโลก’ โว!! แม้เป็นหน้าใหม่ แต่ประชาชนให้ความสนใจล้นหลาม

(9 มี.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมลงพื้นที่และจัดเวทีปราศรัยที่ จ.พิจิตร และพิษณุโลก ระหว่างวันที่ 11-12 มีนาคมนี้ นอกจากการนำเสนอนโยบายเพื่อแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนแล้ว ไฮไลต์สำคัญในครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย จะขึ้นเวทีปราศรัยครั้งแรก

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า โดยมีแกนนำคนสำคัญของพรรค พท.เข้าร่วม นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรค นายจาตุรนต์ ฉายแสง กรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย นายสุธรรม แสงประทุม คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายพรรค และตน ร่วมปราศรัยบนเวที โดยในวันที่ 11 มีนาคม คณะของพรรค พท.จะเดินทางไปที่ จ.พิจิตร เพื่อสักการะหลวงพ่อเพชร วัดท่าหลวง อ.เมือง ก่อนเดินทางไปเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่สนามวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป

เยือนถิ่นพิษณุโลก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ชี้!! รัฐประหารพรากโอกาสพัฒนาชีวิตปชช. ลั่น!! สานต่อ ‘อาปู’ เดินหน้าดัน ‘บางระกำโมเดล’

‘อุ๊งอิ๊ง’ ลุยพิษณุโลก โวยรัฐประหารพรากโอกาส ลั่นสานต่อ ‘อาปู’ ดันบางระกำโมเดล

(12 มี.ค. 66) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีปราศรัย ณ อาคารเป็ดร่วมใจ วัดวังเป็ด อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เมื่อมาถึงพิษณุโลกก็อดกล่าวถึงคุณอา (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ไม่ได้ เพราะครั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เคยคิดไว้ว่าจะพัฒนา ‘บางระกำ โมเดล’ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วม-น้ำแล้งให้พี่น้องประชาชน แต่ถูกรัฐประหารไปก่อน พี่น้องประชาชนจึงถูกพรากโอกาสได้พัฒนาชีวิตไป

“ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง พรรคเพื่อไทยจึงจะนำ ‘บางระกำ โมเดล’ กลับให้พี่น้องชาวพิษณุโลกอีกครั้ง เพื่อคืนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชนอีกครั้งโดย อย่างแรกคือ การขยายคลอง เพื่อระบายน้ำจากแม่น้ำน่านลงสู่แม่น้ำยม ไม่ให้น้ำค้างอยู่ในที่นาของประชาชนนานเกินไป อย่างที่สองคือการทำแก้มลิงขนาดใหญ่ เพื่อดักน้ำที่ไหลหลากให้พี่น้อง และอย่างที่สามคือ การปรับปรุงอ่างเก็บน้ำชุมชนให้พี่น้องได้มีใช้ในหน้าแล้ง” น.ส.แพทองธาร กล่าว

‘พิธา’ กร้าว!! กาก้าวไกลได้ประโยชน์ถึง 3 เด้ง 1. ‘ประยุทธ์’ ออก 2. ‘ประวิตร’ ออก 3. ได้คนใหม่ ‘เปลี่ยนประเทศ’

เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นปราศรัยปิดเวทีปราศรัยใหญ่และแนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ที่สวนชมน่าน จังหวัดพิษณุโลก โดยนายพิธาเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ตน และ ส.ส.ปดิพัทธ์ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ‘ความเป็นพ่อคน’ พวกเราทำงานการเมือง เพราะเราไม่สามารถส่งต่อสังคมแบบนี้ให้กับลูกของเรา ตนและพรรคก้าวไกลมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนประเทศนี้ให้มีความเท่าเทียมกัน มีความเปิดกว้างหลายหลายให้กับคนทุกคนอย่างเสมอภาค และเอาระบบอำนาจนิยมออกไป

นายพิธา กล่าวต่อไปอีกว่า การเมืองที่ตนอยากเห็นในฐานะคนเป็นพ่อ คือ ประเทศที่มีการศึกษาที่เท่าเทียมกัน เด็กที่มาจากครอบครัวร่ำรวยสามารถพูดได้ 3 ภาษา การศึกษาในประเทศนี้ก็ต้องมีศักยภาพทำให้เด็กทุกคนพูดได้ 3 ภาษา ตนต้องการที่จะสร้างสังคมที่เท่าเทียม หลากหลาย ปราศจากอำนาจนิยมและปิตาธิปไตยให้กับคนรุ่นต่อไป

“อีก 10 ปี อาจเป็นลูกของผมหรือลูกของท่าน ที่ไปเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียม ทำไมเรื่องเหล่านี้ต้องให้คนหนุ่มสาวออกมาพูด ไม่ใช่ผู้แทนราษฎรที่มีกระดูกสันหลังในสภาฯ ที่พูด ทำให้คนหนุ่มสาวออกไปตามหาความฝันของเขาไม่ได้ ชีวิตลูกของผม ลูกของหมออ๋อง และลูกของเราทุกคนจะดีขึ้น เมื่อพวกเราอยู่ในสังคมที่เท่าเทียมกัน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ยังเสนอว่า สังคมที่เท่าเทียมกันต้องมีโอกาสที่เท่าเทียมกันระหว่างคนที่มีความพิการและคนอื่น ๆ ในสังคม โดยพรรคก้าวไกล 1.) จะเพิ่มเบี้ยผู้พิการ 3,000 บาท 2.) จะผลักดันนโยบายการออกแบบเพื่อคนทุกคนให้สามารถกำหนดชีวิตประจำวันในการเดินทางให้ได้ 3.) คือการสร้างงาน จากปัจจุบันที่รัฐฯ บังคับเฉพาะบริษัทเอกชนให้จ้างงานคนพิการ แต่ในรัฐบาลพรรคก้าวไกลจะจ้างงานคนพิการเป็นข้าราชการทันที 20,000 ตำแหน่ง และ 4.) สร้างอุตสาหกรรมเพื่อผู้พิการ เช่น รถเข็นของคนพิการ จากที่นำเข้ามีราคาแพง ให้สามารถผลิตได้ในประเทศ

นายพิธา ยังเสนออีกว่า ตนและพรรคก้าวไกลต้องการให้คนรุ่นต่อไปได้อากาศสะอาดไว้หายใจ นี่คือสาเหตุให้พรรคก้าวไกลผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด ซึ่งกฎหมายอากาศสะอาดของพรรคก้าวไกลต้องไม่ใช่แค่มีผลในประเทศ แต่จะไปเจรจากับต่างประเทศให้มีมาตรฐานคุณภาพอากาศเดียวกันทั้งอาเซียน ไม่ใช่ปล่อยให้กลุ่มทุนภาคเกษตรหนีจากประเทศที่มีมาตรฐานสินค้าเกษตรสูงแล้วไปทำไร่ข้าวโพดในลาวและเมียนมา

‘จุรินทร์’ นำทีม ‘ปชป.’  อ้อนชาวพิษณุโลก กาเบอร์ 26 ย้ำจุดยืนประชาธิปไตยไม่โกง ไม่เอาระบอบประธานาธิบดี

‘จุรินทร์’ นำทัพปชป. บุกพิษณุโลก ขอเสียงกาเบอร์ 26 ย้ำจุดยืนประชาธิปไตยไม่โกง เป็นระบบ ‘รัฐสภา’ ไม่ใช่ ‘ระบอบประธานาธิบดี’ โนคอมเมนท์ปม ‘บิ๊กตู่’ ถ้าเป็นนายกฯ ก็อีก2ปี ชี้เป็นไปตามข้อเท็จจริง-ศาลวินิจฉัยแล้ว สุดท้าย ‘พรรคยั่งยืน’  คือทางรอดประเทศ

(9 เม.ย.66) ที่ ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาพาณิชยการ จ.พิษณุโลก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต  และ นายอรัญ วงศ์อนันต์ ผู้สมัครบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 26 เดินทางมาปราศรัยย่อยให้กับพี่น้องประชาชน เพื่อแนะนำผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดพิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกอบด้วย เขต 1 นายจักษ์ พันธ์ชูเพชร เบอร์ 5 เขต 2 น.ส. ปุญชรัสมิ์ ศิริสวัสดิ์ เบอร์ 7 เขต 3 นายวิมล สารมะโน เบอร์ 1 เขต 4 น.ส.มุธิตา ทองคำนุช เบอร์ 6 เขต 5 นายพริ้ง บุญแสงสวัสดิ์ เบอร์ 4 และนำเสนอนโยบายที่มาพร้อมด้วยความรับผิดชอบ ตั้งแต่นโยบาย “ประกันรายได้ จ่ายเงินส่วนต่าง” “ชาวนารับ 30,000 ต่อครัวเรือน” “โฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลงภายใน 4 ปี” “กรรมสิทธิ์ที่ดินทำกินให้กับผู้ทำกินในที่ดินของรัฐ” “เรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาที่ตลาดต้องการ” “Startup – SME ต้องมีแต้มต่อ” “ตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” “ชมรมผู้สูงอายุรับ 30,000 บาทต่อชมรม” “ธนาคารหมู่บ้าน/ชุมชนแห่งละ 2 ล้านบาท” เป็นต้น โดยมีพี่น้องประชาชนทุกช่วงวัย สนใจเข้ารับฟังการปราศรัยเต็มห้องประชุม และร่วมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขอบคุณผู้สมัครทุกคนที่ยืนหยัดหนักแน่น มั่นคงกับประชาธิปัตย์ ไม่เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ ซึ่งปัจจัยนี้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่คนพิษณุโลกจะพิจารณาตัวผู้สมัคร และตัวผู้สมัครทุกคนของเราก็มีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน พร้อมกับหวังว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาธิปัตย์จะปักธงที่จังหวัดพิษณุโลกได้ นอกจากนี้ตนมีความเชื่อมั่นว่าพรรคประชาธิปัตย์สามารถอยู่ในใจของประชาชนได้ เพราะนอกจากอุดมการณ์ที่เป็นจุดเด่นสำคัญของพรรคแล้ว ยังมีผลงาน และนโยบายที่โดนใจ ซึ่งเป็นทั้งจุดเด่น และจุดแข็งของประชาธิปัตย์ รวมถึงแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งสมประสบการณ์มา ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร พร้อมเข้าไปทำหน้าที่ได้ จึงเชื่อมั่นว่าขณะนี้ประชาธิปัตย์มีเสียงสนับสนุนจากทั่วประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ

เมื่อถามว่า จากการที่ภาคเหนือกำลังผจญกับฝุ่นพิษ PM 2.5 พรรคประชาธิปัตย์มีแนวทางในเรื่องนี้อย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า การแก้ปัญหามลพิษนั้น ต้องแก้ไขที่จุดนั้น หากเป็นมลพิษที่เกิดจากรถยนต์ก็ต้องแก้ที่ควันรถ รวมทั้งเร่งส่งเสริมการใช้รถ EV ให้มากขึ้น และส่งเสริมการใช้รถสาธารณะเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนใช้รถ EV ให้มากขึ้น รวมถึงการเป็นฮับในการผลิตรถยนต์ EV ในภูมิภาคได้ต่อไป ส่วน PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาป่าหรือเผาไร่ ในแต่ละพื้นที่ก็ต้องเคร่งครัดการใช้กฎหมายมากขึ้น รวมทั้งต้องเดินหน้าในการเจรจาระหว่างประเทศ เพราะปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดเฉพาะที่บ้านเรา รวมทั้งการที่จะต้องไปเจรจาร่วมกับกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย นอกจากนี้พรรคประชาธิปัตย์จะขับเคลื่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อให้แก้ไขปัญหามลพิษ และ ปัญหา PM 2.5 แบบครบวงจร

เมื่อถามถึงกำหนดการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์กล่าวว่า วันนี้ในช่วงบ่าย ตนจะนำจุรินทร์ออนทัวร์ ไปจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน รวมทั้งเปิดตัวทีมเศรษฐกิจ 4 ปี ประกันรายได้ของประชาธิปัตย์ เกษตรกรได้อะไร” ส่วนในวันพรุ่งนี้(10เม.ย.) ทีมเศรษฐกิจ ประชาธิปัตย์ จะได้เปิดนโยบายการอัดฉีดเม็ดเงิน 1 ล้านล้าน เข้าสู่ระบบ ขณะที่ทัพหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะมีกำหนดการไปอีกหลายพื้นที่

เมื่อถามว่าขณะนี้มีหลายพรรคการเมืองหาเสียงด้วยการชูเรื่องประชาธิปไตย นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ มีความชัดเจน ตนได้ประกาศไปแล้วว่า จุดยืนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเป็นทางรอดให้กับประเทศก็คือ ประเทศไทยหนีไม่พ้นที่จะต้องเดินหน้าการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และต้องไม่เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ เพราะหลายปีที่ผ่านมาประชาธิปไตยครึ่งใบ ต้องประสบแรงเสียดทาน ประสบปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด

“ทางเดียวที่จะต้องขับเคลื่อนประเทศด้วยประชาธิปไตยเต็มใบ ระบบรัฐสภา ไม่ใช่ระบบประธานาธิบดี และเท่านั้นยังไม่พอ จะต้องเป็น ประชาธิปไตยไม่โกงด้วย เพราะถ้าโกงเมื่อไหร่ เราก็สูญเสียประชาธิปไตยเมื่อนั้น จากหลายยุคที่เกิดการยึดอำนาจ รัฐประหาร ก็เพราะรัฐบาลก่อนหน้านั้นทุจริต คอร์รัปชัน ดังนั้นเราต้องนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นบทเรียน” นายจุรินทร์ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top