Friday, 19 April 2024
ครูแก้ว

รู้จัก ‘ครูแก้ว - ศุภชัย โพธิ์สุ’ นักการเมืองที่ประชาชน...พึ่งพาได้!!

หากนึกถึงนครพนม เชื่อว่าใครหลายคนคงนึกถึงพระธาตุพนม ที่ใครมาเยือนนครพนมแล้วต้องไปไหว้พระธาตุกันสักครั้งในชีวิต หรือแม้แต่นึกถึงประเพณีไหลเรือไฟ ประเพณีที่ชาวนครพนมภาคภูมิใจ ยึดถือกันมานานตั้งแต่โบราณ

แต่ถ้าถามคนนครพนมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะนึกถึงและให้ความสำคัญอย่างมาก คือ ‘ครูแก้ว’ ศุภชัย โพธิ์สุ

นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือ ‘ครูแก้ว ผู้นำนครพนม’ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย นักการเมืองผู้เป็นที่รักของคนในพื้นที่ และถือเป็นที่พึ่งของชาวนครพนมมาตลอดหลาย 10 ปี

และนี่คือเรื่องราวจากเด็กกำพร้า ลูกชาวนา สู่ชายคาเสนาบดีแห่งประเทศไทย ภายใต้บทบาทของการเป็น ส.ส. และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ไม่เคยคิดว่าตำแหน่งเหล่านี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ใช่ความภูมิใจส่วนบุคคล แต่เป็นของพี่น้องประชาชนชาวนครพนม ที่ตนอยากแบกรับหน้าที่ในการเป็นที่พึ่งแบบทุ่มสุดตัว 

Q: จังหวัดนครพนมเปลี่ยนไปแค่ไหน ในวันที่ ‘ครูแก้ว’ ก้าวเข้ามาเป็นผู้นำนครพนม?
ครูแก้ว: นครพนมในอดีต เป็นเมืองชายแดนเล็กๆ อยู่กันอย่างสงบ อยู่ไกลสุดเขตประเทศไทย ติดกับแขวงคำม่วน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไม่ค่อยอยู่ในความสนใจของผู้คนมากมายนัก จนกระทั่งผมได้เข้ามาเป็น ส.ส. แต่ต้องออกตัวก่อนว่า ไม่ได้หมายความถึงผลงานทั้งหมดมาจากผมคนเดียว แต่เป็นผลงานของเพื่อน ส.ส.นครพนมทั้งหมด ที่ช่วยกันผลักดันให้เกิดสะพานข้ามแม่น้ำโขง หรือ สะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 3 ที่ถือว่าเป็นสะพานสุดงดงาม มีพระธาตุประจำวันเกิด เกิดขึ้นเรียงรายอยู่ตามอำเภอต่างๆ ซึ่งเป็นพระธาตุบริวารขององค์พระธาตุพนม พร้อมทั้งมีพระธาตุประจำวันเกิดที่ใครมาก็เดินทางไปกราบไหว้สักการะบูชาตามวันเกิดของตนเอง นี่คือส่วนหนึ่ง 

นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเส้นทางปั่นจักรยานเลียบริมฝั่งโขงที่ยาว แล้วก็มีองค์พญาศรีสัตตนาคราชเกิดขึ้น มีพระหยกด้านหน้าวัดพระอินทร์แปลง แล้วก็มีส่วนประกอบใหม่ๆ ที่กลายเป็นแลนด์มาร์กเกิดขึ้นมากมาย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราเป็น ส.ส. พูดง่ายๆ ว่าผมเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเกือบ 4 ปี คนนครพนมสัมผัสได้ว่า จังหวัดนครพนมมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เรื่องถนนหนทาง เรื่องการพัฒนาอาชีพ เรื่องการพัฒนาระบบชลประทาน รวมถึงประโยชน์จากโครงการของภาครัฐที่ส่งตรงถึงพี่น้องประชาชนชาวนครพนม 

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นครพนมได้รับงบประมาณโดยเฉพาะจากกระทรวงคมนาคมลงไปพัฒนาหลายพันล้านบาท เกิดถนนสี่เลนจากอำเภอเมืองถึงอำเภอบ้านแพง ซึ่งปีหน้าก็เสร็จเรียบร้อย เกิดถนนสี่เลนจากบ้านท่าดอกแก้ว อำเภอท่าอุเทนไปจนถึงอำเภอสีม่วงครามบ้านเพ ซึ่งเริ่มต้นไปแล้วหนึ่งปีและปีหน้าคิดว่าจะเสร็จ เกิดโครงการถนนเชื่อมระหว่างบายพาสของจังหวัดนครพนม จากสนามบิน-เมืองนครพนม

อีกทั้งเดิมรถใหญ่ๆ ที่มาจากสกลนคร หรือมาจากต่างจังหวัด ที่จะไปข้ามสะพานข้ามแม่น้ำโขง เพื่อไปยังฝั่งประเทศลาว-ไปเวียดนาม-ไปจีนนั้น ปกติก็จะวิ่งเข้าเมือง แต่ตอนนี้กระทรวงคมนาคมอนุมัติงบประมาณให้กรมทางหลวงชนบท 1,600 ล้านบาท สร้างถนนสี่ช่องจราจรเชื่อมตั้งแต่เลยสนามบินนครพนมไปจนถึงหัวสะพานข้ามแม่น้ำโขง และอีกไม่นานนี้รถไฟรางคู่จากอำเภอบ้านไผ่ ผ่านมหาสารคาม, ร้อยเอ็ด, ยโสธร, มุกดาหารและตรงดิ่งมาที่หัวสะพานข้ามแม่น้ำโขงจังหวัดนครพนม งบประมาณ 6 กว่าล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างที่การรถไฟจ่ายค่าเวนคืนสองข้างทาง ส่วนผู้รับเหมาก็คงจะมีการวางศิลาฤกษ์เพื่อปักหมุดในการสร้างสถานีรถไฟ ที่จะเชื่อมจากอำเภอบ้านไผ่มาถึงจังหวัดนครพนมภายในปลายปีนี้อย่างแน่นอน

แต่นอกจากนั้นผมเองในฐานะที่เป็น ส.ส. ก็ไปร่วมมือกับทางท่านนายก อบจ.นครพนม ร่วมมือกับนายกเทศมนตรีเทศบาลนครพนม ซึ่งเราก็มีแผนที่จะสร้างร่วมกับกรมโยธาธิการ กำลังเร่งออกแบบและสร้างหอชมโขงให้กับจังหวัดนครพนม ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เพิ่มศักยภาพให้กับจังหวัดนครพนมอีกมากมาย ขณะเดียวกันก็ยังมีโครงการที่จะปรับปรุงบริเวณห้าแยกในเมืองนครพนมให้เป็นวงเวียนขนาดใหญ่ที่มีความสวยสดงดงามที่จะรองรับแขกต่างบ้านต่างเมืองมาเที่ยวชมจังหวัดนครพนมของเราอีกด้วย 

Q: ขอย้อนอดีต ‘ครูแก้ว’ เหตุผลใดที่ทำให้ก้าวเข้ามาอยู่บนเส้นทางการเมือง?
ครูแก้ว: ถ้าพูดถึงเหตุผลที่ต้องเดินเข้าสู่เส้นทางการเมือง ความจริงผมมีจิตวิญญาณของความเป็นนักสู้มาตั้งแต่เด็กฐานะครอบครัวเป็นคนยากจน เป็นเด็กกำพร้าลูกชาวนา แล้วก็ต่อสู้กับชีวิต ถูกดูถูกเหยียดหยาม เป็นสภาพที่ห่างไกลความเจริญมากๆ เป็นสิ่งที่กดดันเรา ส่วนหนึ่งทำให้เราต้องมาคิดว่า ทำไมตัวเราถึงยากลำบากขนาดนี้ พอมองออกมาข้างนอกเห็นคนที่เขารวย บางคนรวยล้นฟ้าแต่คนจนหาข้าวจะกรอกหม้อก็ไม่มี มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องแสวงหาคำตอบให้กับตัวเอง แล้วจะทำยังไงถึงจะช่วยเหลือแก้ปัญหา ทั้งเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาตัวเอง เริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาให้กับชุมชนสังคม ในหมู่บ้านตัวเองซึ่งเป็นบ้านนอก นี่คือจุดเริ่มต้นจุดแรก ที่มาก็คือว่าผมต้องการหาแนวทางช่องทางในการที่จะช่วยเหลือญาติพี่น้องของผมที่มีฐานะยากจน ที่มีความเดือดร้อน หาแนวทางช่วยเหลือชนบท ทำยังไงจะเจริญทัดเทียมใกล้เคียงกับเมือง นี่คือจุดเริ่มต้นของความคิดทางการเมือง 

จนในที่สุดมีการเลือกตั้งเมื่อปี 2540 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ท่านก็ยังมีบารมีในนครนครพนมอยู่ ท่านก็ให้คนมาติดต่อทาบทาม ท่านก็มองเห็นว่าถ้าเขตเล็ก อย่างไรก็สู้ครูแก้วไม่ได้ เพราะผมทำพื้นที่มายาวนาน ปี 2544 ผมก็ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ครั้งแรกในนามพรรคความหวังใหม่ รวมเวลาที่ผมรอคอยตั้งแต่ผมสมัคร ส.ส. ครั้งแรกปี 2535 ใช้เวลา 9 ปี ในการทำงานการเมืองจนกระทั่งประสบความสำเร็จได้เป็น ส.ส. 

เมื่อเป็น ส.ส. สมัยที่ 1 ปี 2544 เป็นสมัยที่ 2 แล้วก็เป็นสมัยที่ 3 พอเป็นสมัยที่ 3 ความหวังใหม่ยุบไปรวมกับพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นมาพรรคไทยรักไทยก็ถูกยุบมาตั้งเป็นพรรคพลังประชาชน ต่อมาสักระยะพรรคพลังประชาชนถูกยุบอีก กลุ่มท่านเนวินกับพวกผมที่เคยทำงานเคลื่อนไหวในพลังประชาชนด้วยกัน ทำงานกิจกรรมเสื้อแดงด้วยกัน เคลื่อนไหวทางการเมืองช่วยท่านทักษิณมาโดยตลอด ก็หารือกันว่าถ้าเรายังทำเสื้อแดงต่อมันก็คงจะสู้ไม่มีที่สิ้นสุด สู้ไม่มีวันจบสิ้น และสุดท้ายมันก็จะทำให้ประเทศชาติเรามีปัญหา ก็เลยตัดสินใจไม่ไปร่วมตั้งพรรคเพื่อไทยกับเพื่อน พวกผมก็ออกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย

Q: ทำไมถึงบอกว่าการตั้งพรรคภูมิใจไทย เริ่มจากความน้อยเนื้อต่ำใจ?
ครูแก้ว: ภาคอีสานเป็นภาคที่กว้างใหญ่ไพศาล จำนวน ส.ส. ก็เยอะนะครับ เมื่อก่อนร้อยยี่สิบกว่าคน ตอนนี้รู้สึกจะประมาณร้อยสามสิบกว่าคน หลังจากที่เราเพิ่ม ส.ส.เขตขึ้นมาจาก 350 เป็น 400 แต่ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งๆ ที่จำนวน ส.ส. มากกว่าเพื่อน แต่เราก็ไม่สามารถที่จะผลักดันให้คนอีสานขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้เลย อย่าว่าแต่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แม้แต่อยู่ในพรรคการเมืองบางพรรค ไม่ได้จะโจมตีกันนะครับ คือมี ส.ส.อีสานมากที่สุด แต่ว่าพอจะเอาตำแหน่งสำคัญๆ แม้แต่ในพรรค อย่าว่าแต่รัฐมนตรี พรรคนั้นได้ ส.ส. 126 คน ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย ซึ่งไม่สำคัญเลยแค่ 4 ตำแหน่ง แต่อีกพรรคนั้นได้ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เพียงคนเดียวกลับได้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการถึง 9 ตำแหน่ง นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเราน้อยเนื้อต่ำใจที่ตัดสินใจออกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้จากการไม่ให้เกียรติคนอีสาน แม้แต่ทุกวันนี้เพื่อนฝูงอยู่ในพรรคนั้นก็ยังคุยกับผมนะว่า ท่านควรจะเป็นหัวหน้าพรรคได้แล้วนะ แต่ถ้าเทียบกับคนที่เขาเอาขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค กับนักการเมืองของพรรคในภาคอีสาน มันต่างกันมาก แต่ว่าเจ้าของพรรคเขาไม่เอา ก็ไม่รู้เป็นยังไง ทั้งๆ ที่ ส.ส.อีสานเยอะ แล้วก็มีคนเก่งๆ เยอะแต่ก็เป็นได้แค่ประธานกรรมาธิการฯ จะเป็นรัฐมนตรีก็ไม่ได้ เป็นหัวหน้าพรรคก็ไม่ได้ อย่างมากก็เป็นรองหัวหน้าพรรค 

ฉะนั้น ถ้าคนอีสานเราคิดในเรื่องนี้กันหน่อย ให้พรรคการเมืองที่เป็นพรรคของคนอีสานจริงๆ ได้คะแนนได้เสียงมาเป็นกอบเป็นกำ หรือได้ ส.ส.เป็นคนอีสานจริงๆ ขึ้นมา ได้นายกรัฐมนตรีเป็นคนภาคอีสาน งบประมาณของประเทศก็จะลงไปดูแลพัฒนาภาคอีสานมาก เราไม่ต้องการมากกว่าภาคอื่นหรอก แต่เราต้องการตามสัดส่วนของจำนวนประชากร ตามสัดส่วนของพื้นที่ ไม่ใช่ว่าให้ภาคใต้ห้า ให้ภาคกลางก็ห้า ให้ภาคตะวันตกก็ห้า ให้ภาคเหนือก็ห้า ให้ภาคอีสานก็ห้า มันจะไปเทียบกันอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่ออีสานเป็นภาคที่กว้างใหญ่ไพศาล อีสานเป็นภาคที่มีจำนวนประชากรมากกว่าเพื่อน อีสานเป็นภาคที่มีความทุรกันดาร ความแห้งแล้ง ความเดือดร้อน ความยากลำบากมากกว่าเพื่อน การดูแลประเทศชาติ การบริหารมันต้องทุ่มเทลงมาใส่จุดที่มีปัญหา มันต้องเป็นอย่างนั้น

Q: ว่ากันว่าช่วงที่สอบตก ‘ครูแก้ว’ ก็ยังทำงานช่วยชาวบ้านต่อ ทำไปทำไม?
ครูแก้ว: ประชาชนมวลชนที่รักเราอยู่แล้วเขาไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจเขาก็ปฏิเสธเรา พอปฏิเสธเรามันก็ทำให้เราสอบตก ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง และการตัดสินใจออกมาจากเพื่อนที่ไปตั้งพรรคเพื่อไทย การที่เรามาตั้งภูมิใจไทยทำให้ประชาชนไม่เข้าใจก็สอบตกกันระนาว แต่ว่าผมใช้เวลาทั้งหมด 7 ปีในการทำกิจกรรมทุกอย่างทำหนักกว่าการเป็น ส.ส.อีก ตอนที่ผมแพ้พรรคเพื่อไทยในพื้นที่ ผมสอบตก ผมแพ้ด้วยคะแนน 12,000 คะแนน แต่ 7 ปีต่อมาผมลงแข่งกับเพื่อไทยคนเดิมอีก ผมชนะผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย 38,900 กว่าคะแนน คือชาวบ้านกลับมาเข้าใจ กลับมาเห็นใจเรา แล้วก็มาเลือกเรา ถึงแม้ตอนนั้นอาจจะไม่ค่อยชอบพรรคภูมิใจไทย แต่ว่าเขาก็ถือว่ามันจำเป็นต้องเลือกครูแก้วเพราะสงสารครูแก้ว แล้วครูแก้วก็สู้จริงทำจริงดูแลพี่น้องประชาชนจริง ดังนั้นจึงได้กลับมาเป็น ส.ส. อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้รับการเสนอจากพรรคร่วมรัฐบาลให้ลงสมัครแข่งเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ผมก็ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนในสภาให้ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สองตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ 

Q: คิดอย่างไรกับคำว่านักการเมืองน้ำดี?
ครูแก้ว: ถ้าพูดถึงนักการเมืองน้ำดี นิยามคำนี้ผมรู้สึกว่า ต้องเป็นนักการเมืองที่เอาใจใส่ในผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน คือต้องเป็นนักการเมืองที่เสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวมาทำงานเพื่อส่วนรวม มาทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก หมายว่าตลอดเวลาที่เป็นนักการเมืองอยู่ เขาจะต้องทุ่มเทดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะทั้งส่วนตัว ส่วนรวม ทั้งในภาพรวมอะไรต่างๆ การพัฒนาในพื้นที่ก็ตาม การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ หมายความว่าหายใจเข้าออกเป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องของประเทศชาติ ไม่เอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมคิดว่านักการเมืองน้ำดีมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ผมก็ไม่อยากจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักการเมืองน้ำดีนะครับ แต่ว่าพี่น้องประชาชนก็ให้ความไว้วางใจ 

พี่น้องนครพนม เงินซื้อไม่ได้ ต้องยอมรับว่าพี่น้องชนบทเขายังเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมอะไรก็ตามของชาวบ้านของชุมชนของสังคม เขาคิดอะไรไม่ออกก็ต้องคิดถึง ส.ส. ที่บ้านผม ถ้ามีโอกาสได้ไปดูจะเห็นว่าผมมีโต๊ะเป็นกลุ่มเป็นชุดเอาไว้ พี่น้องประชาชนมาก็จะนั่งรอคิวเหมือนกับคนมาคลินิกหาหมอ สัก 7.00-7.30 น. ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมกับทีมงานที่เป็นข้าราชการ เป็นอดีตข้าราชการที่เกษียณแล้ว ชุดทนายความ ชุด สจ. ชุดนายก อบต. ก็จะมารอรับแขกร่วมกับผม พี่น้องประชาชนมีปัญหาอะไร ผมก็รับรู้รับทราบเสร็จ เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับอะไร เกี่ยวข้องกับส่วนราชการซึ่งจะต้องประสานให้อำเภอประสานผู้กำกับประสานผู้ว่าฯ เราก็ให้ฝ่ายประสานของเราประสานไป หรือบางทีเราก็ประสานเอง แต่ถ้าพี่น้องมีปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย อย่างเช่น เรื่องโอนที่ดิน เรื่องถูกจับกุมคุมขัง เรื่องความเดือดร้อนต่างๆ เราก็ต้องมีทนายความคอยให้คำแนะนำอีกทีหนึ่งว่าควรจะทำยังไง ควรจะเดินไปยังไง 

ฉะนั้นแต่ละวันพี่น้องประชาชนจะมานั่งเรียงคิวเป็นกลุ่มไว้ บางวันมีถึงขนาดว่าสิบกว่ากลุ่มหรือยี่สิบกลุ่มก็ยังมี จาก 7.00 น. ถึง 9.00 น. ผมจะให้เวลากับพี่น้องที่มาร้องทุกข์มาปรึกษาหารือ หรือบางคนก็มาขอบคุณหลังจากที่เราช่วยเหลือประสบความสำเร็จแล้ว ก็เข้ามาหา เราก็ดูแลกัน ถ้ามาในเวลากินข้าว เรานั่งกินข้าวอยู่ เราก็เรียกมากินข้าวด้วยกันนั่งคุยกัน กว่าจะกินข้าวเสร็จเราก็จะได้แก้ปัญหาพี่น้อง 1-2 เรื่องแล้ว หรือพี่น้องไม่กินก็มานั่งดื่มน้ำมานั่งคุยกับเรา มันเกิดความเป็นกันเองสนิทสนม พี่น้องประชาชนก็จะมีความรู้สึกว่าครูแก้วพึ่งได้อาศัยได้จริงๆ ถ้าอะไรช่วยได้ช่วยทันที แก้ไขได้แก้ไขทันที ผมถือหลักอย่างนี้ ไม่ได้เก็บไว้ ไม่ได้บอกว่า เออเดี๋ยวจะดูให้ ไม่มีนะ ต้องบอกว่าทำทันทีเลย ซึ่งจะไม่ใช่ผมคนเดียว แต่เป็นทีมงานของเราทั้งกระบวนการ เราจะมีวิธีการทำงานแบบนี้กับพี่น้องประชาชน 

Q: ครูแก้วคาดหวังจำนวน ส.ส.ภูมิใจไทย ในนครพนมกับการเลือกตั้งหนหน้าแค่ไหน?
ครูแก้ว: ในการเลือกตั้งเที่ยวหน้านี้ก็หวังอย่างนั้นนะครับ คือพูดง่ายๆ ว่า วันนี้ ผมกับพี่น้องนครพนมเป็นหนี้พรรคภูมิใจไทยค่อนข้างมาก ที่บอกว่าเป็นหนี้ก็เพราะว่าคราวก่อนมี ส.ส.ภูมิใจไทยคนเดียวตอนที่แยกมาตั้งพรรคภูมิใจไทย นครพนมก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ไป คราวนี้เลือกตั้งนครพนมก็ได้ ส.ส.ภูมิใจไทยแค่คนเดียวคือผม ซึ่งผมก็ดูแลสกลนครด้วย มุกดาหารด้วย ทางพรรคก็ยังเมตตา ทั้งท่านหัวหน้า ท่านเลขา ผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคส่งเข้าไปแข่งขันเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร พอเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรในสภา พวกเขาคงเห็นบทบาทที่ผมทำงาน ฉะนั้นเมื่อมีสถานะตรงนี้ ทางท่านนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ รัฐมนตรีต่างๆ ท่านก็มีความเกรงอกเกรงใจกันอยู่พอสมควร ฉะนั้นเวลาเราเอาปัญหา เอาความเดือดร้อน เอาความทุกข์ยาก ความต้องการของพี่น้องนครพนมเสนอไปหาท่านต่างๆ เหล่านั้น ก็จะได้รับความเมตตาในการเอาใจใส่ อะไรที่ท่านผลักดันให้ได้ ท่านก็ผลักดันไป โดยเฉพาะรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย สามกระทรวงหลัก ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสุขโดยท่านหัวหน้าอนุทิน ชาญวีรกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการอยู่ กระทรวงคมนาคมโดยมีท่านเลขาธิการพรรคคือท่านศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการอยู่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นรัฐมนตรีว่าการอยู่ นอกจากนั้นเรายังมี มท.2 ช่วยมหาดไทย ช่วยศึกษา ช่วยเกษตร ช่วยคมนาคม หมายความว่าตำแหน่งรัฐมนตรี 7 คนของพรรค ก็ได้ดูแลและตอบสนองปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวจังหวัดนครพนมเป็นอย่างดี 

Q: มาที่ผลงาน ช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนงานด้านสาธารณสุขของนครพนมจะเป็นพระเอกพอสมควร?
ครูแก้ว: ผมสามารถช่วยดูแลพี่น้องนครพนมได้ในหลายๆ เรื่อง ฟอกไตฟรีทั่วประเทศก็เกิดมาจากแนวความคิดของผม เอาจากข้อมูลข้อเท็จจริงจากนครพนม ไปเรียนท่านหัวหน้าพรรคฯ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เอาไปประชุมกระทรวงสาธารณสุข แล้วจากนั้นก็มีมติออกมาว่าให้ฟอกไตฟรีทั่วทั้งประเทศ ใครก็ตามที่เป็นโรคไต จะฟอกด้วยประเภทไหน ด้วยวิธีไหนก็ตามก็ให้ฟอกฟรี ผมสงสารพี่น้องคนที่ป่วยเป็นโรคไต คนหนึ่งป่วยเป็นโรคไตต้องฟอกไต สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เฉพาะค่าฟอกไตที่จ่ายให้โรงพยาบาล ครั้งละ 1,500 บาท ถ้าสามครั้งเป็นเงิน 4,500 บาท ยังไม่รวมค่าเหมารถ ยังไม่รวมค่าญาติพี่น้องเข้าไปดูแลกัน อาหารการกิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมจิปาถะเดือนหนึ่งสรุปแล้วรวมแล้วก็เกือบ 20,000 ต่อเดือน

ลองคิดดูสิว่าพี่น้องคนยากคนจนส่วนใหญ่เขาจะอยู่ได้ยังไง คนป่วยโรคไตไม่ตายทันทีนะ การฟอกไตก็ยืดอายุไป สุดท้ายถ้าหมดเงินเมื่อไรไม่สามารถฟอกไตได้ก็จะเสียชีวิต พอคนหนึ่งเสียชีวิต คนที่เหลือก็เหมือนกับตายทั้งเป็นเพราะไม่เหลืออะไรแล้ว เพราะต้องขายสมบัติเพื่อไปดูแลกัน จะไปทิ้งกันเฉยๆ ก็ไม่ได้ เกิดมาร่วมกันแล้ว ผมเองสงสารมาก

เมื่อก่อนผมทำผ้าป่าได้เงิน 500,000 ร่วมกับโรงพยาบาล แล้วก็ขอเงินจากท่านหัวหน้าอนุทิน 500,000 ไปซื้อเครื่องฟอกไตให้กับโรงพยาบาลศรีสงครามเป็นครั้งแรก ต่อจากนั้นมาโรงพยาบาลก็ได้งบประมาณบ้าง หาเงินมาซื้อเพิ่มเติม แต่ตอนหลังมันก็ไม่เพียงพอ เพราะ 6 อำเภอโซนเหนือ มีศูนย์ฟอกไตอยู่ที่อำเภอศรีสงครามที่เดียว 

ผมเห็นในอินเทอร์เน็ตว่าทางคุณคีรี กาญจนพาสน์ เจ้าของ BTS ท่านเคยป่วยโรคไตและได้เปลี่ยนไตแล้ว ท่านรู้ว่าเป็นโรคไตมันทรมานขนาดไหน ท่านบริจาคเงินสร้างศูนย์ฟอกไตแล้วก็ให้คนได้ฟอกฟรีอยู่หลายศูนย์ ผมก็ไปหาท่านเลย ไปกราบขอความเมตตา ท่านก็เมตตาให้ลูกน้องลงไปดูแล้วอนุมัติเงินไปสร้าง ปรับปรุงอาคารเก่าให้เป็นศูนย์ฟอกไตของมูลนิธิฟ้าสั่งทั้งหมด 15 เครื่อง เพื่อการฟอกไต ซึ่งจะสามารถฟอกไตพี่น้องประชาชนได้เครื่องละประมาณ 3 คน มาวันนึงก็ประมาณสี่สิบกว่าคน แต่ถ้าหากว่าฟอกทั้งเดือนก็จะได้รวมกันประมาณร้อยกว่าคน ก็สามารถช่วยพี่น้องร้อยกว่าคนที่ยากจน คัดเอาที่ยากจนจริงๆ เดือดร้อนจริงๆ ไม่มีเงินจริงๆ ให้เขาได้ฟอกไตฟรี 

แต่ว่าฟอกไตฟรีได้แค่ปีเดียว มูลนิธิบอกว่าขาดสภาพคล่อง เกิดโควิดระบาดหนัก ก็มอบอุปกรณ์ทั้งหมดมูลค่า 25 ล้านบาทให้กับโรงพยาบาลศรีสงคราม แล้วโรงพยาบาลก็จำเป็นต้องเก็บเงินจากผู้ที่มาฟอกไต แต่ไม่ได้เก็บ 1,500 บาท เก็บแค่คนละ 1,000 บาท แต่คนละ 1,000 บาทก็เดือดร้อน โชคดีที่ท่านอนุทิน ชาญวีรกุลไปเยี่ยมเรื่องปลูกกัญชาทางการแพทย์ที่บ้านผม ผมก็เล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง ท่านก็งงนะว่ามันมีจริงหรือ เพราะท่านเข้าใจว่าฟอกไตฟรี เถียงกันอยู่กับผม ในที่สุดท่านก็โทรถามปลัดกระทรวง ทางปลัดกระทรวงบอกว่า ฟอกฟรีเฉพาะคนที่ฟอกทางหน้าท้อง ซึ่งก็ไม่มีใครฟอก เพราะทำได้ 1-2 ครั้งก็อักเสบแล้ว แต่ถ้าฟอกผ่านทางเส้นเลือด จ่าย 1,500 บาท ท่านอนุทินก็ว่า โห ตายแล้วแบบนี้ ท่านก็เอาเข้าที่ประชุมกระทรวงสาธารณสุขไม่ถึงเดือน กระทรวงสาธารณสุขก็ประกาศออกมาเลยว่า ต่อไปนี้ สปสช. จะรับเป็นเจ้าภาพในการจ่ายเงินแทนพี่น้องประชาชน จากวันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา ไม่ว่าฟอกไตด้วยวิธีไหน ก็ฟอกฟรีทั้งประเทศ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจากที่ผมพยายามต่อสู้ให้กับพี่น้องประชาชนมาตลอด 

'ครูแก้ว' ยัน!! 'โตโน่' ว่ายข้ามโขง ไม่ใช่แค่ได้เงินบริจาค แต่พาเศรษฐกิจนครพนมคึกคักตลอดหลายเดือน

(22 ต.ค.65) ช่วงเช้า ที่ลานพญาศรีสัตตนาคราชจังหวัดนครพนม ประชาชนและนักท่องเที่ยววิตกกังวล เพราะเกรงว่าจะมีฝนตก แต่ปรากฏว่าเมื่อพระสงฆ์เดินทางเข้ามาบริเวณดังกล่าวฟ้าเปิดฝนหยุด และทันทีที่ 'โตโน่' นายภาคิน คำวิลัยศักดิ์ เดินเข้ามาถึง ได้เรียกเสียงกรีดและหลายคนแสดงน้ำใจอวยพรให้ 'โตโน่' ประสบความสำเร็จในกิจกรรมครั้งนี้ นอกจากนี้มีรายงานว่า ผู้บริหารจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นักการเมืองท้องถิ่นและระดับประเทศ พ่อค้า ประชาชน ภาคเอกชนยังได้เข้ามาให้กำลังใจ และปรากฏว่ายอดนางรำในขณะนี้มีกว่า 300 คน

ด้าน นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือ 'ครูแก้ว' รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 'ผู้นำนครพนม' กล่าวว่า ในวันนี้ขอพูดในฐานะคนจังหวัดนครพนม ต้องขอชื่นชมเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนดี นั่นหมายถึง 'โตโน่' ดารานักแสดงชื่อดัง ที่มีความตั้งใจในการแสดงออกเป็นกุศล ต้องการใช้ความตั้งใจและความสามารถรณรงค์ช่วยเหลือโรงพยาบาลนครพนม รวมถึงโรงพยาบาลในประเทศลาว “เป็นการกระทำที่น่าชื่นชมยินดี ภาคภูมิใจ เพราะการทำของโตโน่นั่นคือการทำความดี เป็นการแสดงออกในรูปแบบสาธารณกุศล จึงเห็นประชาชนในจังหวัดได้ออกมายกย่องสรรเสริญด้วยความจริงใจและเต็มใจ”

ควันหลง!! ว่ายข้ามโขง 'งานบุญ - อีเวนต์ - เศรษฐกิจ' เติมสีสัน 'นครพนม' โรงแรมเต็ม ร้านอาหารคึกคัก

จบภารกิจไปด้วยดี สำหรับโครงการ One Man And The River หนึ่งคนว่าย หลายคนให้ เมื่อ 'โตโน่' ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ นักแสดงและนักร้องหนุ่มชื่อดังขวัญใจคนไทยทั้งประเทศว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงระยะทางไปกลับรวม 15 กิโลเมตร เพื่อระดมทุนไปช่วยเหลือ โรงพยาบาลนครพนม และ โรงพยาบาลแขวงคำม่วน ใน สปป.ลาว โดยยอดบริจาค ณ ปัจจุบันทะลุ 60 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเกินเป้าหมาย (17 ลบ.) อย่างไม่คาดคิดมาก่อน

อย่างไรก็ตาม อีกมุมที่ถูกพูดถึงนอกเหนือจากเรื่องของน้ำใจคนไทยที่ตอนนี้พี่น้องชาวลาวต่างรู้สึกซึ้งใจในการช่วยบริจาคเพื่อทำสิ่งดีๆ ให้แก่ประเทศของพวกเขานั้น ก็คือ ภาพเศรษฐกิจ 2 ฝั่งโขง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจังหวัดนครพนม ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่แห่กันมาเพราะโครงการว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงของ 'โตโน่' ในครั้งนี้

โดยผลลัพธ์จากการที่ 'โตโน่' อาสาว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขง จากบริเวณลานพญาศรีสัตตนาคราชในเขตเทศบาลเมืองนครพนม ข้ามไปขึ้นฝั่งที่บริเวณวัดพระธาตุศรีโคดตะบอง เมืองท่าแขกแขวงคำม่วน สปป.ลาว นั้น กระตุ้นให้เกิดบรรยากาศสุดคึกคักจากนักท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศที่เดินทางมาจับจองโรงแรมที่พัก เพื่อคอยเข้าร่วมกิจกรรมกับโตโน่ จนเต็มแทบทุกโรงแรม รวมถึงบรรดาร้านอาหารก็คึกคักไปด้วยลูกค้าต่างจังหวัด จนชาวนครพนมต่างปลาบเป็นปลื้มอย่างมาก

นางสาวนลินภัสร์ ทวยจันทร์ พนักงานโรงแรมแลนด์มาร์ค ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าลานพญาศรีสัตตนาคราช เปิดเผยว่า ห้องพักของโรงแรมที่มีกว่า 30 ห้องได้ถูกนักท่องเที่ยวจองเต็มก่อนวันงานติดต่อกันหลายวันแล้ว และห้องพักที่นี่ก็จะถูกจองเต็มไปจนถึงวันอาทิตย์ (25) เลยทีเดียว

ขณะที่พนักงานของโรงแรมบลู ที่โตโน่เข้าพักเปิดเผยว่า ห้องพักของโรงแรมได้ถูกนักท่องเที่ยวจองพักเต็มหมดทุกห้อง ซึ่งปกติช่วงนี้ก็จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากอยู่แล้ว แต่เมื่อมีกิจกรรมของโตโน่ ก็ทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีก

ด้าน นายสุเทพ อติวรรณกุล นายกสมาคมพ่อค้าจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า การที่โตโน่มาทำกิจกรรมในครั้งนี้ มีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดนครพนมเป็นอย่างมาก และต้องขอชื่นชมโตโน่ที่มีความคิดดี ทำในสิ่งที่ดี จึงสมควรให้การสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง โดยจะพบว่าห้องพักโรงแรมต่างๆ ในจังหวัดนครพนมมีการจองจนเต็มแทบทุกที่ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมครั้งนี้จะนำเงินที่ได้รับบริจาคมอบให้กับโรงพยาบาลถึงสองโรงพยาบาลทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาว ยิ่งทำให้กิจกรรมครั้งนี้มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่ ด้าน นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือ 'ครูแก้ว' รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 'ผู้นำนครพนม' กล่าวว่า สิ่งที่ได้นอกจากเงินบริจาคไปยังโรงพยาบาล ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับว่าในด้านเศรษฐกิจ 'โตโน่' ช่วยทำให้จังหวัดนครพนม เกิดกระแสการท่องเที่ยวที่คึกคักหลายคนมาติดตามคอยดูโตโน่ เฉพาะก่อนที่จะมีการว่ายน้ำเมื่อ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา ทราบว่าโรงแรมเต็มทุกที่ จึงขออวยพร ขอบารมีของพญาศรีสัตตนาคราชและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายปกป้อง 'โตโน่' ให้ประสบผลสำเร็จในชีวิตยิ่งๆ ขึ้นไป

"ในฐานะคนจังหวัดนครพนม ต้องขอชื่นชมเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนดี นั่นหมายถึง 'โตโน่' ดารานักแสดงชื่อดัง ที่มีความตั้งใจในการแสดงออกเป็นกุศล ต้องการใช้ความตั้งใจและความสามารถรณรงค์ช่วยเหลือโรงพยาบาลนครพนม รวมถึงโรงพยาบาลในประเทศลาว เป็นการกระทำที่น่าชื่นชมน่ายินดี และน่าภาคภูมิใจ เพราะการทำของโตโน่นั้นคือการทำความดี เป็นการแสดงออกในรูปแบบสาธารณกุศล จึงเห็นประชาชนในจังหวัดได้ออกมายกย่องสรรเสริญด้วยความจริงใจและเต็มใจ" ครูแก้ว กล่าว

'ครูแก้ว' โอด ปมผู้ว่าฯ นครพนมสั่งยึดที่ดินตน ยัน!! ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถูกบางสื่อบิดเบือน

‘ครูแก้ว ศุภชัย โพธิ์สุ’ รองประธานสภาผู้แทนราษฏร โต้สื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง ผู้ว่าฯ จำหน่ายที่ดินที่ผิดเงื่อนไขการครอบครอง ไม่ใช่สั่งยึดที่ดินของตน

ตามที่มีสื่อบางสื่อลงข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมสั่งยึดที่ดินที่ตนครอบครองอยู่นั้น มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงของสื่อบางสำนัก ที่ต้องการใช้ประเด็นดังกล่าวมาโจมตีตนทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงปรากฎชัดตามหนังสือของสำนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม 

'ครูแก้ว' จ่อฟ้อง 'ทนายตั้ม-ไฮโซสาว' หลังโยงปมลวงเงินช่วยเคลียร์คดี 25 ล้าน

วันที่ 4 ธ.ค. 65 เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ศูนย์ประสานงานพรรคภูมิใจไทย จ.นครพนม นายศุภชัย โพธิ์สุ  ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 แถลงชี้แจงกรณีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม กล่าวหาว่าอดีตผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.จังหวัดหนึ่ง และเป็นสามีไม่ได้จดทะเบียนสมรสของนายก อบจ.ดังกล่าว ได้ลวงเงินจำนวน 25 ล้านบาท จากนักธุรกิจสาวไฮโซ เพื่อหลอกช่วยเคลียร์คดี โดยยอมรับว่า เคยรู้จักกับผู้ช่วยฯ คนดังกล่าวจริง หลังจากได้เข้ามาขอช่วยงานในช่วงที่ตนได้รับตำแหน่งรองประธานสภาฯ 

ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่ามีโปรไฟล์ดี ตนจึงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรองประธานสภาฯ และได้มอบหมายให้มาช่วยงานลูกสาว หลังจากได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายก อบจ.นครพนม แต่หลังจากทำงานได้ 2-3 เดือน บุคคลดังกล่าวได้ลาออกไป โดยให้เหตุผลว่าไม่เหมาะสมกับงาน และไม่ได้ติดต่อหรือเกี่ยวข้องกันอีก  

‘ทนายตั้ม’ ท้า ‘ครูแก้ว’ ฟ้อง ปมโยงลวงเงิน 25 ล้านบาท ลั่น!! ไม่มีคำไหนหมิ่นฯ ไม่กลัว และไม่มีวันขอโทษ

(6 ธ.ค. 65) กรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พาลูกความผู้เสียหายเป็นสาวใหญ่นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของบริษัทรับซื้อผลิตน้ำยางพาราก่อสร้างถนน ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เกี่ยวกับปมถูกหลอกเรียกเงินจำนวน 25 ล้านบาท หลังถูกคณะกรรมการ พิจารณารับรองคุณภาพน้ำยางพาราไม่ได้มาตรฐาน จึงมีการร้องต่อศาลปกครอง ตั้งแต่ปี 2562 แต่มีขั้นตอนการดำเนินการนาน กระทั่งมีบุคคลที่อ้างว่าเป็นผู้ช่วยเลขานุการ รองประธานสภาผู้แทน รวมถึงมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายก อบจ. จังหวัดหนึ่ง และยังอ้างว่าสนิทกับผู้ใหญ่พรรคการเมืองชื่อดัง ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ แต่สุดท้ายไม่สามารถดำเนินการช่วยเหลือได้

ก่อนนี้ทางผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีกับทางกองปราบ แต่ไม่คืบหน้า ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมผ่าน ทนายตั้ม เพื่อเรียกร้องให้ทางหน่วยงานเกี่ยวข้อง ตรวจสอบ ดำเนินคดีเอาผิด กับบุคลคลที่แอบอ้างว่าสนิทกับนักการเมืองชื่อดัง จนกระทั่งกลายเป็นประเด็นร้อนหลังมีการนำเสนอผ่านสื่อต่าง ๆ ทำให้สังคมตั้งคำถาม อยากให้หน่วยงานเกี่ยวข้องมีการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง และให้บุคคลเกี่ยวข้องออกมาชี้แจง

ล่าสุด นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคภูมิใจไทย ออกมาเปิดเผยว่าหลังทราบข้อมูลผ่านสื่อ ตนได้มอบหมายให้ทีมงานฝ่ายกฎหมายตรวจสอบข้อมูลจากเทปการแถลงข่าวของทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด พบว่ามีข้อมูลที่อาจเข้าข่ายพาดพิงกล่าวหาตน ถึงแม้จะไม่ระบุชื่อชัดเจน แต่มีการบอกตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทน ที่มีอยู่ด้วยกัน 2 คน แต่คนที่มีลูกสาวเป็น นายก อบจ. คือตนคนเดียวเท่านั้น จึงเชื่อมั่นว่าเป็นการกล่าวหาทำให้ครอบครัวได้รับความเสื่อมเสีย รวมถึงมีการเอ่ยถึงพรรคภูมิใจไทยโยงไปถึงผู้ใหญ่ในพรรค ทำให้ทุกคนเกิดความเสียหาย ถือว่าไม่ถูกต้อง การกระทำแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง ได้ข้อมูลฝ่ายเดียว แล้วเอามาแถลง หากมีหลักฐานชัดเจน เกี่ยวข้องกับตน หรือบุคคลที่กล่าวอ้าง ควรที่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่ามากล่าวหาลอย ๆ

‘ครูแก้ว’ จวก ‘ส.ส.เพื่อไทย’ พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น ฉะ!! ไม่แสดงตนก็นั่งเฉยๆ - ไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น

(22 ก.พ. 66) ที่ประชุมสภาฯ เข้าสู่วาระพิจารณาร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. ... วาระสอง ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว โดยทันทีที่เข้าสู่วาระได้ลงมติมาตรา 15 กระทั่งเวลา 14.00 น. ช่วงเสียบบัตรแสดงตนเป็นองค์ประชุมก่อนลงมติในมาตรา 15/3 เกิดปัญหาเดิมๆ ขึ้นต้องรอถึงครึ่งชั่วโมงจึงมีสมาชิกแสดงตนครบเป็นองค์ประชุม โดยมีทั้งสิ้น 211 คน จากสมาชิกทั้งหมดที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ 416 คน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอสมาชิกแสดงตน นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ฝ่ายรัฐบาลรู้สึกจะบางตามาก จึงอยากให้ประธานสั่งการพรรคของท่านให้มาประชุมด่วน ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น กล่าวตอบว่า พรรคของตนประชุมเต็มอยู่แล้ว แต่นี่ทุกฝ่ายบางตา ขอให้นายอุบลศักดิ์เลิกเสียที พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น

จากนั้นนายอุบลศักดิ์ โต้ว่า นายศุภชัยไม่ควรจะทำหน้าที่ประธาน เพราะประธานต้องพูดด้วยเหตุด้วยผล ซึ่งนายศุภชัย ตอบกลับว่า ทุกฝ่ายมีสภาพบางตาหมด จะให้ไล่เรียงรายชื่อพรรคหรือไม่ นายอุบลศักดิ์พูดหลายครั้งจึงต้องเตือน ไม่ควรใส่ร้ายป้ายสีใคร นับจากนี้ส.ส.มีเวลาวันครึ่ง ถึงอย่างไรร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่จบอยู่ดี แต่ส.ส.ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด จนถึงวาระสุดท้ายของสภาชุดนี้

นายอุบลศักดิ์ ประท้วงว่า ประธานต้องควบคุมการประชุม ไม่เสียดสีใส่ร้ายคนอื่น ความจริงตนไม่ได้ใส่ร้ายใครเลย เพียงเรียกร้องให้นายศุภชัยช่วยตามเพื่อนในพรรคของท่านมาเท่านั้น

‘ครูแก้ว’ กล่าวอำลาตำแหน่งรองประธานสภาฯ เผยยึดหลัก ‘ยุติธรรม-เป็นกลาง’ ทำหน้าที่เสมอมา

(23 ก.พ. 66) นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 30 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) กล่าวแสดงความรู้สึกในการปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง เป็นครั้งสุดท้าย

นายศุภชัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงยิ่งที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง และขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่ให้ความไว้วางใจเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ประธานในที่ประชุมนั้น เจตนารมณ์ในการทำหน้าที่ของผมคือความยุติธรรมและเป็นกลาง ทั้งมุ่งหมายขับเคลื่อนงานด้านนิติบัญญัติ เพื่อให้การประชุมประสบความสำเร็จ เนื่องจากพวกเราทุกคนมีเวลาจำกัด จึงจำเป็นต้องการใช้โอกาสทุกเวลาทุกวินาที ให้เกิดคุณค่าต่อประชาชนให้มากที่สุด และเต็มความสามารถของพวกเรา ซึ่งเห็นว่าเพื่อนสมาชิกสามารถทำหน้าที่ได้เต็มกำลังความสามารถ และบรรลุเป้าหมายตามภารกิจของสภาผู้แทนราษฎร ในการแก้ไขปัญหาเยียวยาประชาชนได้เป็นอย่างดี

"การปฏิบัติหน้าที่ของผมที่ผ่านมา ในบางครั้งอาจเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่ถูกใจสมาชิกบางท่าน กระผมต้องขออภัยในการทำหน้าที่ของผม และผมหวังว่าสมาชิกจะเข้าใจและให้อภัย และขอให้เรายังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน เพราะเราทุกคนต่างทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด" นายศุภชัยกล่าว

'ครูแก้ว' ส่งภรรยาชิงเขต 1 จ.นครพนม ท้าชน 'ภูมิพัฒน์' ปักธงชัยพื้นที่เสื้อแดง

(24 ก.พ. 66) ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของจังหวัดนครพนม มีดีกรีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นแทบทุกวัน หลังมีการวางปฏิทินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่จะครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 23 มีนาคม 2566 บวกกับมีกระแส พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาจจะยุบสภาราวกลางเดือนมีนาคม ทำให้พรรคการเมืองใหญ่ต่างเอียงหูฟังเกี่ยวกับข่าวลือดังกล่าว พร้อมเร่งวางตัวผู้สมัคร และสร้างฐานการเมือง เพี่อสู้ศึกเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้

สำหรับเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดนครพนม ประกอบด้วย อ.ศรีสงคราม, อ.บ้านแพง, อ.นาทม และ อ.นาหว้า ถือเป็นฐานที่มั่นของ 'สหายแสง' นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือ 'ครูแก้ว' พรรคภูมิใจไทย ที่สอดแทรกชนะการเลือกตั้งผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา โดยก่อนนี้ครูแก้วเคยพ่ายแพ้ให้กับนายยุทธจักร เรืองวรบูรณ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย หลังจากยุบพรรคพลังประชาชน นายศุภชัย โพธิ์สุ ทนแรงจีบของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยไม่ไหว จึงย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย โดยมีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นของขวัญ หลังหมดวาระเมื่อปี 2554 จึงถูกประชาชนพิพากษาด้วยการเข้าคูหากาพรรคเพื่อไทย ครูแก้วหรือสหายแสงจึงกลายเป็นผู้แทนสอบตกพักงานยาวกว่า 7 ปี ภายหลังกลับมาชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2562

ส่วนการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 2566 ที่จะมาถึงนี้ ต้องยอมรับว่า 'สหายแสง' นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือ ครูแก้ว ส.ส.เขต 1 จ.นครพนม พรรคภูมิใจไทย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง พกความเชื่อมั่นในศักยภาพของตน หวังล้มช้างอย่างพรรคเพื่อไทย เพื่อดับฝันแลนด์สไลด์ โดยประกาศตัวข้ามจากเขต 1 นครพนมอันเป็นฐานที่มั่นเดิม ย้ายไปลงสมัคร ส.ส. เขต 2 นครพนม ชิงตั๋วเข้าสภากับ ดร.มนพร เจริญศรี หรือ 'เดือน' แชมป์เก่าจากพรรคเพื่อไทย โดยมีพื้นที่ อ.ท่าอุเทน, อ.โพนสวรรค์ และอำเภอเมืองนครพนม (เฉพาะตำบลในเมือง ต.หนองแสง, ต.อาจสามารถ, ต.นาราชควาย, ต.หนองญาติ และตำบลท่าค้อ) โดยปูฐานทางการเมืองกับกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และ อสม. รวมถึงพ่อค้า นักธุรกิจภาคเอกชน

ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 1 ครูแก้วส่งภรรยาคู่ชีวิต คือ นางพูนสุข โพธิ์สุ หรือ 'ครูตุ่น' อดีตข้าราชการครู อดีตรองนายก อบจ.นครพนม ลงสมัครแทน โดยชิงชัยกับ ดร.ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ อดีต ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคภูมิใจไทย และในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เคยเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ภายหลังหันมาสังกัดพรรคเพื่อไทย ลงสมัครชิง ส.ส.เขต 1 นครพนม แทนนายยุทธจักร เรืองวรบูรณ์ ที่ยอมถอยจากการถูกชกใต้เข็มขัดเมื่อครั้งที่ผ่านมา

ดังนั้น ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ถือเป็นการวัดบารมีครั้งสำคัญ ว่า พรรคภูมิใจไทยจะปักธงชัยล้มแลนด์สไลด์พรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ หากไม่สามารถฝ่าด่านความรักความผูกพันของประชาชน งานนี้ปัญหาต้องตกมาที่พรรคภูมิใจไทยในพื้นที่ จ.นครพนม อย่างแน่นอน อีกทั้ง ครูแก้วจะต้องฝ่ากระแสดรามา เพราะภาษาพาไปในการปราศรัยกล่าวหา ส.ส.พื้นที่จังหวัดใกล้เคียงที่ไม่เลือกภูมิใจไทย ว่า 'ไอ้โง่' เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565

รวมถึงประเด็นการตรวจสอบ เรื่องการครอบครองป่าดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ที่ถูกตรวจสอบเรื่องจริยธรรม ถึงแม้เจ้าตัวยืนยันในการครอบครองชอบด้วยกฎหมาย แต่จะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ถึงที่สุด เพราะยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงของหน่วยงานเกี่ยวข้อง ที่อาจจะกระทบต่อความเชื่อถือของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ ตัวชี้วัดสำคัญในทิศทางความได้เปรียบเสียเปรียบ เชิงการเมือง ต้องยอมรับว่า พรรคภูมิใจไทยมีความเสี่ยงสูง ที่จะถูกกระแสต้าน ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ที่เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเคยประกาศจะไม่ร่วมกับฝ่ายเผด็จการ สุดท้ายต้องมาร่วมจับมือกับพลังประชารัฐ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยต้องทำความเข้าใจกับประชาชน ให้เข้าใจถึงอุดมการณ์การเมือง แต่ที่แน่ ๆ พรรคภูมิใจไทยใช้มุกเก่าไม่ได้อีกแล้ว

นอกจากนี้ สหายแสง นายศุภชัย โพธิ์สุ หรือ ครูแก้ว ต้องยอมทิ้งฐานคะแนนถิ่นเก่า มาสร้างฐานคะแนนใหม่ในเขตเลือกตั้งที่ 2 ชนกับแชมป์เก่า คือ ดร.มนพร เจริญศรี หรือเดือน พรรคเพื่อไทย ที่ครูแก้วจะต้องมีทั้งคะแนนนิยม ทั้งส่วนบุคคลและทั้งพรรค เนื่องจากเป็นฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทยมาตลอด ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 3 นครพนม อ.เมืองนครพนมบางส่วน อ.ธาตุพนม และ อ.เรณูนคร พรรคภูมิใจไทยส่ง นายแพทย์ อลงกต มณีกาศ ชนกับ ดร.ไพจิต ศรีวรขาน แชมป์ 12 สมัย พรรคเพื่อไทย ที่มีทั้งคะแนนนิยมพรรค และคะแนนนิยมส่วนบุคคล โอกาสที่พรรคภูมิใจไทย จะชิงความได้เปรียบคงมีโอกาสน้อย

นครพนมเดือด!! 'ครูแก้ว' ประกาศล้มแลนด์สไลด์ มั่นใจ!! พา 'ภูมิใจไทย' ชนะยกจังหวัดทั้ง 4 เขต

(3 เม.ย.66) วันแรกในการเปิดรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตทั่วประเทศ โดยตั้งแต่เช้าที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนคพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก มีบรรดาผู้สมัคร ส.ส. พรรคการเมืองต่างๆ เดินทางมารอคิวอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งมีกองเชียร์ของแต่ละพรรคแห่มาให้กำลังใจอย่างคับคั่ง แต่เข้มงวดตามระเบียบกฎหมายเลือกตั้ง ห้ามจัดการรื่นเริงทั้งแตรวงหรือกลองยาว ต่างจากการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา คงมีเพียงการเดินทางมาให้กำลังใจ คล้องมาลัยและมัดผ้าขาวม้าแบบที่เคยปฏิบัติมา เพื่อเป็นสิริมงคลตามวัฒนธรรมทางการเมือง

โดยการเปิดรับสมัคร ส.ส.นครพนมทั้ง 4 เขตเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองใหญ่ที่สำคัญน่าจับตามอง เพียงแค่ไม่กี่พรรค ที่มีฐานคะแนนนิยม รวมถึงตัวผู้สมัครคนสำคัญ อาทิ เจ้าถิ่นที่ผูกขาดเก้าอี้ ส.ส.มาตั้งแต่สมัยเป็นพรรคความหวังใหม่ ถึงพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ตามด้วยพรรคภูมิใจไทย พรรคนี้ถือเป็นผู้ท้าชิงที่น่ากลัวมาก และพรรคพลังประชารัฐ พรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคเสรีรวมไทย เป็นต้น

ส่วนพรรคการเมืองที่น่าจับตามอง และเชื่อว่าจะต้องมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น คือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย โดยในวันนี้ ทางพรรคเพื่อไทย มีแม่ทัพคนสำคัญ คือ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต ผวจ.นครพนม คนที่ 29 (2537-2540) อดีตเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร และ รมช.ศึกษาธิการ ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นำทีมผู้สมัครพรรคเพื่อไทยทั้ง 4 เขตเดินทางมาสมัคร นอกจากนี้ ยังมีนายสมนาม เหล่าเกียรติ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และ นายแพทย์ ประสงค์ บูรณ์พงศ์ รวมถึงมีแกนนำครอบครัวเพื่อไทยทั้ง 4 เขตเลือกตั้ง มาร่วมให้กำลังใจด้วย

ในเบื้องต้นก่อนจะมีการจับสลากเลือกลำดับว่า ใครจะเป็นผู้หยิบเบอร์ประจำตัวในการหาเสียงครั้งนี้นั้น นายศุภชัย โพธิ์สุ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้ขอหารือร่วมกับ ดร.มนพร เจริญศรี แกนนำพรรคเพื่อไทย และ ดร.สมชอบ นิติพจน์ แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อทำข้อตกลงกันว่า ให้มีการจับเลือกเบอร์เพียงพรรคละคน สมมติแกนนำพรรคคนใดคนหนึ่งล้วงได้เบอร์ 1 ส่วนที่เหลืออีก 3 เขต ก็ได้เบอร์ 1 เหมือนกันหมด หลังตกลงเป็นที่เข้าใจแล้ว ก็ไปสอบถามนายสมพล พงษ์พิพัฒน์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครพนม ซึ่งได้รับคำตอบว่าทาง กกต.ไม่มีกฎหมายรองรับ จึงต้องกลับมาจับสลากเลือกเบอร์ของตัวเองในแต่ละเขตตามเดิม

ผลการจับสลากเลือกเบอร์ประจำตัวผู้สมัคร เฉพาะ 2 พรรคการเมืองใหญ่ เริ่มจากพรรคเพื่อไทยเขตเลือกตั้งที่ 1 ดร.ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ ได้เบอร์ 6 เขตเลือกตั้งที่ 2 ดร.มนพร เจริญศรี เบอร์ 2 เขตเลือกตั้งที่ 3 ดร.ไพจิต ศรีวรขาน เบอร์ 2 และเขตเลือกตั้งที่ 4 นายณพจน์ศกร ทรัพยสิทธิ์ ได้เบอร์ 1 ภายหลังการสมัครทางทีมงานพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางไปสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นสิริมงคลทั้งศาลหลักเมืองนครพนม องค์พญาศรีสัตตนาคราช และ องค์พระธาตุพนม พร้อมพบปะปราศรัยกับประชาชน แกนนำครอบครัวเพื่อไทย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top