Wednesday, 15 January 2025
TECHNOLOGY

จีนโชว์ J-35A เครื่องบิน stealth หวังสู้เทคโนโลยี F-35 ของสหรัฐฯ

(8 พ.ย.67) เครื่องบินขับไล่สเตลท์รุ่น J-35A ของจีน ซึ่งมีคุณสมบัติล่องหนและสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจากเรดาร์ของศัตรูได้ ถูกเปิดตัวครั้งแรกต่อสาธารณชนในงานนิทรรศการการบินและอวกาศนานาชาติจีน ครั้งที่ 15 หรือ China International Aviation & Aerospace Exhibition ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ระหว่างวันที่ 12-17 พฤศจิกายน 2567

เจ้าหน้าที่จากหน่วยอุปกรณ์ของกองทัพอากาศจีนเผยว่า เครื่องบิน J-35A ไม่เพียงแต่มีเทคโนโลยีการอำพรางตัว แต่ยังสามารถบรรทุกขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศรุ่น HQ-19 และจะมีการเปิดตัวอากาศยานไร้คนขับใหม่ที่ใช้สำหรับภารกิจลาดตระเวนและโจมตีในงานนี้ด้วย

นิทรรศการการบินและอวกาศครั้งนี้ถือเป็นงานแสดงอากาศยานของพลเรือนและทหารที่ใหญ่ที่สุดในจีน ซึ่งจะมีการจัดแสดงเครื่องบินหลายรุ่น รวมถึง J-20, J-16 และเครื่องบินเติมน้ำมัน YY-20A ขณะเดียวกันก็จะมีการเปิดให้เข้าชมห้องบรรทุกของเครื่องบินขนส่งหนัก Y-20 อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการแสดงบินผาดโผนที่ดึงดูดความสนใจจากผู้ชมจำนวนมาก

เผยอีก 3 ปีไม่ต้องพึ่งมนุษย์ AI แปลได้หมดทุกภาษา

(14 พ.ย. 67) Unbabel เปิดตัวบริการแปลภาษาใหม่ Widn.AI ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดแปลภาษาที่มีการแข่งขันสูง โดยซีอีโอของบริษัทเตือนว่าอีกเพียง 3 ปีข้างหน้า AI อาจพัฒนาได้ถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการแปลโดยมนุษย์อีกต่อไป

Widn.AI สร้างขึ้นจากโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองในชื่อ Tower ซึ่งเป็นระบบ AI ที่คล้ายกับโมเดลเบื้องหลัง ChatGPT ของ OpenAI

วาสโก เปโดร ซีอีโอของ Unbabel ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า LLM ของบริษัททำให้ AI สามารถแปลได้ถึง 32 ภาษา แต่จากการตรวจสอบบนเว็บไซต์ของบริษัท บริการนี้ยังไม่รองรับภาษาไทย

เปโดรกล่าวว่า “เมื่อเราเริ่มก่อตั้ง Unbabel เมื่อ 10 ปีก่อน AI ยังไม่สามารถทำงานได้ถึงระดับนี้ เราจึงพัฒนาโซลูชันที่ผสานมนุษย์กับ AI … แต่ตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เราเชื่อว่าการแปลภาษาอยู่ในขอบเขตที่ AI สามารถทำได้เต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์”

ผลิตภัณฑ์เดิมของ Unbabel เคยใช้ระบบ Machine Learning ร่วมกับการตรวจสอบโดยมนุษย์เป็นขั้นตอนสุดท้าย อย่างไรก็ตาม เปโดรชี้ว่า Widn.AI นั้นไม่จำเป็นต้องใช้มนุษย์เข้ามาช่วยอีกต่อไป

“ผมคิดว่ามนุษย์ยังมีข้อได้เปรียบเล็กน้อยในกรณีการใช้งานที่ซับซ้อนมาก แต่นั่นเป็นข้อได้เปรียบที่เล็กน้อยจริง ๆ ยกเว้นในงานที่ยากและท้าทายอย่างมาก เราเชื่อว่า AI กำลังจะถึงจุดที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ และในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมมองไม่เห็นว่าเราจะยังจำเป็นต้องใช้มนุษย์ในการแปลอีกต่อไป”

สื่อตะวันตกยอมรับ อเมริกาตามหลัง ผู้นำตัวจริงในสงครามเทคโนโลยี

(18 พ.ย. 67) สถาบันวิจัยระดับโลกอย่าง Australian Politics Policy Institute และสื่อตะวันตกหลายแห่ง เช่น Bloomberg, The Economist และ Voice of America ได้ออกมายอมรับว่า จีนได้ชัยชนะในสงครามเทคโนโลยีและกลายเป็นผู้นำในด้านนี้ไปแล้ว ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสำคัญในระเบียบโลกที่กำลังเกิดขึ้น

สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ถือเป็นชัยชนะของจีนมาแล้วนาน โดยสหรัฐฯ ยังประสบปัญหาการขาดดุลการค้า ขณะที่จีนยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้สหรัฐฯ จะพยายามใช้มาตรการปิดกั้น เช่น การเพิ่มภาษีสูงๆ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจภายใน แต่สิ่งที่จีนทำสำเร็จคือการคว้าผู้นำในด้านเทคโนโลยีที่สำคัญ

รายงานจาก Australian Politics Policy Institute เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ระบุว่า จีนเป็นผู้นำในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในสาขาที่สำคัญอย่างการป้องกันประเทศ, อวกาศ, พลังงาน, เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีใหม่ๆ มากถึง 57 หมวดหมู่จากทั้งหมด 64 หมวดหมู่ เทียบกับสหรัฐฯ ที่ยังคงนำอยู่ใน 7 สาขา เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติและควอนตัมคอมพิวติ้ง

The Economist และ Voice of America รายงานว่า จีนตอนนี้ได้แซงสหรัฐฯ ไปแล้วในด้านการวิจัยเทคโนโลยีชี้ขาด ที่สำคัญคืออำนาจในการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่ออนาคตของโลก โดยจีนได้กลายเป็นศูนย์กลางในการกำหนดทิศทางของศตวรรษที่ 21

ในด้านเศรษฐกิจ ขณะนี้จีนใกล้จะแซงสหรัฐฯ ในเรื่องของอำนาจการซื้อ (Purchasing Power Parity) แม้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะยังคงมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่การเติบโตทางเทคโนโลยีและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีนทำให้จีนมีศักยภาพในการนำพาโลกเข้าสู่ยุคใหม่

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางเศรษฐกิจหรือการค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการท้าทายระเบียบโลกเก่าที่ถูกนำโดยสหรัฐฯ โดยจีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สำคัญ

อนาคตของเศรษฐกิจโลกจะถูกกำหนดโดยความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกันหรือการแข่งขันอย่างดุเดือด แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในสงครามเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21

บริษัทจีนสร้างเคเบิลใต้น้ำลึกทุบสถิติ ทนสภาวะความลึกถึงร่องมาเรียน่า

(29 พ.ย. 67) สื่อจีนรายงานว่า ทีมวิศวกรจากมหาวิทยาลัยการเดินเรือต้าเหลียน ร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์หลายแห่งของจีน ได้ทำการทดลองวางสายเคเบิลที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ให้สามารถทนต่อแรงดันใต้น้ำและการกัดกร่อนได้สมุทรได้ยิ่งขึ้น ระบบใหม่นี้มีชื่อว่า Haiwei GD11000

หลี่ เหวินฮวา หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ของโครงการ Haiwei GD11000 เปิดเผยว่า จากการทดลองสายเคเบิลชนิดใหม่นี้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากกว่า 15 ตัน มีอัตราความเร็วในการวางระบบใต้ทะเลที่  393.7 ฟุตต่อนาที อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการทดสอบความลึกที่มากกว่า 4 กิโลเมตร จากการทดสอบในทะเลจีนใต้ โดยเหวินฮวา ยืนยันว่า จากการทดสอบในหลายสภาวะใต้สมุทร Haiwei GD11000 เป็นเคเบิลที่สามารถทนความลึกได้ถึงระดับ 11,000 เมตร (36,089 ฟุต) ซึ่งเทียบเท่ากับความลึกของ Challenger Deep ของร่องลึกมาเรียน่า

เหวินฮวา กล่าวว่า จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ Haiwei GD11000 สามารถเป็นเคเบิลใต้น้ำที่วางระบบในมหาสมุทรทั่วโลกได้ในทุกความลึกและทุกสภาวะของพื้นใต้สมุทร สำหรับระบบเคเบิ้ลใต้น้ำลึก สถิติก่อนหน้านี้เป็นของบริษัท Prysmian ผู้ผลิตสายเคเบิลและผู้ให้บริการติดตั้งสายเคเบิลของอิตาลีที่เคยทำไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมโดยบริษัทได้วางสายเคเบิลที่ความลึก 2,150 เมตร (7,053 ฟุต)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top