Thursday, 24 April 2025
JoeBiden

ลูกชาย ‘โจ ไบเดน’ โดนข้อหาเพียบ ‘เลี่ยงภาษี-พัวพันยาเสพติด’ เสี่ยงโทษหนักจำคุก 17 ปี ทำตำแหน่งประธานาธิบดีพ่อสั่นคลอน

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 66 ‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ แห่งสหรัฐฯ ถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แจ้งข้อหาหลบเลี่ยงไม่จ่ายภาษีเป็นเงิน 1.4 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางวีรกรรมอื้อฉาวมากมายของเจ้าตัว ทั้งการใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ มั่วโสเภณี ซื้อปืนผิดกฎหมาย และพัวพันยาเสพติด

‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ วัย 53 ปี ถูกแจ้งความผิดอาญาร้ายแรง 3 กระทง และความผิดลหุโทษอีก 6 กระทงที่เกี่ยวข้องกับการเลี่ยงภาษี ตามข้อมูลจากเอกสารคำฟ้องที่ยื่นต่อศาลแขวงกลาง รัฐแคลิฟอร์เนีย

ฮันเตอร์ อาจต้องโทษจำคุกถึง 17 ปี หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริง ขณะที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า กระบวนการสอบสวนความผิดของเขายังคงดำเนินอยู่

“จำเลยไม่ได้จ่ายภาษีเป็นเงินอย่างน้อย 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการประเมินภาษีด้วยตนเอง (self-assessed federal taxes) ตลอดระยะเวลา 4 ปี ในช่วงระหว่างปี 2016-2019” เอกสารคำฟ้องระบุ

ในทางกลับกัน ฮันเตอร์ ไบเดน ได้ใช้จ่ายเงินมหาศาลไปกับ ‘ยาเสพติด หน่วยอารักขา และเพื่อนหญิงมากหน้าหลายตา โรงแรมหรูและที่พักสำหรับเช่า รถยนต์ราคาแพง เสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอื่นๆ’ รวมถึงจ่ายเงินค่าบำบัดยาเสพติดอีกกว่า 70,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อมูลในเอกสารคำฟ้อง

ทนายความของ ฮันเตอร์ ไบเดน ยังไม่ให้ได้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้ ขณะที่ทำเนียบขาวก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆ เช่นกัน

เอกสารคำฟ้องยังเผยด้วยว่า “ฮันเตอร์ ไบเดน ‘มีรายได้มหาศาล’ ระหว่างเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ ‘Burisma’ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมในยูเครน รวมถึงกองทุนรวมตราสารทุนของเอกชนจีนอีกแห่งหนึ่ง”

อัยการสหรัฐฯ เผยว่า ระหว่างปี 2016-2020 ฮันเตอร์ ไบเดน มีรายได้เบื้องต้นก่อนหักภาษีมากกว่า 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจำนวนนี้รวมถึงเงินเกือบ 2.3 ล้านดอลลาร์ ที่ได้จากการเป็นบอร์ดบริหารของ Burisma ในช่วงปี 2016-2019

ความเชื่อมโยงระหว่าง ‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ กับ ‘Burisma’ กลายเป็นจุดอ่อนที่พรรครีพับลิกันเอามาใช้โจมตี ว่าเขาใช้อำนาจบารมีของ ‘ครอบครัวไบเดน’ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในต่างแดน

“จำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องจ่ายภาษีรายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการดำรงตำแหน่งในบอร์ดบริหาร Burisma ค่าธรรมเนียมจากการทำข้อตกลงกับกองทุนรวมตราสารทุนของจีน รวมถึงรายได้จากการเป็นทนาย และแหล่งอื่นๆ” เอกสารคำฟ้องระบุ

บุตรชายผู้นำสหรัฐฯ ยังมีรายได้จากการทำงานให้กับบริษัท ‘CEFC Energy Co Ltd.’ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทด้านพลังงานของจีนอีกด้วย

ในขณะที่รายได้ของเขาเพิ่มขึ้น รายจ่ายของ ฮันเตอร์ ไบเดน ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเอกสารคำฟ้องระบุว่า “เฉพาะในปี 2018 ฮันเตอร์ ใช้จ่ายเงินไปกว่า 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการถอนเงินสดเกือบ 772,000 ดอลลาร์, จ่ายเงินเพื่อปรนเปรอผู้หญิง 383,000 ดอลลาร์ และค่าเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ อีกประมาณ 151,000 ดอลลาร์”

“จำเลยไม่ได้นำเงินทุนเหล่านี้มาจ่ายภาษีเลยในปี 2018”

เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ฮันเตอร์ ไบเดน รับสารภาพต่อศาลรัฐเดลาแวร์ในข้อหาให้การเท็จ เกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดขณะที่ซื้อปืนผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บุตรของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตำแหน่งถูกดำเนินคดีอาญา

สีจิ้นผิง จะพบ ไบเดน เจอกันครั้งสุดท้าย นอกรอบประชุมเอเปค

(15 พ.ย. 67)ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะถือเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก่อนที่ไบเดนจะลงจากตำแหน่ง

เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ผู้นำทั้งสองจะหารือประเด็นสำคัญระดับโลกหลายเรื่อง รวมถึงความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน โดยการพบปะจะจัดนอกรอบการประชุมเอเปค (APEC) ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู แม้ว่าจะยังไม่ได้ระบุเวลาที่ชัดเจน

รอยเตอร์รายงานว่านี่จะเป็นการพบกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกของไบเดนและสี นับตั้งแต่การสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ประเด็นสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายพยายามควบคุมคือความตึงเครียดเรื่องไต้หวัน, ทะเลจีนใต้, และความสัมพันธ์กับรัสเซีย นอกจากนี้ ไบเดนยังคาดว่าจะขอความร่วมมือจากจีนในการปราบปรามการผลิตเฟนทานิล ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการใช้ยาเกินขนาดในสหรัฐฯ เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตส่วนผสมหลักในการผลิตยานี้

ซัลลิแวนเผยว่า ไบเดนจะหยิบยกประเด็นการแฮ็กข้อมูลส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับจีน

นอกจากนี้ ไบเดนจะหารือถึงการสนับสนุนของจีนต่อรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน รวมถึงการที่เกาหลีเหนือส่งทหารกว่า 10,000 นายไปช่วยรัสเซีย

สีจิ้นผิงถึงเปรู เปิดฉากประชุมเอเปค จับตาหารือครั้งสุดท้ายกับไบเดน

(15 พ.ย. 67) 'สีจิ้นผิง' ประธานาธิบดีจีน ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากกัสตาโว เอเดรียนเซน นายกรัฐมนตรีเปรู และคณะเจ้าหน้าที่อาวุโสคนอื่นๆ ขณะเดินทางถึงฐานทัพอากาศกายาโอในกรุงลิมา เมืองหลวงของเปรู เมื่อวันพฤหัสบดี (14 พ.ย.) ที่ผ่านมา

สีจิ้นผิงเดินทางถึงกรุงลิมาของเปรู เพื่อเยือนสาธารณรัฐเปรูอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 ตามคำเชิญของดินา โบลัวร์เต ประธานาธิบดีเปรู

สีจิ้นผิง ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก กัสตาโว เอเดรียนเซน นายกรัฐมนตรีเปรู และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ เมื่อเดินทางถึงฐานทัพอากาศกายาโอในกรุงลิมา เมืองหลวงของเปรู เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

การเดินทางครั้งนี้ของสีจิ้นผิงมาถึงกรุงลิมาในฐานะแขกของรัฐบาลเปรู โดยเขาจะเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 ซึ่งจัดขึ้นที่เปรู รวมถึงการเยือนเปรูอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของประธานาธิบดีดินา โบลัวร์เต นอกจากนี้ เขายังมีกำหนดเข้าร่วมพิธีเปิดท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่จีนลงทุนสร้างในเปรู

ในช่วงการต้อนรับ ประธานาธิบดีสีได้รับเกียรติจากการจัดทหารกองเกียรติยศและกองทหารม้าของเปรูที่ทำเนียบรัฐบาลในกรุงลิมา ซึ่งขบวนรถของประธานาธิบดีสีได้เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลหลังจากการต้อนรับจากกองทหารม้า โดยทางเปรูได้ปูพรมแดงตั้งแต่ทางขึ้นบันไดหน้าทำเนียบ จนไปถึงจุดที่รถของประธานาธิบดีสีมาจอดเทียบ โดยประธานาธิบดีโบลัวร์เตเดินมาต้อนรับสีจิ้นผิงด้วยตัวเองและนำทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ

ในขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์ **เอล เปรูอาโน** ของรัฐบาลเปรู ได้เผยแพร่บทความจากประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งระบุว่า จำเป็นต้องร่วมมือกันในการสร้างและบริหารท่าเรือชานเคย์ โดยให้ 'จากชานเคย์สู่เซี่ยงไฮ้' กลายเป็นเส้นทางแห่งความมั่งคั่ง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือระหว่างจีนกับเปรู และจีนกับประเทศในลาตินอเมริกา

จากรายงานของสื่อสหรัฐฯ หลังเสร็จสิ้นการประชุมเอเปค ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงมีกำหนดพบปะหารือเป็นการส่วนตัวกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก่อนที่ไบเดนจะลงจากตำแหน่ง

ทั้งนี้ มีรายงานจากสื่อสหรัฐว่าหลังเสร็จสิ้นการประชุมเอเปค ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง มีกำหนดพบปะหารือเป็นการส่วนตัวกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐ ซึ่งจะถือเป็นการซึ่งจะถือเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก่อนที่ไบเดนจะลงจากตำแหน่ง

สีจิ้นผิง บอกลา ไบเดน ชี้สัมพันธ์จีนสหรัฐ สำคัญต่อมนุษยชาติ

(18 พ.ย. 67) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนกล่าวกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐอเมริกาว่า ความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างสองประเทศไม่เพียงสำคัญต่อประชาชนของทั้งสองฝ่าย แต่ยังส่งผลต่ออนาคตของมนุษยชาติทั้งหมด

รายงานจากสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของทางการจีนระบุว่า การสนทนานี้เกิดขึ้นในระหว่างการพบหารือนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มเอเปคครั้งที่ 31 ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยประธานาธิบดีสีแสดงความยินดีที่ได้พบประธานาธิบดีไบเดนอีกครั้ง พร้อมย้ำว่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเผชิญความผันผวนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่การเจรจาและความร่วมมือที่เกิดขึ้นช่วยให้ความสัมพันธ์โดยรวมมีเสถียรภาพ

ประธานาธิบดีสีกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐในช่วง 45 ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าทุกครั้งที่ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติต่อกันด้วยความเป็นมิตรและมองหาโอกาสความร่วมมือ พร้อมทั้งเคารพความแตกต่าง ความสัมพันธ์จะก้าวหน้าอย่างชัดเจน แต่หากปฏิบัติต่อกันในฐานะศัตรูหรือคู่แข่ง ความสัมพันธ์มักตกอยู่ในความวุ่นวายและถดถอย

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีสียังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐที่มั่นคง โดยระบุว่า ไม่เพียงแค่เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ แต่ยังส่งผลต่อชะตากรรมของมนุษยชาติในอนาคต แม้ว่าสหรัฐเพิ่งเสร็จสิ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่เป้าหมายของจีนในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและมั่นคงกับสหรัฐยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมย้ำว่าจีนพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐเพื่อคงไว้ซึ่งการเจรจา ขยายความร่วมมือ และจัดการความแตกต่าง เพื่อผลักดันความสัมพันธ์ให้ราบรื่นและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของทั้งสองชาติ

ด้านนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีนว่า สหรัฐไม่ต้องการทำสงครามเย็น และไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงระบบของจีน โดยพันธมิตรของสหรัฐเองก็ไม่ได้พุ่งเป้าที่จะต่อต้านจีน

ผู้นำสหรัฐกล่าวด้วยว่า สหรัฐไม่ได้ต้องให้ไต้หวันแยกตัวเป็นอิสระ รวมทั้งไม่ได้ต้องการที่จะขัดแย้งกับจีน และไม่ได้ต้องการให้นโยบายของประเทศที่มีต่อไต้หวันนั้นเป็นหนทางที่จะแข่งขันกับจีน

ทั้งนี้ นายไบเดนได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวกับนายสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก หรือ เอเปค (APEC) ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู

สส.รัสเซียเตือน 'ไบเดน' คิดผิดมหันต์ หากอนุมัติอาวุธพิสัยไกลให้ยูเครน

(18 พ.ย. 67) มาเรีย บูทีนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย วัย 36 ปี แสดงความกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจกำลังผลักดันสถานการณ์ไปสู่ความขัดแย้งระดับโลก หากอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธของสหรัฐในการโจมตีลึกเข้ามาในดินแดนรัสเซีย  

บูทีนา ซึ่งเคยถูกคุมขังในสหรัฐเป็นเวลา 15 เดือนในปี 2561 ข้อหาทำหน้าที่เป็นตัวแทนรัสเซียโดยไม่ขึ้นทะเบียน กล่าวกับรอยเตอร์ว่า รัฐบาลไบเดนดูเหมือนจะพยายามยกระดับความรุนแรงจนถึงจุดสูงสุดก่อนที่จะหมดวาระ เธอหวังว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในเดือนมกราคมปีหน้า จะยุตินโยบายดังกล่าว เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ  

คำเตือนนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานจากเจ้าหน้าที่สหรัฐและสื่อหลายแห่งว่า รัฐบาลไบเดนตัดสินใจอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกลที่ผลิตในสหรัฐเพื่อโจมตีดินแดนรัสเซีย การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้นับเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญ หลังจากที่สหรัฐเคยวางเงื่อนไขไม่ให้อาวุธดังกล่าวถูกนำไปใช้โจมตีในดินแดนรัสเซีย แม้ว่ายูเครนจะร้องขอมาเป็นเวลานาน  

ก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย เคยเตือนว่า หากชาติตะวันตกอนุญาตให้ใช้อาวุธของตนโจมตีรัสเซีย จะถือว่าเป็นการเข้าร่วมสงครามโดยตรงของนาโตและพันธมิตร ขณะที่ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลรัสเซียได้ประกาศแผนตอบโต้หากเกิดกรณีดังกล่าว

ด้านยูเครน ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธรายงานนี้โดยตรง แต่ได้กล่าวในคลิปประจำวันว่า "ขีปนาวุธจะบอกทุกอย่างเอง" และย้ำว่า "ชัยชนะจะเป็นของยูเครน"  

ด้านนักวิเคราะห์มองว่าการอนุญาตให้ยูเครนใช้อาวุธพิสัยไกล ซึ่งมีระยะทำการถึง 300 กิโลเมตร อาจเป็นการยกระดับความขัดแย้งในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้อาจช่วยให้ยูเครนได้เปรียบในด้านยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในแคว้นคุสค์ที่ยูเครนสามารถเข้ายึดครองพื้นที่ได้บางส่วนแล้ว  

แหล่งข่าวในสหรัฐเผยว่า หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจนี้ คือรายงานว่ารัสเซียได้ใช้ทหารเกาหลีเหนือจำนวนมากถึง 11,000 นายในแคว้นดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มแรงกดดันในสนามรบ  

การตัดสินใจของสหรัฐอาจเพิ่มความซับซ้อนในวิกฤตยูเครนและยกระดับความขัดแย้งไปสู่ระดับนานาชาติ ในขณะที่รัสเซียยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการต่อข่าวนี้ แต่ประเด็นดังกล่าวอาจเป็นตัวแปรสำคัญในทิศทางของสงครามยูเครนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งตรงกับช่วงไม่กี่เดือนสุดท้ายก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะหมดวาระ

ลือสะพัดไบเดนทิ้งทวน จ่อมอบนิวเคลียร์ให้ยูเครน

(27 พ.ย.67) นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงตอบโต้รายงานของ นิวยอร์กไทมส์ ที่อ้างคำพูดเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบขาวว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจพิจารณาส่งมอบอาวุธนิวเคลียร์ให้ยูเครนก่อนหมดวาระดำรงตำแหน่ง  

เปสคอฟระบุว่า หากรายงานดังกล่าวเป็นจริง ถือเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวว่า “นี่คือการถกเถียงที่ขาดความเข้าใจในความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง และแสดงให้เห็นถึงการขาดความรับผิดชอบจากผู้ที่ไม่เปิดเผยตัวตน”  

ขณะเดียวกัน ดมิทรี เมดเวเดฟ เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงของรัสเซีย เตือนว่า หากชาติตะวันตกจัดหาอาวุธนิวเคลียร์ให้ยูเครน รัสเซียจะถือว่าเป็นการโจมตีโดยตรงต่อมอสโก และอาจเป็นเหตุให้รัสเซียตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์  

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน กล่าวเมื่อเดือนที่ผ่านมา ว่าการส่งอาวุธนิวเคลียร์ให้ยูเครนและการรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต คือวิธีเดียวที่จะป้องปรามรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

สื่อแฉไบเดนกดดันยูเครน ลดอายุเกณฑ์ 18 ปี สู้ศึกรัสเซีย

(28 พ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันพุธ โดยอ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่ไม่ประสงค์ออกนาม ระบุว่า สหรัฐฯ เรียกร้องให้ยูเครนเพิ่มกำลังพลด้วยการลดอายุเกณฑ์ทหารจาก 25 ปี เหลือ 18 ปี พร้อมปรับปรุงกฎหมายเพื่อขยายฐานกำลังพลให้เพียงพอต่อการสู้รบกับรัสเซียที่มีกำลังทหารมากกว่า  

เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเผยว่า ยูเครนต้องการกำลังพลเพิ่มอีก 160,000 นาย จากปัจจุบันที่มีกำลังทหารรวมกว่า 1 ล้านนาย แต่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกมองว่ายังไม่เพียงพอ และชี้ว่ากำลังพลมีความสำคัญมากกว่าปัญหาอาวุธในสงครามนี้  

ประเด็นการเกณฑ์ทหารยังคงอ่อนไหวในยูเครน ตลอดสงครามที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 3 ปี โดยประชาชนบางส่วนกังวลว่าการลดอายุเกณฑ์จะส่งผลกระทบต่อแรงงานและเศรษฐกิจหลังสงคราม  

ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่ายูเครนสามารถบริหารจัดการกำลังพลที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยแก้ปัญหาผู้หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารหรือไม่เข้ารายงานตัว

ไบเดนทิ้งทวน อัดฉีดยูเครนอีก 725 ล้านดอลลาร์ ส่งสารพัดอาวุธให้เซเลนสกีสู้ศึกรัสเซีย

(28 พ.ย. 67) รอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เตรียมจัดส่งอาวุธมูลค่า 725 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 24,934 ล้านบาท) ให้ยูเครนสู้ศึกรัสเซีย ก่อนหมดวาระในเดือนมกราคมนี้  

ตามรายงานจากเจ้าหน้าที่สหรัฐ แพ็กเกจดังกล่าวประกอบด้วยขีปนาวุธต่อต้านรถถัง ทุ่นระเบิด โดรน ขีปนาวุธสติงเกอร์ และกระสุนสำหรับเครื่องยิงจรวด HIMARS โดยมีเป้าหมายลดความรุกคืบของรัสเซีย และช่วยเสริมแสนยานุภาพให้กองกำลังยูเครน  

คาดว่าแพ็กเกจนี้จะรวมถึงระเบิดลูกปราย (Cluster Munitions) ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงในระดับนานาชาติ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อพลเรือน แม้ว่าระเบิดรุ่นใหม่ของสหรัฐจะเป็นแบบสลายตัวเองเพื่อลดผลกระทบระยะยาว  

เจ้าหน้าที่เผยว่ามีงบประมาณ PDA (Presidential Drawdown Authority) เหลือประมาณ 4,000-5,000 ล้านดอลลาร์ที่รัฐสภาอนุมัติไว้ และคาดว่าไบเดนจะใช้งบส่วนนี้ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025

'ไบเดน' อภัยโทษ 'ลูกชาย' คดีภาษี-ค้าอาวุธ อ้างฝ่ายตรงข้ามกลั่นแกล้งทางการเมือง

(2 ธ.ค. 67) ทำเนียบขาวแถลงว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ลงนามคำสั่งอภัยโทษให้แก่นายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชาย กรณีหลบเลี่ยงภาษีมูลค่าอย่างน้อย 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 48.17 ล้านบาท) ระหว่างปี 2559-2562 และให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการซื้ออาวุธปืนในปี 2561 ขณะที่ยังอยู่ในสถานะ "บุคคลต้องห้าม" เนื่องจากมีประวัติการใช้ยาเสพติด

ก่อนหน้านี้ อัยการสั่งฟ้องฮันเตอร์ในคดีให้ข้อมูลเท็จเรื่องครอบครองอาวุธปืนเมื่อต้นปี 2566 ส่วนคดีหลบเลี่ยงภาษี ฮันเตอร์ยอมรับสารภาพในเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการตัดสินโทษ โดยโทษสูงสุดของทั้งสองคดีรวมกันอาจถึง 42 ปี

การตัดสินใจครั้งนี้ของไบเดน แม้เป็นไปตามอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แต่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจากพรรครีพับลิกัน และอาจสร้างความไม่พอใจในพรรคเดโมแครต เนื่องจากก่อนหน้านี้ไบเดนเคยยืนยันว่าจะไม่อภัยโทษให้บุตรชาย

ไบเดน ซึ่งจะหมดวาระในเดือนมกราคม 2568 ระบุว่า การดำเนินคดีต่อฮันเตอร์เป็น "การกลั่นแกล้งทางการเมือง" และขอให้ชาวอเมริกันเข้าใจการตัดสินใจครั้งนี้ ทั้งในฐานะบิดาและประธานาธิบดี

ทั้งนี้ ไบเดนไม่ใช่ผู้นำสหรัฐคนแรกที่อภัยโทษสมาชิกครอบครัว อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน เคยอภัยโทษลูกพี่ลูกน้องจากคดีเกี่ยวกับโคเคน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อภัยโทษบิดาของลูกเขยในคดีภาษีเช่นกัน

ไบเดนเล็งเพิ่มคว่ำบาตรรัสเซีย มุ่งตัดช่องการเงินทำสงครามยูเครน

(3 ธ.ค.67) ทำเนียบขาวเผยว่าสหรัฐฯ เตรียมประกาศคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม โดยเน้นโจมตีภาคการเงินของมอสโก ก่อนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ

นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ระบุในแถลงการณ์ว่า “สหรัฐฯ ได้เตรียมดำเนินมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่กับภาคการเงินของรัสเซียแล้ว เพื่อทำลายศักยภาพในการสนับสนุนกลไกสงครามของประเทศ และยังมีแผนดำเนินการเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้นี้”

อย่างไรก็ตาม นายซัลลิแวน ไม่ได้ระบุว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อมุ่งเป้าตัดช่องทางการเงินของรัฐบาลมอสโกตามแถลง

การประกาศครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งความพยายามของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการกดดันมอสโกให้ยุติการสนับสนุนสงคราม ในห้วงเวลาอีกราวหนึ่งเดือนสุดท้ายก่อนประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะหมดวาระลง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top