Wednesday, 4 December 2024
Info

👍‘พีระพันธุ์’ เริ่มแล้ว ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ขอประชาชนคนไทยช่วยกันส่งแรงเชียร์ให้จัดตั้ง ‘SPR’ สำเร็จโดยไว

การพลิกโฉมระบบพลังงานไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย เป็นไปตามแนวทาง ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยกระบวนการบันได 5️ ขั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 📌ขั้นที่ 1 ดำเนินการแล้ว : ใน 6 เดือนแรกของการกำกับดูแลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งการให้ตรึงราคาน้ำมัน พร้อมทั้งหาช่องทางในการปรับรื้อระบบเพื่อให้รู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริงของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไม่เคยรู้ และมีแต่คนบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้! 

 📌ขั้นที่ 2 ดำเนินการสำเร็จแล้ว : ‘พีระพันธุ์’ ได้ลงนามประกาศกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567 เพื่อ ‘รื้อ’ ระบบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนให้กับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลทุกวันที่ 15 ของเดือนซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567 จึงทำให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 เมษายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา

 📌ขั้นที่ 3 อยู่ในระหว่างการดำเนินการ : ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการ ‘รื้อระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง’ โดยผู้ค้าต้องแจ้งให้กระทรวงพลังงานทราบก่อน และให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้เพียงเดือนละ 1 ครั้ง ไม่ใช่ปรับราคากันทุกวันเช่นปัจจุบันนี้ โดยให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงตามที่ราคาตลาดโลกสูงกว่าราคาต้นทุนเฉลี่ยของผู้ค้าน้ำมันในงวดเดือนนั้น ๆ ณ วันที่มีการปรับราคานั้น เพื่อ ‘ลด’ ภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรายวันที่ไม่มีความเสถียรแน่นอนเป็นการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้บริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม

 📌ขั้นที่ 4 อยู่ระหว่างการเตรียมดำเนินการ : ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการศึกษาข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียมจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR อย่างเร่งด่วน เพราะ SPR จะช่วยให้ไทยมีความมั่นคงทางพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในระยะสั้นจากปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นผู้จัดเก็บน้ำมันสำรอง เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งปริมาณที่จัดเก็บสามารถรองรับการใช้งานในประเทศเพียง 20 กว่าวันเท่านั้น 

กรณีฉุกเฉินหรือเกิดวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น กรณีสงครามอิสราเอล-อิหร่านเกิดขึ้นก็จะไม่ทำให้มีผลกระทบกับพี่น้องประชาชนคนไทย ทั้งราคาและ Supply น้ำมัน และระบบ SPR นี้สามารถใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลกำหนดได้เองโดยไม่กระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลก (ทำให้ปัญหาการขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับผู้ค้าน้ำมัน โดยประชาชนผู้บริโภคไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง) รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานจะเป็นผู้ถือครองน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองให้เพียงพอต่อการใช้งาน 50-90 วัน เป็นไปตามมาตรฐานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ทั้งยังเป็นการ ‘ปลด’ พันธนาการชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยที่ต้องรับผลกระทบจากภาวะขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกได้อย่างสิ้นเชิง

📌ขั้นที่ 5 อยู่ในระหว่างการเตรียมดำเนินการ : ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการศึกษาข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียม ‘สร้าง’ ระบบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นธรรมและยั่งยืนเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ด้วยการนำผลสรุปการศึกษารวบรวมมาพิจารณาในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่ 3 และ 4 ให้สำเร็จลุล่วงอย่างมั่นคงและมีต่อเนื่องความยั่งยืน

นโยบาย ในการจัดตั้งระบบ SPR: Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ ของ ‘พีระพันธุ์’ เพื่อเป็นการสำรองน้ำมันดิบ หรือน้ำมันสำเร็จรูป (บางส่วน) ซึ่งถือครองโดยรัฐบาล หากสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้แล้วเสร็จจะเป็นการปกป้องเศรษฐกิจและรักษาความมั่นคงของชาติในช่วงวิกฤตพลังงานของประเทศที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สถานการณ์โลกเกิดความตึงเครียดจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ จึงถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญยิ่งของ ‘พีระพันธุ์’ ที่จะต้องพยายามผลักดันและดำเนินการจัดตั้งระบบ SPR ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด 

ด้วยระบบ SPR หากเกิดขึ้นในประเทศไทยได้แล้วจะเกิดผลกระทบในเชิงบวกอย่างมากมายมหาศาลต่อประเทศไทยโดยรวมในทุก ๆ มิติไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ฯลฯ ทั้งจะทำให้ความมั่นคงด้านพลังงานในภาพรวมไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซ LPG และ LNG รวมถึงพลังงานไฟฟ้ามีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไปในอนาคต 

โดยที่ความจริงแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา หากรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบได้คิดถึงประโยชน์ที่ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทยจะได้รับมากกว่าประโยชน์ที่บริษัทผู้ค้าน้ำมันจะได้รับ เรื่องที่ดีและมีประโยชน์ต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทยต่าง ๆ เช่นนี้น่าจะเกิดขึ้นและมีการดำเนินการสำเร็จเสร็จสิ้นไปนานแล้ว

🔎ส่อง 44 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน 'ปตท.’ รั้งเบอร์ 2 ส่วน ‘CP All’ ติดโผ Top 10

เว็บไซต์ Fortune ได้เปิดเผยการจัดอันดับ Southeast Asia 500 ปี 2567 เป็นครั้งแรก โดยมีรายชื่อของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ถูกจัดอันดับตามรายได้สำหรับปีงบประมาณ 2566 โดย Fortune ได้มุ่งเน้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในเศรษฐกิจโลก ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานและการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจในภูมิภาค

โดยการจัดอันดับบริษัท 10 อันดับแรกใน Southeast Asia 500 ให้น้ำหนักในด้านรายได้ของบริษัทฯ ซึ่งบริษัทค้าสินค้าโภคภัณฑ์ Trafigura ของประเทศสิงคโปร์ครองอันดับที่ 1 ด้วยยอดขาย 244 พันล้านดอลลาร์ จากการจำหน่ายแร่ธาตุ โลหะ และพลังงาน โดยมีจำนวนพนักงานน้อยที่สุดในบรรดาบริษัทชั้นนำ 10 อันดับแรก เมื่อพิจารณาตามรายได้ และเป็นบริษัทที่ทำกำไรได้มากเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มนี้

ขณะที่ ปตท. (PTT) ของไทย เข้ามาอยู่ในอันดับที่ 2 และ นอกจากนี้ ยังมี บมจ.ซีพีออลล์ (CPAll) ของไทยติดอยู่ที่อันดับ 7 อีกด้วย

‘5 ป.’ ปิด-ปรับ-ปลด-เปลี่ยน-ปลูก สูตรสำเร็จประหยัดพลังงาน

แม้กรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศว่าประเทศไทยสิ้นสุดฤดูร้อนไปแล้วเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ปัจจุบันเข้าสู่ฤดูฝน และหลาย ๆ บ้านน่าจะเห็นตัวเลขค่าไฟฟ้าที่ลดลงจากช่วงอากาศร้อนจัดเมื่อ 1-2 เดือนที่ผ่านมา แต่อย่าลืมว่า เราเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบที่นำเข้ามากลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูป หรือ ก๊าซ LNG ที่นำเข้ามาเพื่อเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า 

ดังนั้น จึงอยากจะขอย้ำเตือนไว้เสมอว่า ตราบใดที่เราใช้น้ำมันและไฟฟ้าอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของตัวเองแล้ว ยังเป็นการช่วยลดการขาดดุลการค้าให้กับประเทศ และช่วยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมด้วย

ที่สำคัญคือ การประหยัดพลังงานทำได้ทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องรอแคมเปญกระตุ้น หรือการรณรงค์จากหน่วยงานใด ๆ

การประหยัดน้ำมัน ทำได้ง่าย ๆ คือการวางแผนการเดินทาง การหมั่นตรวจเช็กลมยาง หรือการเดินทางแบบคาร์พูล รถคันเดียว นั่งไปพร้อมกันได้หลายคน

ส่วนการประหยัดไฟฟ้า  สูตรสำเร็จ 5 ป. คือ ปิด ปรับ ปลด เปลี่ยน ปลูก ก็ยังใช้ได้ผล ได้แก่

1. ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็น : ปิดไฟดวงที่ไม่ใช้งาน แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ช่วยประหยัดไฟได้มาก

2. ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้อยู่ที่ 26 องศา: ปรับอุณหภูมิแอร์ให้เย็นสบายโดยไม่ต้องหนาวเกินไป ช่วยให้ประหยัดไฟได้ถึง 10%

3. ปลดปลั๊กเมื่อไม่ใช้งาน: ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อป้องกันการกินไฟแอบแฝง

4. เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5: ยิ่งเป็นฉลากโฉมใหม่ 5 ดาว ยิ่งช่วยให้ประหยัดไฟได้มากกว่า

5. ปลูกต้นไม้ สร้างร่มเงา รักษาสิ่งแวดล้อม: ปลูกต้นไม้ใหญ่รอบบ้าน ช่วยลดความร้อนภายในบ้าน ประหยัดไฟจากการเปิดเครื่องปรับอากาศ

รู้แบบนี้แล้วก็ลองนำไปใช้กันดู แล้วเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่อเดือนกันระหว่างเดือนที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้าแบบปกติ กับแบบที่ประหยัดตามข้อแนะนำ จะได้รู้ว่ามีเงินเหลือในกระเป๋าเพิ่มขึ้นมามากแค่ไหน…

🔎เปิด 10 ธุรกิจสร้างรายได้มากที่สุดในไทย ประจำปี 2566 💸

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย. 67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2566 และได้ส่งงบการเงินภายในวันที่ 31 พ.ค. 2567 จำนวน 581,856 ราย คิดเป็น 86.6% จากนิติบุคคลที่ต้องส่งงบการเงินทั้งหมด 671,823 ราย และคงเหลือนิติบุคคลที่ไม่ได้นำส่งอีกจำนวน 89,967 ราย คิดเป็น 13.4% 

โดยได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่ส่งงบการเงินมาวิเคราะห์ในเชิงธุรกิจ พบว่า รายได้ของนิติบุคคลทั่วประเทศมีจำนวนกว่า 57.86 ล้านล้านบาท และมีผลกำไรกว่า 2.34 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มภาคการผลิต สามารถทำรายได้สูงสุดจำนวน 23.72 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.00% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 1.10 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.03% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

รองลงมาคือกลุ่มภาคขายส่ง/ปลีก ทำรายได้ 23.32 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40.30% ของรายได้ทั้งหมด ทำกำไรอยู่ที่ 0.46 ล้านล้านบาท คิดเป็น 19.57% ของกำไรสุทธิทั้งหมด และกลุ่มภาคบริการ ทำรายได้จำนวน 10.82 ล้านล้านบาท คิดเป็น 18.70% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 0.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 33.40% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

นอกจากนี้กรมฯ ยังได้วิเคราะห์รายธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้สูงสุด 10 อันดับแรกใน ปี 66 ได้แก่

1.ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำรายได้ 3.84 ล้านล้านบาท
2. ธุรกิจขายส่งนาฬิกาและเครื่องประดับ ทำรายได้ 3.12 ล้านล้านบาท
3. ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ ทำรายได้ 2.39 ล้านล้านบาท   

4. ธุรกิจผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล ทำรายได้ 1.56 ล้านล้านบาท
5. ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ ทำรายได้ 1.55 ล้านล้านบาท
6.ธุรกิจขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถนั่งส่วนบุคคลฯ ทำรายได้ 1.45 ล้านล้านบาท

7. ธนาคารพาณิชย์ ทำรายได้ 1.11 ล้านล้านบาท
8. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำรายได้ 1.07 ล้านล้านบาท
9. ธุรกิจขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน ทำรายได้ 1.02 ล้านล้านบาท
10. ธุรกิจขายส่งเชื้อเพลิงเหลว ทำรายได้ 0.96 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ธุรกิจทั้ง 10 อันดับที่กล่าวมาข้างต้นส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดไซซ์ L ที่สามารถทำรายได้สูงสุดในธุรกิจแต่ละประเภท

นางอรมน กล่าวว่า สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือน พ.ค. 2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 7,499 ราย เพิ่มขึ้น 969 ราย เพิ่มขึ้น 0.83% เมื่อเทียบกับ พ.ค. 66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 21,887.12 ล้านบาท ลดลง 22.97% การที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น โดยประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร

ในขณะที่จำนวนการจดทะเบียนเลิก 1,004 ราย เพิ่มขึ้น 194 ราย คิดเป็น 23.95% เมื่อเทียบกับ เม.ย. 67 และลดลง 230 ราย คิดเป็น 18.64% เมื่อเทียบกับ พ.ค. 66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 54,804.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49,707.54 ล้านบาท 

ทั้งนี้ มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกสูงผิดปกติเป็นผลมาจากการเลิกประกอบกิจการของ 2 บริษัทขนาดใหญ่ ได้แก่ บริษัทกรุงเทพอินเตอร์เทเลเทค จำกัด (มหาชน ) และบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา เรียลตี้ จำกัด เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของธุรกิจให้คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 98 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 59 ราย และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการอื่น ๆ 25 ราย

สำหรับภาพรวมการจดทะเบียนจัดตั้ง 5 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวน 39,032 ราย ลดลง 1.58 % ทุนจดทะเบียน 117,099 ล้านบาท ลดลง 69.89 ซึ่งมีอัตราการจัดตั้งลดลงเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการ 5 เดือนแรกมีจำนวน 4,623 ราย ลดลง 14.99 % ทุนจดทะเบียนเลิก  71,844 ล้านบาท เพิ่ม 65.89% 

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า เสถียรภาพทางการเมือง และความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้การคาดการณ์ยอดจดทะเบียนธุรกิจ ทั้งปี 2567 มีอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ปี 2566) 

ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้คาดการณ์ตัวเลข การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 44,000 - 47,000 ราย และทั้งปี 90,000 - 98,000 ราย

ปัจจุบัน (31 พ.ค. 2567) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,916,267 ราย โดยจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวน 916,634 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 22.26 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัดจำนวน 714,143 ราย คิดเป็น 77.91% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 16.02 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 201,031 ราย คิดเป็น 21.93% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 0.47 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,460 ราย คิดเป็น 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 5.77 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้กรมยังได้วิเคราะห์ธุรกิจที่ต้องจับตามอง โดยเห็นว่า กระแส Art Toy ของเล่นสะสมที่สร้างสรรค์งานศิลปะโดยศิลปินจากต่างประเทศและศิลปินไทยก็กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก ส่งผลให้ ‘ธุรกิจของเล่น’ กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามอง แม้ในช่วง 5 ปี ย้อนหลังที่ผ่านมา (พ.ศ. 2562-2566) ธุรกิจของเล่นจะมีการเติบโตที่ผันผวนเพราะมีปัจจัยด้านการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาส่งผลกระทบเชิงลบ แต่เมื่อสถานการณ์สงบลงธุรกิจของเล่นก็ใช้เวลาไม่นานที่สามารถกลับมาพลิกฟื้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก (S) ที่ครองตลาดส่วนใหญ่มากถึง 1,024 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 220 ราย และกลุ่มขายจำนวน 804 ราย คิดเป็น 93.7% จากจำนวนธุรกิจของเล่นที่มีจำนวน 1,093 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 238 ราย และกลุ่มขายจำนวน 855 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 5,692.21 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มผลิตจำนวน 2,909.61 ล้านบาท และกลุ่มขายจำนวน 2,782.60 ล้านบาท สำหรับปี 2566 ธุรกิจของเล่นสามารถสร้างรายได้รวมถึง 19,677.21 ล้านบาท และทำกำไรได้ 467.62 ล้านบาท การเติบโตของธุรกิจของเล่น ส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการเกิดกลุ่มในวงการของเล่นที่เรียกว่า Kidult ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีความนิยมในการสะสมของเล่นและมีกำลังการซื้อสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองในวัยเด็ก การสะสมเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต

🔎ส่อง!! 40 ประเทศ ที่มีราคา 'น้ำมันดีเซลต่อลิตร' ถูกที่สุดในโลก

เมื่อไม่กี่วันก่อน คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้พิจารณาเพิ่มเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลขึ้นอีกครั้งเป็น 2.02 บาทต่อลิตรจากเดิมชดเชยอยู่ 1.60 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น

อีกทั้ง กบน.เองก็ไม่สามารถปรับขึ้นราคาดีเซลได้อีก เนื่องจากเต็มเพดานที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดให้ปรับขึ้นได้ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งปัจจุบันราคาดีเซลจำหน่ายอยู่ที่ 32.94 บาทต่อลิตร 

วันนี้ THE STATES TIMES จะพามาดู 40 ประเทศ ที่มีราคา 'น้ำมันดีเซลต่อลิตร' ถูกที่สุดในโลก ส่วนจะมีประเทศใดบ้าง มาดูกัน…

**ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในโลกต่อลิตรอยู่ที่ 45.48 บาท (1 USD = 36.98 บาท)
**ราคา ณ วันที่ 17 มิ.ย.67

🔎ส่องราคาน้ำมันเฉลี่ยในประเทศอาเซียน ราคา ณ วันที่ 24 มิ.ย. 67

‘กระทรวงพลังงาน’ รายงานราคาน้ำมันเฉลี่ยในอาเซียน ประจำวันที่ 24 มิถุนายน 2567 โดยราคาน้ำมันเบนซินที่ขายในประเทศไทยมีราคา 38.45 ต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลที่ขายในประเทศไทยมีราคา 32.94 ต่อลิตร ทั้งนี้ ราคาขายน้ำมันแต่ละประเทศ มีปัจจัยทางด้านราคา ดังนี้

1.แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน
2.ในหลายประเทศเพื่อนบ้านยังมีการอุดหนุนราคากันอยู่
3.ประเทศไทยสนับสนุนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ให้การอุดหนุนราคาโดยกองทุนน้ำมันฯ จึงทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซิน

หมายเหตุ : ราคา ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2567 อัตราแลกเปลี่ยน (อัตรากลาง) ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2567

*ประเทศไทย อ้างอิงราคาจาก ปตท. และ บางจาก และเป็นราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95E10 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้มากที่สุด

🔎ส่อง 20 อันดับ สุดยอดพิกัด 'ฮันนีมูน' ประจำปี 2024

เมื่อไม่นานมานี้ TripAdvisor เว็บไซต์ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ออกมาเปิดเผย 20 อันดับ สุดยอดพิกัด 'ฮันนีมูน' ประจำปี 2024 โดยประเทศไทยมีรายชื่ออยู่ในลำดับที่ 6 สถานที่คึอ ‘เขาหลัก’ จังหวัดพังงา เป็นชายหาดที่มีทิวทัศน์สวยงาม บรรยากาศเงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัว เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ สำหรับการจัดอันดับในครั้งนี้ วัดจากความเป็นส่วนตัวของวิลล่า การดึ่มด่ำอาหารค่ำใต้แสงเทียน และการผจญภัยที่เหมาะสำหรับสองเรา

🔎'สหพัฒน์' เล่นใหญ่!! เซ็น MOU 18 ฉบับ ครอบคลุมธุรกิจอนาคตไกลตัวไหนบ้าง?

'สหพัฒน์' สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ จัดลงนามบันทึกความเข้าใจและการลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศไทยและต่างประเทศ ทั้งจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน บุกธุรกิจที่มีโอกาสในอนาคตรวม 18 ฉบับ ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 28

โดยนายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานจัดงานสหกรุ๊ปแฟร์ กล่าวว่า สหกรุ๊ปแฟร์ แอนด์ เฟส จัดระหว่าง วันที่ 27-30 มิถุนายน 2567 ที่ฮอลล์ 98-100 ไบเทค บางนา ปีนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของเครือสหพัฒน์ ที่จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจและการลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศไทยและต่างประเทศ ทั้ง จีน, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน รวม 18 ฉบับ ซึ่งนับเป็นความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนครั้งใหญ่ และยังเป็นการประกาศทิศทางของเครือสหพัฒน์ที่จะมุ่งไปในอนาคต

นายธรรมรัตน์ เผยอีกว่า สำหรับเนื้อหาบาง MOU เช่น ความร่วมมือกับ เอตัวล์ ไคโตะ ผู้นำค้าส่งสินค้าจากญี่ปุ่น มีเป้าหมายเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ของแต่ละฝ่ายขยายสู่ตลาดต่างประเทศ โดยที่สหพัฒน์จะนำสินค้าของเอตัวล์เข้ามาขาย สินค้าขายดีเช่น ชุดชั้นใน ขนม อาหาร ส่วนเอตัวล์ก็นำสินค้าสหพัฒน์ไปจำหน่าย ในแพลตฟอร์มที่มีอยู่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์

ส่วนความร่วมมือกับ ฟาสต์ บิวตี้ ธุรกิจร้านทำสีผมอันดับ 1 จากญี่ปุ่น เพื่อเปิดร้านทำสีผม fufu ในประเทศไทย วางเป้าหมาย 20 สาขาใน 3 ปี โดยจะเปิดสาขาแรกที่ทองหล่อสแตนด์อโลน ราคาบริการตั้งแต่ 1,500 – 5,000 บาท

ขณะที่ความร่วมมือกับ โตคิว คอร์เปอเรชั่น และดุสิตธานี เพื่อพัฒนาโครงการคิงสแควร์ เรสซิเดนซ์ และโครงการดุสิต สวีต คิงสแควร์ กรุงเทพฯ จะมีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 10,000 ล้านบาท

📌ปักหมุด 6 บิ๊กอีเวนต์ ครึ่งหลังปี 2024 ถ้าไม่ไป ถือว่าพลาดอย่างแรง!!

เวลาผ่านพ้นไปไว เผลอแปปเดียวก็ก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังของปี 2567 ซะแล้ว ช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา หลายคนอาจจะยุ่งกับการทำงานหรือธุระต่าง ๆ ในชีวิต จนไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไร เพราะวันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมพิกัดท่องเที่ยวทั่วไทยจากเหนือจรดใต้มาไว้ให้แล้ว ขอบอกสั้น ๆ เลยว่า “ถ้าไม่ได้ไป ถือว่าพลาดอย่างแรง” ส่วนจะเป็นงานอะไร ที่ไหน จังหวัดใดบ้าง มาดูกัน!!

🔎ส่อง 20 ซุป ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก

เว็บไซต์ TasteAtlas ศูนย์รวบรวมสูตรอาหารและรีวิวจากนักวิจารณ์อาหารทั่วโลก ได้รวบรวมเมนูซุปที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก 20 เมนู ซึ่งน่ายินดีอย่างยิ่งที่เมนู ‘ต้มข่าไก่’ ของไทย ติด 1 ใน 20 ด้วย

เมนู ‘ต้มข่าไก่’ เป็นอาหารประจำชาติของไทย ที่มาจากภาคเหนือ เป็นซุปที่ประกอบด้วยส่วนผสมสำคัญ อาทิ กะทิ ไก่ชิ้น ข่า ตะไคร้ กระเทียม พริก ใบมะกรูด น้ำปลา และเห็ด โดยต้มข่าไก่จะเสิร์ฟพร้อมข้าวสวย และรับประทานพร้อมกัน

สำหรับรสชาติของต้มข่าไก่ จะมีรสชาติเผ็ด และเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นหอมนำจากข่า ตามด้วยใบมะกรูด และตะไคร้ รสสัมผัสของน้ำซุปกะทิมีความละมุนเข้ากับเนื้อไก่และเห็ด ทำให้อาหารจานนี้มีความกลมกล่อมอย่างลงตัว 

นอกจากนี้ ต้มข่าไก่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสรรพคุณช่วยบรรเทาระบบทางเดินอาหารด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top