อนาคตอันสดใสของปาล์มน้ำมันทั้งระบบ ด้วย กม.ใหม่ของ ‘พีระพันธุ์’ รับมือเลิกชดเชยไบโอดีเซล
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมมายาวนาน กระทั่งเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลว่า ไทยเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำแห่งหนึ่งของโลก แต่ในความเป็นจริงตลอดเวลาที่ผ่านมาการเกษตรของไทยในภาพยังขาดการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบเลย แม้กระทั่ง ‘ข้าว’ อันเป็นผลผลิตทางการเกษตรหลักซึ่งถือเป็นเรือธง (Flagship) ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าทางการเกษตรก็ตาม โดยพิจารณาจากความทุกข์ยากลำบากของชาวนาส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเกษตรกรที่มีจำนวนมากที่สุดของไทยแต่รายได้จากการทำนาปลูกข้าวกลับไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ทั้ง ๆ ที่ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศ ชาวนาส่วนใหญ่ต้องตกเป็นลูกหนี้ของพ่อค้า นายทุน และธกส. เรื่อยมาโดยตลอด ทั้ง ๆ ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงที่ดูแลรับผิดชอบเกี่ยวข้องตรงทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์
ในขณะที่ ‘อ้อย’ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงอุตสาหกรรมโดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลการผลิตอุตสาหกรรมอ้อย และ น้ำตาลทราย ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตอ้อย น้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง การใช้และการจำหน่ายภายในประเทศและต่างประเทศ และ วางแผนการการปลูกและผลิตอ้อยเพื่อใช้ในการผลิตน้ำตาลทราย รวมไปถึง วิเคราะห์ วิจัย เพื่อเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพผลิตอ้อยและน้ำตาลทราย และ เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการผลิต การใช้ และการจำหน่ายอ้อยและน้ำตาลทราย
และมีสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายภายใต้คณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่สนับสนุน ส่งเสริม ศึกษา วิจัย และพัฒนา อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ให้เป็นไปตามนโยบายของประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อผลประโยชน์ของชาวไร่อ้อย โรงงาน และผู้บริโภค เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ‘อ้อย’ จึงเป็นพืชเศรษฐกิจที่ได้รับการดูแลจากสองหน่วยงานดังกล่าว และวงจรของพืชเศรษฐกิจชนิดนี้แทบจะไม่มีปัญหาและสร้างรายได้มหาศาลแก่ทุกภาคส่วนในวงจรดังกล่าว ซึ่งแตกต่างไปจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับข้าวโดยสิ้นเชิง เพราะวงจรธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้าวผู้ที่ได้รับประโยชน์อย่างมากมายคือ ผู้ประกอบการโรงสี ผู้ค้าข้าว ส่วนชาวนาผู้ข้าวยังคงทุกข์ยากลำบากและมีหนี้สินเช่นที่ได้เล่าแล้ว
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับปาล์มน้ำมันในไทยก็มีความคล้ายคลึงกับข้าว แต่ด้วยเป็นพืชที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าและแปรรูปเป็นผลผลิตได้มากกว่าเช่นกัน โดยสามารถนำมาแปรรูปทำเป็นทั้งในรูปแบบของน้ำมันพืชที่ใช้ในการประกอบอาหาร และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารต่าง ๆ เช่น ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน ครีมและเนยเทียม เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน ไบโอดีเซล รวมถึงเป็นส่วนผสมเพื่อช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซล เพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งยังสามารถแปรรูปเป็น สบู่ ผงซักฟอก เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ต่าง ๆ ตลอดจนอาหารสัตว์ ด้วยการนำใบมาบดเป็นอาหารสัตว์ กะลาปาล์มสามารถทำเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิง ทะลายปาล์มใช้เพาะเห็ด และกระทั่งการปลูกลงดินไปแล้วก็ช่วยในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย
การผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลเชิงพาณิชย์ของไทยเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2550 ในระยะแรกภาครัฐกำหนดให้มีการผสมในอัตรา 2-3% เรียกว่า B2 ในปี พ.ศ. 2555 การผสมไบโอดีเซลเพิ่มเป็น 5% (B5) และเพิ่มเป็น 7% (B7) ในปี พ.ศ. 2557 ส่งผลให้ปริมาณการใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลลงในบางช่วงที่ผลผลิตปาล์มน้ำมันในประเทศมีไม่เพียงพอ (ปี พ.ศ. 2558-59) และปรับเพิ่มสัดส่วนในช่วงที่มีผลผลิตส่วนเกินของปาล์มน้ำมัน (ปี พ.ศ. 2561-62) ทั้งนี้ ไบโอดีเซลจะเน้นผลิตเพื่อใช้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่
การนำไบโอดีเซลมาผสมในดีเซล ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้ทำเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร แต่ต้องการนำมาผสมเพื่อได้ปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นการช่วยลดต้นทุนราคาน้ำมัน ลดรายจ่ายจากการนำเข้าน้ำมันให้ประเทศ เนื่องจากกระบวนการอุดหนุนเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานจนทำให้กลายเป็นความเข้าใจทั่วไปว่า กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ทั้งที่ความจริงแล้วความช่วยเหลือต่อเกษตรกรเป็นเพียงผลพลอยได้ ด้วยภารกิจของกระทรวงพลังงานไม่ได้มีบทบาทหลักในการช่วยเหลือเกษตรกรเลย แต่ต้องรับผิดชอบดูแลสืบเนื่องมาจากนโยบายเชื้อเพลิงชีวภาพได้ถูกดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานมาแล้ว ทั้งยังไม่มีหน่วยงานอื่นใดร่วมช่วยคิดเพื่อแก้ปัญหา กระทรวงพลังงานจึงต้องรับหน้าที่ดังกล่าวเพื่อช่วยหาทางออกให้กับเกษตรกรต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้
ปัจจุบัน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องชดเชยราคาเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งได้แก่ ไบโอดีเซล และเอทานอล โดยปี พ.ศ. 2569 จะเป็นปีสุดท้ายที่กองทุนน้ำมันฯ จะชดเชย ซึ่ง ‘รองพีร์’ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เห็นว่า ‘ปาล์มน้ำมัน’ เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ยังไม่มีการจัดการวงจรของปาล์มน้ำมันอย่างเป็นระบบ จึงมักจะเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยที่ ‘รองพีร์’ และคณะทำงานจึงได้ทำการศึกษาแล้วเห็นว่า การนำรูปแบบการแก้ปัญหาเรื่องอ้อยกับน้ำตาล ตามพ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 มาปรับใช้เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องอ้อยและน้ำตาล จึงมีการเตรียมพร้อมเพื่อยกร่างกฎหมายที่คล้ายกันกับพ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลฯ ให้เป็นกฎหมายสำหรับปาล์มน้ำมัน โดยจะมีการจัดตั้งหน่วยงานที่ที่มีลักษณะเช่นเดียวกับ ‘สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย’ และ ‘สำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย’ ในบริบทของ ‘ปาล์มน้ำมัน’ เพื่อกำกับ ดูแล และสนับสนุนวงจร ‘ปาล์มน้ำมัน’ และ ‘อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ’ จะทำให้ ‘ปาล์มน้ำมัน’ เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตที่สดใสต่อไป
เรื่อง: กองบรรณาธิการ THE STATES TIMES