อัญเชิญ ‘พระเขี้ยวแก้ว’ วัดหลิงกวง ให้คนไทยได้สักการะ ตอกย้ำสัมพันธ์แน่นแฟ้น “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน”

(31 ต.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน : พระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง ณ กรุงปักกิ่งจะไปประดิษฐานที่ประเทศไทย

มีผู้สื่อข่าวตั้งคำถามว่า มีการรายงานว่า รัฐบาลไทยจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง ณ กรุงปักกิ่งไปประดิษฐานที่ประเทศไทย ฝ่ายจีนสามารถยืนยันในประเด็นนี้ได้หรือไม่ และมีความคิดเห็นอย่างไร?

นายหลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ระบุว่า ตามคำเชิญของรัฐบาลไทย เพื่อเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ (72 พรรษา) และเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทยในปีพ.ศ. 2568 ฝ่ายจีนมีความยินดีที่จะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง ณ กรุงปักกิ่งไปประดิษฐานที่กรุงเทพฯ เป็นระยะเวลา 73 วัน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568

หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้สถาปนาขึ้น พระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวงได้เคยถูกอัญเชิญไปประดิษฐานในต่างประเทศถึง 6 ครั้ง และได้รับความศรัทธาอย่างกว้างขวางจากพุทธศาสนิกชนในประเทศที่อัญเชิญ เชื่อว่าการประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ในประเทศไทยครั้งนี้จะเสริมสร้างความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนระหว่างพุทธศาสนิกชนของจีนและไทย เสริมสร้างความหมายของประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน-ไทย ส่งเสริมแนวคิด “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” ให้หยั่งรากลึกในหัวใจของประชาชนมากยิ่งขึ้น

สำหรับ พระเขี้ยวแก้ว ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเพียง 2 องค์บนโลกมนุษย์นี้ ซึ่ง 1 ในนั้นอยู่ที่วัดหลิงกวง วัดเก่าแก่อายุนับ 1,000 ปี ตั้งอยู่ในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน โดยจะอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวที่ไทย เป็นเวลา 73 วัน ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากได้เคยอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พุทธมณฑล ที่ประเทศไทยครั้งแรกในปี 2545  ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นสิริมงคลยิ่งต่อพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทยและชาวจีนในประเทศไทยที่มีโอกาส เข้าสักการะโดยไม่ต้องเดินทางไป ถึงกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน