‘อดีตทูตนริศโรจน์’ ภูมิใจ!! ได้ใช้ภาษาสเปนที่เรียนจากสถาบันการทูตสเปน ทำเพื่อประเทศชาติ ในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทย ณ อาร์เจนตินา ก่อนเกษียณ

(14 ก.ย. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘Fuangrabil Narisroj’ ว่า...

ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า ชีวิตของผมเริ่มเมื่อหลังเกษียณ เพราะเป็นชีวิตที่เป็นอิสระ ได้ทำงานที่ชอบ ได้แสดงออกถึงตัวตนที่ผมเป็นโดยไม่ต้องกังวลถึงหัวโขนใด ๆ อีกต่อไป

ผมดีใจที่ชีวิตหลังเกษียณผมได้มีโอกาสมานั่งเป็นประธานคณะกก.Film Board (คณะที่ 2) สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน กันยายน 2566

ผมภูมิใจที่เป็นส่วนนึงที่สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจากอุตสาหกรรมถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยเป็นจำนวนรวมแล้วมากกว่าหมื่นล้านบาท!

ตอนรับราชการชีวิตของผมค่อนข้างอืดหรือช้า กว่าจะได้ขึ้นมาระดับสูงสุดก็โดนเด็กรุ่นหลังลอยข้ามหน้าข้ามตาไปหลายครั้ง แต่ผมก็เจียมตัวไม่ได้ไปโวยวายเรียกร้องอะไร

เจียมเนื้อเจียมตัวเป็นข้าราชการเชื่อง ๆ ที่ทำตามกฏระเบียบทุกอย่าง

ตอนแรกผมก็นึกว่าผมคงเกษียณในตำแหน่งระดับ 9 ที่สถานทูตไทยที่ลาวเสียแล้ว ซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร ดีเสียอีกได้อยู่ใกล้เมืองไทย สามารถกลับมาดูแลแม่ที่ไทยได้สะดวกเมื่อมีโอกาส

แต่สุดท้ายผมก็ได้ท่านดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรองนรม.และรมว.กต. ได้เลือกให้ผมไปดำรงตำแหน่งเป็น ออท.ที่อาร์เจนตินา ในระยะเวลา 1 ปี กับ 10 เดือนก่อนเกษียณ ซึ่งถือว่าหวุดหวิด

ซึ่งตรงนี้ผมถือว่าท่านดอนฯ พ้นหน้าที่จาก ครม.แล้ว จึงขอใช้โอกาสนี้เขียนขอบคุณที่ท่านมอบความไว้วางใจมอบหมายให้ผมดำรงตำแหน่งที่ทรงเกียรตินี้

ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงปีกว่า ๆ ก่อนเกษียณ แต่อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่ขรก.กต.ทุกคนได้บรรลุเป้าหมายขั้นสูงสุดในชีวิต

สาเหตุที่ท่านเลือกผมมาทราบทีหลังคือ ผมอาวุโสมากกว่าขรก.หลายคนที่เข้า กต. หลังผมหลายปี ท่านเห็นว่าผมช้าเลยต้องการสนับสนุนให้ผมได้เป็นทูตก่อนเกษียณ

สาเหตุที่สำคัญอีกประการ ซึ่งท่านดอนคงมองว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเป็นทูตประจำย่านลาตินอเมริกาใต้คือ

ผมพูดภาษาสเปนได้ เนื่องจากผมได้รับทุนจากรัฐบาลสเปนจนเรียนจบระดับปริญญาโทจากสถาบันการทูตสเปน (La Escuela Diplomatica, España)

ซึ่งเป็นสถาบันทางการทูตที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป รองจากสถาบันการทูตที่เวียนนา ออสเตรีย

และผมถือเป็นคนไทยคนที่ 2 ที่จบระดับปริญญาโทจากสถาบันนี้ (ท่านที่จบคนแรกคือ ท่านทูตกุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา)

แต่กระนั้นชีวิตการเป็นข้าราชการก็ไม่พ้นเรื่องการนินทา อิจฉาริษยา

มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า ผมวิ่งเพื่อให้ได้มาที่อาร์เจนตินา ซึ่งไม่มีมูลความจริงเลย

ตอนอยู่ที่ลาวผมใจจดจ่อกับการได้อยู่ใกล้แม่มากกว่า เพราะผมเพิ่งเสียพ่อไป และผมห่วงแม่มาก

ผมถึงกับเปรยกับท่านทูตไทยที่ลาวว่าให้ผมเกษียณที่ลาวผมก็โอเค ถึงแม้จะไม่ได้เป็นระดับ 10 ก็ไม่เป็นไร เพราะผมปลงแล้ว อีกประการคือเงินเดือน พขต.ที่ลาวระดับ 9 ยังได้มากกว่า ระดับ 10 ที่อาร์เจนตินา! (เงินเดือน พขต.ที่อาร์เจนตินาได้รับต่ำสุดท้ายตารางน้อยกว่าประเทศอื่น!!)

ตอนช่วงที่ใกล้จะเลือกให้ดำรงตำแหน่ง ผมได้รับการติดต่อทาบทามจากทางสำนักบริหารบุคคลบอกว่า ท่านรมว.กต.อยากให้ผมไปที่อาร์เจนตินา (ตอนนั้นคงมีคนไปบอกท่านว่าผมอยากเกษียณที่ลาว)

ท่านดอนบอกว่าผมเหมาะสมที่สุด เพราะพูดสเปนได้ไปถึงก็ทำงานได้เลย ไม่ต้องไปฝึกเรียนภาษา และเป็นช่วงเวลาที่ไม่นานมาก

เรื่องแม่ก็ต้องขอฝากให้พี่ชายดูแลแทนไปก่อน ผมก็จ้างคนดูแลแม่เป็นพิเศษอีกต่างหากด้วย ผมก็เลยบอกแม่ แม่ก็บอกว่าให้ไปเถอะไม่ต้องห่วง แม่อยากเห็นผมเป็นทูต ผมก็เลยตกลง

ตรงนี้ขอคุยนิดนึงว่าผมและเพื่อน ๆ ที่ออกเป็นทูตในครั้งนั้น ถือเป็นคณะทูตไทยคณะแรกในแผ่นดินรัชกาลที่ 10 ที่ต้องออกไปเจริญสัมพันธไมตรีในต่างประเทศ ต้องเข้าเฝ้ารับพระราชทานพระราชสาสน์ตราตั้ง รับพระราชทานน้ำมหาสังข์จากพระหัตถ์รดที่กลางกระหม่อม

ได้รับพระราชทานการเจิมที่หน้าผากผมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน ได้รับพระราชทานใบมะตูมเพื่อทัดหู นับเป็นสิริมงคลสูงยิ่งในชีวิตนี้แล้ว ซึ่งผมต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินและสถาบันจนกว่าชีวิตจะหาไม่

และจากการที่ผมเป็นผลิตผลทางการศึกษาจบจากสถาบันการทูตที่สเปน ผมจึงมีเพื่อนร่วมสถาบันที่เป็นนักการทูตจากประเทศลาตินอเมริกาใต้หลายประเทศ รวมทั้งที่อาร์เจนตินาด้วย

ซึ่งปรากฏว่าเมื่อผมเดินทางถึงกรุงบัวโนสไอเรสได้เพียง 3 วัน ผมก็ได้รับแจ้งจากเพื่อนที่ทำงานกรมพิธีอาร์เจนตินาให้ผมได้มีโอกาสเข้ายื่นพระราชสาสน์ตราตั้งต่อประธานาธิบดี Macri แห่งอาร์เจนตินาในสัปดาห์นั้นเอง นับว่าผมเป็นทูตไทยคนแรกที่ออกไปต่างประเทศแล้วได้ยื่นพระราชสาสน์ตราตั้งได้ในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์

หมายเหตุ กระบวนการเรื่องยื่นพระราชสาสน์ฯ นี้ บางประเทศทูตต้องรอหลายเดือน บางคนรอเกือบปีถึงจะได้มีโอกาสยื่นพระราชสาสน์ฯ

ขอย้อนกลับไปตอนที่ผมบอกว่ามีคนนินทาว่าผมวิ่ง ซึ่งคนที่พูดนั้นผมรู้ว่าเป็นใคร เป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่อายุน้อยกว่าผมหลายปี เข้า กต.หลังผลหลายปี อาวุโสน้อยกว่าผม จำนวนปีในการทำงานน้อยกว่าผม และที่สำคัญคือเขาพูดภาษาสเปนไม่ได้เลย รู้แต่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว

แต่ผมก็ไม่สนใจเพราะถือว่าผู้ใหญ่ท่านไว้วางใจและเลือกผมให้ทำงานที่ผมถนัดที่สุดแล้ว

ซึ่งก็จริงเพราะในบรรดาทูตประเทศ ASEAN ทั้งหมดมีผมคนเดียวที่พูดภาษาสเปนได้ นอกจากนี้ในบรรดาทูตจากเอเชีย ก็มีทูตจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ที่พูดภาษาสเปนได้คล่อง เพราะประเทศเหล่านี้ถือเป็นนโยบายเชิงบังคับเลยว่าคณะทูตที่ไปประจำการในภูมิภาคใดต้องพูดสื่อสารด้วยภาษาท้องถิ่นของประเทศนั้นได้ พวกเขาพอไปถึงก็ทำงานได้เลยไม่ต้องรอไปเรียนภาษา

วันนี้ถือโอกาสเขียนยาวหน่อยเพื่อระบายความในใจที่เก็บมานาน เพราะเห็นว่าเปลี่ยนรัฐบาลเปลี่ยนครม.แล้ว เลยอยากเล่าเพื่อเคลียร์สิ่งต่าง ๆ ในใจ และเพื่อขอบคุณท่านดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรองนรม.และรมว.กต.ที่ได้เลือกให้ผมไปเป็นทูตที่อาร์เจนตินาครับ

ผมเองผ่านร้อนหนาวมาเยอะ ผ่านการถูกบุลลี่จากบุคคลต่าง ๆ แม้กระทั่งจากเพื่อนร่วมอาชีพว่าเป็นแค่ ‘ทูตปลายแถว’ เป็นพวกแก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน !!! ผมรับทราบรับรู้ทั้งหมด เพราะโลกนี้ไม่มีความลับ

ก็ขออวยพรให้เขาเหล่านั้นโชคดี ผมไม่ถือโกรธใดๆ อโหสิให้ แต่แค่ผมไม่เคยลืมเท่านั้นเอง