‘ฟิทช์’ ส่งสัญญาณถึง ‘รบ.ใหม่’ ปมจัดตั้งคลุมเครือ-ล่าช้า ชี้!! อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือในเสถียรภาพของไทย

วันที่ (26 พ.ค.66) รายงานข่าวจาก Fitch Ratings บริษัทจัดอันดับเรตติ้งชั้นนำ ระบุถึงสถานการณ์ประเทศไทยหลังผ่านการเลือกตั้งว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีเวลาถึง 60 วันในการประกาศผลอย่างเป็นทางการหลังการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม 66 แต่ตัวเลขเบื้องต้นบ่งชี้ว่า

พรรคก้าวไกลซึ่งได้ที่นั่งมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร และพรรคเพื่อไทย พรรคฝ่ายค้านใหญ่ที่สุดก่อนหน้านี้ ตามมาเป็นอันดับที่ 2 ยังมีความคลุมเครือในการจัดตั้งรัฐบาล โดยขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่า พรรคก้าวไกลจะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอหรือไม่ ที่จะจัดตั้งรัฐบาลผสม ซึ่งจะส่งผลให้มีการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายในกรอบที่กว้าง ทำให้การกำหนดนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ อาจถูกจำกัดชั่วคราว หากกระบวนการสรรหาพันธมิตรร่วมรัฐบาลยังทำให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าไปหลายเดือน

สำหรับการจะครองเสียงข้างมากในรัฐสภา และเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไปนั้น พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องรวมคะแนนเสียงให้ได้อย่างน้อย 376 เสียง จากที่นั่งรวม 700 ที่นั่งในรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ในสภาผู้แทนราษฎร 500 คน และสมาชิกวุฒิสภา 250 คน ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารก่อนการเลือกตั้งปี 2562

ทั้งนี้ การคาดการณ์ในกรณีพื้นฐาน (Base Case) นั้น ผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในระยะสั้นจะมีจำกัด โดยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ฟิทช์ ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)

เราได้ระบุไว้กว้างๆ ว่า อาจเกิดรัฐบาลผสม ทำให้การกำหนดนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพนั้นกลายเป็นเรื่องซับซ้อน แต่ก็ไม่น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ และแม้ว่าแนวโน้มนโยบายการคลังมีความไม่แน่นอน แต่คาดว่ารัฐบาลผสมชุดใหม่ จะยังคงยึดมั่นในนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญบางส่วนของรัฐบาลชุดที่แล้ว

ทั้งนี้ อาจมีการหยุดชะงักในการใช้จ่าย ภายใต้งบประมาณสำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนกันยายน 2567 หากการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า จะเป็นผลลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทย แต่เรายังคงคาดว่า การเติบโตจะเร่งตัวขึ้นในปี 2566 และยังคงแข็งแกร่งในปี 2567 โดยมีการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก

ตัวชี้วัดภาคการคลังสาธารณะของไทย ที่มีความเสื่อมถอยลงอย่างมากในช่วงการระบาดของโควิด 19 ซึ่งมีผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับปัจจุบัน แต่ฟิทช์คาดการณ์ว่า หนี้ภาครัฐทั่วไป/จีดีพี และดอกเบี้ย/รายได้ ในปี 2566-2567 จะยังคงอยู่ในระนาบตามค่ามัธยฐาน (Median) ของกลุ่มประเทศที่มีความน่าเชื่อถือในระดับ BBB

ทั้งนี้ ระบุว่า หากรัฐบาลชุดต่อไปไม่สามารถรักษาเสถียรภาพของสัดส่วนหนี้ภาครัฐได้ ตัวอย่างเช่น มีแรงกดดันด้านการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง หรือมีผลกระทบจากภายนอก ซึ่งอยู่นอกเหนือสมมติฐานพื้นฐานของเรา นั่นอาจส่งผลให้อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยลดลง