‘ปรเมษฐ์’ มองภาพ ‘ชัชชาติ’ และ ‘พิธา’ จากคนไร้ผลงาน สู่ความหวังของหมู่บ้าน ที่ประชาชนต่างพากันเทคะแนนให้ .

(23 พ.ค. 66) นายปรเมษฐ์ ภู่โต ผู้ดำเนินรายการ คุยถึงแก่น สถานีโทรทัศน์ NBT โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กวิเคราะห์ความแตกต่าง ระหว่างนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โดยระบุว่า…

‘ชัชชาติ’ กับ ‘พิธา’ ความเหมือน และ ความต่าง...!!

ทั้งสองคนนี้ล้วนแล้วแต่ผ่านการชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนที่ท่วมท้นทั้งคู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชัยชนะของทั้งสองคน ล้วนเป็นผลมาจากความสำเร็จ จากการทำการตลาดการเมือง ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคู่แข่งการเมืองคนอื่นๆ ประสิทธิภาพดังกล่าว สามารถสร้างให้คนที่ ‘ไม่เคยมีผลงานระดับชาติ’ เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน กลายมาเป็นคนที่ป๊อปปูล่า เป็น ‘ความหวังของหมู่บ้าน’ ที่ใครก็ตามที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงต้องเลือก

ขณะเดียวกันทั้งสองคน (รวมถึงทีมที่วางกลยุทธเบื้องหลัง) ได้สร้างภาพให้คู่แข่ง กลายเป็น ‘สิ่งเก่า’ ที่ชำรุด ไม่เหมาะที่จะใช้งานอีกต่อไป

สำหรับชัชชาตินั้น แม้จะเคยมีประสบการณ์เมื่อ เป็นรัฐมนตรีคมนาคมในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์  แต่ก็ไม่มีผลงานอะไรที่โดดเด่นชนิดที่หยิบขึ้นมาอวดอ้างได้ มิหนำซ้ำปัญหาบางเรื่อง นอกจากจะอวดไม่ได้แล้ว เขายังต้องออกตัวว่า “ผมไม่เกี่ยว” อย่างเช่น เรื่องที่องค์การบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ติดธงแดงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศ อย่างมาก และเป็นปัญหาใหญ่ให้ คสช.ต้องเข้ามาสะสาง แต่ด้วยกระบวนการทำการตลาดการเมืองที่เหนือชั้น ทำให้ อดีต รมว.คมนาคม ที่ไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกลายมาเป็น ‘บุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี’ ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แบบถล่มทลาย ได้คะแนนจากคนกรุงเทพฯ ไป 1.3 ล้านคะแนน ผ่านมาเกือบ 1 ปี ในตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. ผลงานประทับใจแค่ไหน ก็เห็นๆ กันอยู่

ส่วนพิธา ผู้ที่สถาปนาตัวเองตั้งแต่ไก่โห่ว่าเขาคือ ‘ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30’ หากดูโปรไฟล์เขาตามเนื้อผ้า นอกเหนือจากดีกรีนักเรียนนอกจบจากสถาบันมีชื่อเสียง ก็มีประสบการณ์แค่เป็นส.ส.สมัยแรก ที่ถูกพูดถึงเพราะการอภิปรายในสภาที่โดดเด่น และก้าวสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพราะพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ และธนาธร หัวหน้าขบวนการตัวจริงถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ส่วนประสบการณ์ในการบริหารองค์กรธุรกิจครอบครัว หรือ การทำงานกับภาคเอกชนอื่นๆ พูดแบบกลางๆ ก็ไม่ถึงขนาดเปรี้ยงปร้าง โดดเด่นอะไร แต่ด้วยกระบวนการที่ทรงพลังของพรรคก้าวไกล บวกและหรือ การประสานพลังกับขบวนการ ที่มุ่งหมายในการเปลี่ยนโครงสร้างสังคมไทยแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ที่สามารถยึดครองพื้นที่ในโซเชียลมีเดียได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เหนือกว่าพรรคการเมืองคู่แข่งทุกพรรคหลายช่วงตัว (ขบวนการนี้ใหญ่โตกว่าขบวนการสร้างชัชชาติให้ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.มาก) ได้สร้างให้พิธาให้กลายมา ‘ตัวชูโรง’ เป็นฮีโร่ของคนรุ่นใหม่ ตลอดจนผู้ที่หวังเห็นความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย บรรดานักอุดมคติ NGO สื่อ อินฟลูเอนเซอร์ ศิลปิน ฯลฯ

ผู้คนในหลายวงการเหล่านี้ ต่างพร้อมใจกันมองข้าม เรื่องส่วนตัวด้านลบของพิธา ไม่ว่าจะเป็นการพูดกลับไปกลับมาเรื่องงานศพพ่อ เรื่องชีวิตครอบครัวในอดีต ล้วนแต่ไม่มีผลในการสั่นคลอนคะแนนนิยมเขาแม้แต่น้อย และพาพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ชนิดที่คนไปเลือกไม่สนใจด้วยซ้ำว่า ผู้สมัครของพรรคเป็นใคร และผู้คนจำนวนมาก ไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีบ้างก็ขึ้นสเตตัสอย่างปิติว่านี่คือ ‘สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง’ ทุกๆ การเลือกล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย เพียงแต่จะคุ้มหรือไม่คุ้มเท่านั้น!! ดังเช่นคน กทม. กว่า 1.3 ล้านคน มอบให้กับชัชชาติ และ 1 ปีที่ผ่านมาคือคำตอบ

ส่วนกรณีของพิธานั้น เพิ่งจะเริ่มต้น คงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ว่าผลของการเลือกนั้นจะคุ้มกับราคาที่คนไทยต้องจ่ายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ราคาที่คนไทยต้องจ่ายสำหรับพิธานั้น ‘แพงกว่า’ ราคาที่คน กทม.จ่ายให้ชัชชาติหลายเท่านัก!!