‘ดร.หิมาลัย’ เบิกเนตร ‘กษัตริย์ไทย’ สละเลือดป้องแผ่นดินแต่ครั้งอดีต ซัดพวกบิดเบือนควรศึกษาประวัติศาสตร์ ก่อนพล่ามทำแตกแยก

จากกรณีที่มีนักการเมืองหญิงท่านหนึ่ง ได้เกิดการโต้เถียงกับชาวบ้าน เรื่องมาตรา 112 พร้อมระบุว่า พระมหากษัตริย์ไม่เคยออกรบเสียชีวิต มีแต่ไพร่ที่ตายในสนามรบ 

ต่อเรื่องดังกล่าว ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะที่อดีตเคยเป็นทหาร รู้สึกไม่สบายใจและไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนักการเมืองคนดังกล่าว โดยให้ความเห็นว่า การที่มีนักการเมืองคนนั้น พยายามสร้างความแตกแยกทางความคิด ด้วยการแยกเจ้าแยกไพร่ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะแท้จริงแล้ว ในประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกไว้ ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ คือ ศูนย์รวมจิตใจของประชาชนคนไทยมาแต่ครั้งอดีต

ในอดีตครั้งโบราณนั้น พระมหากษัตริย์ไทยแทบทุกพระองค์ ต่างเป็นผู้นำทัพ ในการพาประชาชนออกปกป้องบ้านเมือง เป็นศูนย์รวมจิตใจของกองทัพ รวมทั้งทรงออกรบ เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับไพร่ฟ้าประชาชนด้วยพระองค์เองในยามศึกสงครามมิได้ขาด

แม้แต่ประเทศในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ หรือฝรั่งเศส ที่นักการเมืองคนดังกล่าวยกย่องนักหนา ก็มีพระมหากษัตริย์ เป็นผู้นำ มีเจ้ามีไพร่เช่นเดียวกัน โดยพระมหากษัตริย์ของทุกประเทศ เป็นชนชั้นปกครอง นั่นหมายถึง การปกครองทรัพย์สิน บ้านเมือง และชีวิตประชาชน ให้มีความปลอดภัย อยู่ดีกินดี อีกทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชนล้วนต้องพึ่งพาอาศัยกัน เพื่อให้ประเทศอยู่ได้ หากไม่มีกษัตริย์เป็นผู้นำออกรบ ประชาชนก็จะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย และหากไม่มีประชาชนร่วมปกป้อง ประเทศและสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้เช่นกัน 

ดร.หิมาลัย กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องที่นักการเมืองพยายามด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า ไม่เคยทำอะไรให้บ้านเมือง มีแต่ไพร่ที่ออกรบและตายแทนในสนามรบ และยังบอกด้วยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นกษัตริย์นักรบของไทย ที่ช่วยกอบกู้เอกราชจากพม่า ก็ไม่ได้สวรรคตในสนามรบนั้น ตนไม่แน่ใจว่า คนที่พูดไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์หรือรู้และเข้าใจดี แต่พยายามพูดบิดเบือนสร้างเรื่องแบ่งแยกชนชั้น เพื่อสร้างความแตกแยกกันแน่ เพราะตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ ระบุว่า สมเด็จพระนเรศวร เสด็จสวรรคตในกระโจมหลวงหน้าเมืองตองอู ระหว่างที่พระองค์ทรงกรีฑาทัพไปทำศึกสงคราม 

ดังนั้น การที่นักการเมืองคนดังกล่าว ได้แสดงความเห็นออกมานั้น เป็นการพูดแบบไม่สนใจหลักฐานทางประวัติศาสตร์เลย 

ในประวัติศาสตร์ ยังพบว่า มีกษัตริย์ที่เสียชีวิตจากการออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหาร เช่น สมเด็จพระศรีสุริโยทัยอัครมเหสีในสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ที่สวรรคตจากการทำยุทธหัตถี (การสู้รบบนหลังช้าง) กับแม่ทัพพม่า ในงานราชการศึกป้องกันประเทศร่วมกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จนสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง 

นอกจากนี้ ยังมีวีรสตรี อีกหลายท่าน เช่น ท้าวสุรนารี (ย่าโม) ภรรยาพระยาสุริยเดช เจ้าเมืองนครราชสีมา ท้าวเทพกษัตรีท้าวศรีสุนทร ซึ่งแต่ละท่านต่างใช้เลือดเนื้อและชีวิต เพื่อปกป้องประเทศชาติร่วมกับทหารและประชาชนของพระองค์ ไม่มีแยกเจ้าไพร่นายบ่าว การด้อยค่าวีรบุรุษของชาติเพื่อชัยชนะทางการเมืองเป็นเรื่องไม่สมควรยิ่ง

ดร.หิมาลัย กล่าวด้วยว่า หากนักการเมืองคนนั้นไม่มีเวลาศึกษาประวัติศาสตร์ ตนอยากแนะนำให้ไปที่อุทยานราชภักดิ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต 7 พระองค์ ที่ทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ต่อประชาชนมาอย่างยาวนาน ประกอบด้วย...

1.พ่อขุนรามคำแหงมหาราช (สมัยกรุงสุโขทัย) ผู้สร้างความรุ่งเรืองให้ราชอาณาจักร และประดิษฐ์อักษรไทย
2.สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (สมัยกรุงศรีอยุธยา) ผู้กู้เอกราชจากพม่า สร้างประเทศเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
3.สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (สมัยกรุงศรีอยุธยา) ผู้เปิดประเทศขยายความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก เปิดรับวิทยาการสมัยใหม่จากตะวันตก
4.สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (สมัยกรุงธนบุรี) ผู้กอบกู้เอกราช สร้างความมั่นคง
5.พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ผู้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ สร้างบ้านเมืองเป็นปึกแผ่น
6.พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) บิดาแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ที่ทรง เปิดรับเอานวัตกรรมและวิทยาการสมัยใหม่ของตะวันตกมาใช้ในการ พัฒนาประเทศ
7. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ทรงปฏิรูปประเทศขนานใหญ่ ทั้งการปกครองการศึกษา การก่อสร้างสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และการนำพาประเทศไทยรอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ที่สำคัญคือการเลิกทาสโดยไม่เสียเลือดเนื้อ

“หากนักการเมืองคนนั้น เปิดใจรับรู้และศึกษาประวัตศาสตร์รากเหง้าของชาติตนเองอย่างถ่องแท้โดยไร้อคติ จะเห็นว่า สิ่งที่พูดให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์มาตลอดนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องที่บิดเบือน เป็นเรื่องที่นำไปสู่ความแตกแยกของคนในสังคม ควรหยุดพฤติกรรมดังกล่าวได้แล้ว