‘ภูมิใจไทย’ แจง!! เงินบริจาคถูกต้องตาม กม. ยัน!! ที่ผ่านมาแค่ 'ชูวิทย์' จินตนาการไปเอง

(22 มี.ค.66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และนายธนิต ศรีประเทศ อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หนึ่งในทีมกฎหมายพรรค ภท. ร่วมกันแถลงถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ยื่นต่อ กกต.ให้ยุบพรรคภท. อันเนื่องมาจากเงินบริจาคพรรคการเมือง ไม่เป็นไปตาม ม.72 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง

โดยนายศุภชัย กล่าวยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทย ทำถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ การบริจาคเงินให้พรรคการเมือง เป็นไปตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ได้กำหนดรายละเอียด ว่า ถ้าหากจะมีการดำเนินการใดๆ จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ที่แบ่งเป็นสองส่วนคือการบริจาคเงินจากบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ซึ่งเมื่อมีการบริจาคจากทั้ง 2 ส่วน ทางพรรคภท.ในฐานะเป็นผู้รับบริจาค จะต้องตรวจสอบว่า แหล่งที่มาของเงินถูกต้องหรือไม่ ซึ่งยืนยันว่าเราทำถูกต้องทุกประการ โดยยอดบริจาค ตั้งแต่ปี 2561 -ปัจจุบัน อยู่ที่ 355,033,639 บาท แบ่งเป็นปี 2561 จำนวน 10 ล้านบาท ปี 2562 จำนวน 161 ล้านบาท ปี2563 จำนวน 24,884,289 บาท ปี 2564 จำนวน 35,952,000 บาท ปี2565 จำนวน 123,197,350 บาท และปี2566 จำนวน 8,730,000 บาท โดยทั้งหมดบริจาคเป็นเงินสด รวมถึงมีบางส่วนที่บริจาคเป็นทรัพย์สิน ซึ่งต้องมีการลงทะเบียนแล้วแจ้งต่อ กกต. เพื่อประกาศต่อสาธารณะ และขอยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทย ทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

ด้านนายธนิต กล่าวยืนยันว่า การบริจาคของพรรคเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของกกต. รวมถึงมีระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้หมดแล้ว ที่พรรคการเมืองจะต้องพึงสังวร เนื่องจากที่ผ่านมามีหลายพรรคการเมือง โดนโทษจนถึงขั้นถูกยุบพรรค ขณะที่ขั้นตอนการบริจาคทั้ง ในส่วนของบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ได้กำหนดไว้ให้บริจาคไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะต้องมีหลักฐานยืนยัน อาทิ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือบริคณห์สนธิ (ตราสารที่ผู้เริ่มก่อตั้งบริษัทได้ตกลงร่วมกันจัดทำขึ้น) หนังสือลงนามมอบอำนาจต่างๆ ที่จะต้องรวบรวมแล้วส่งไปยัง กกต.ทั้งหมด อย่างไรก็ตามหลังจากส่งให้กกต.ตรวจแล้ว ก็จะต้องไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบในแง่ของนิติบุคคลอีกด้วย ทั้งนี้เงินบริจาคไม่สามารถนำไปใช้อย่างอื่นได้ ซึ่งจะต้องนำมาดำเนินการ เพื่อทำกิจกรรมทางการเมืองและการเลือกตั้งเท่านั้น

เมื่อถามว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มีการอ้างถึงความเชื่อมโยง พฤติการณ์นอมินีถือหุ้นแทนนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ภท. ในห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น เข้าข่ายความผิด มาตรา 72 แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่อาจนำไปสู่การยุบพรรคนั้น นายศุภชัย กล่าวว่า บริษัทดังกล่าว เป็นนิติบุคคล ทำธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง นายชูวิทย์ คงไปจินตนาการคิดเอา ตนขอชี้แจงว่าบริษัทฯ ดังกล่าวทำถูกต้องตามกฎหมายและแหล่งเงินที่เขาได้นำมาบริจาคนั้น มาจากการประกอบธุรกิจ พรรคมีหน้าที่ตรวจสอบให้ครบถ้วน ส่วนจะเป็นนอมินีใครนั้นทางพรรคภูมิใจไทยไม่มีหน้าที่เข้าไปพิจารณา ซึ่งตนขอยกตัวอย่าง

"สมมติว่านายชูวิทย์ ไปเปิดกิจการอาบอบนวดที่ได้รับอนุญาต ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต่อมาหากมีการกระทำผิดอย่างอื่น เช่น ค้าประเวณี หรือค้ามนุษย์ ในแง่ของพรรคการเมืองเมื่อได้รับเงินบริจาค ที่เขาจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีใบอนุญาตถูกต้อง ในแง่ของพรรคไม่มีเหตุผลที่จะต้องมองลึกไปขนาดนั้น ดังนั้นในกรณีนี้ถือว่าพรรคภท.ทำถูกต้องตามกฎหมาย เพราะได้มีการตรวจสอบสัญชาติ และตรวจสอบนิติบุคคลที่ไม่ใช่บุคคลที่ไม่ใช่สัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่ทำธุรกิจนอกราชอาณาจักร ไม่มีเหตุที่จะต้องทำให้ถูกยุบพรรคได้"นายศุภชัย กล่าว


ที่มา: https://www.thaipost.net/politics-news/346455/