ยุทธศาสตร์คานงัดเศรษฐกิจไทย 10 ล้านล้าน โอกาสที่ 'อาเซียน-จีน-ตะวันออกกลาง' พร้อมเสิร์ฟ

“...ปีนี้จะเป็นปีแห่งโอกาสในวิกฤติทางด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวของไทย...”

“…เราทำเงินจากโอกาสการค้าของไทยกว่า 10 ล้านล้านบาท ในตลาดอาเซียน-จีน-ตะวันออกกลาง...”

นี่คือคำกล่าวโดยนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ และอดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นภาคต่อ (ติดตามตอนแรก >> https://thestatestimes.com/post/2023031438) ในการฉายภาพเศรษฐกิจไทยที่กำลังพุ่งทะยาน โดยมีประชาธิปัตย์ทันสมัยเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนผ่านกระทรวงเกษตรฯ 

สำหรับในตอนล่าสุดนี้ นายอลงกรณ์ ได้พา THE STATES TIMES ไปโฟกัสถึงโอกาสขนาดใหญ่ที่ไทยกำลังปั้นให้เกิดเป็นผลลัพธ์จาก ตลาดอาเซียน-จีน-ตะวันออกกลาง ซึ่งเข้ามามีบทบาทต่อการเติบโตของภาคเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้...

ปลายปี 2565 ไทยเป็นเจ้าภาพในการประชุม APEC ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญและมีผลต่อเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคอาเซียนอย่างมาก รวมถึงการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย ในรอบ 30 ปี ถือเป็น 'ลมส่งท้าย' ถึงปีนี้ ซึ่งจะเป็นปีแห่งโอกาสในวิกฤติของไทยทางด้านการค้า, การลงทุน, การท่องเที่ยว

เริ่มต้นปีด้วยข่าวดี เมื่อจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายการควบคุมโควิดและเปิดประเทศในเดือนมกราคม

ทั้งนี้ภาคการเกษตรของไทยถือเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยพร้อมกับยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทย ภายใต้วิสัยทัศน์เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในประเทศ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการขับเคลื่อนการผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และนวัตกรรม องค์ความรู้ ศาสตร์พระราชาภูมิปัญญาไทยโดยจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) ทั้ง 77 จังหวัด และศูนย์ AIC ประเภทศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) อีก 23 ศูนย์ เมื่อ 1 มิถุนายน 2563 ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่สำคัญของการยกระดับอัพเกรดการพัฒนาประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 และยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตบนความร่วมมือระหว่าง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์กับ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ

สำหรับโอกาสการค้าการลงทุนของไทยในจีน-ตะวันออกกลาง และอาเซียน ประเทศไทยถือได้ว่ามีศักยภาพสูงโดยใช้จุดแข็งของไทยที่ขอเรียกว่า...

>> '8 ลมใต้ปีก' ช่วยผลักดันโอกาสของไทยและหุ้นส่วนเศรษฐกิจให้เดินหน้าสู่ความสำเร็จ ได้แก่...

1. การฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย 
- สร้างระเบียงเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Corridor) ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย อาเซียนและตะวันออกกลาง

2. รถไฟลาว-จีน เชื่อมไทย เชื่อมโลก 
- การพัฒนาโลจิสติกส์เชื่อมการขนส่งการค้า และการลงทุนของไทยไปยังตลาดทุกมณฑลในจีน อาเซียนตะวันออกกลาง เอเซียกลาง ยุโรป และอังกฤษเพราะการขนส่งสินค้าจะเร็วขึ้น ต้นทุนจะลดลง โดยเฉพาะอีสานเกตเวย์ และท่าเรือหวุ่งอ๋างเปิดเส้นทางสู่แปซิฟิก

3. 'ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค' (RCEP:Regional Comprehensive Economic Partnership)
- เป็นเขตการค้าเสรี (FTA) ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าไทยเหลือศูนย์ทันทีเกือบ 30,000 รายการ ใน 14 ประเทศที่ร่วมเป็น FTA Partner ของ RCEP เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2565 โดยมีสมาชิก 15 ประเทศรวมทั้งจีน และประเทศอาเซียนซึ่งผู้มีบทบาทสำคัญคือรองนายกรัฐมนตรีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีพาณิชย์และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นประธานการประชุมตั้งแต่ต้นจนบรรลุข้อตกลงRCEP

4. มินิ-เอฟทีเอ (Mini-FTA)
- เป็นกลยุทธ์ใหม่เพิ่มโอกาสความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนเปิดตลาดเมืองรองในประเทศต่างๆ ปูทางสร้างโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย โดยรัฐมนตรีพาณิชย์เดินหน้าเชื่อมสัมพันธ์กับเมืองต่างๆในหลายประเทศ เช่น ไห่หนาน, กานซู และเสิ่นเจิ้นของจีน / เมืองโคฟุของญี่ปุ่น / เมืองเตลังกานาของอินเดีย และปูซานของเกาหลีใต้ เป็นต้น

5. FTA และการเปิดเจรจา FTA รอบใหม่ 
- ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่มีผลบังคับใช้แล้วถึง 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ ทำให้ไทยมีศักยภาพในการเป็นจุดหมายการลงทุนและการค้า รวมทั้งการเปิดเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป อังกฤษ EFTA และ UAE

6. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
- เป็นอีกปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญต่อการค้าการลงทุนในการสร้างศักยภาพเศรษฐกิจ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น โครงการรถไฟสี่รางทางคู่ โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 โครงการทางหลวงระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์)

7. ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ที่ช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรง (FDI) จากต่างประเทศ  
- ล่าสุดทางการตั้งเป้าหมายลงทุนใน EEC ระยะที่ 2 ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2565-2569) วงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะแรกที่ตั้งเป้าไว้ 1.7 ล้านล้านบาท (2561-2564

8. ฐานการค้าการลงทุนใหม่ 18 กลุ่มจังหวัด 
- คณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.) ร่วมมือกันเดินหน้าโครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารเพื่อกระจายการลงทุนกระจายฐานเศรษฐกิจใน 18 กลุ่มจังหวัดครอบคลุม 77  จังหวัด จะมีนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศจากจีน อาเซียน ตะวันออกกลางและอีกหลายประเทศมาร่วมลงทุนในโครงการนี้ เช่น นิคมอุตสาหกรรมเมืองอุดรฯ ในกลุ่มอีสานตอนบน และโครงการเพชรบุรีฟู้ดวัลเลย์ในกลุ่มภาคกลางตอนล่าง ตอบโจทย์ปัญหาความไม่มั่นคงทางอาหาร (Food Security) ของโลก

>> สำหรับการค้าระหว่างไทย-จีนนั้น 
ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 14 ของจีน จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 รวมทั้งยังเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 โดยในปี 2565 มูลค่าการค้า ไทย-จีน 134,997.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จีนนำเข้าจากไทย 56,517.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 8.6 จีนส่งออกไปไทย 78,479.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 สินค้าสำคัญที่ไทยชงส่งออกจีน ได้แก่ เครื่องจักร ผัก ผลไม้และธัญพืช ยางพารา พลาสติก ไม้ น้ำตาล และอลูมิเนียม ด้านปศุสัตว์ ส่งออกเนื้อไก่และผลพลอยได้มากที่สุด จำนวน 84,653 ตัน คิดเป็นมูลค่า 13,223 ล้านบาท ซึ่งจีนมีความต้องการสูง

>> ทางด้านการค้าอาเซียน  
สินค้าส่งออกหลักของไทยที่สำคัญ คือ น้ำมันสำเร็จรูป รถยนต์ และส่วนประกอบอัญมณีและเครื่องประดับมูลค่าการค้าในปี 2565 รวม 4,351,095.32 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 23.9 % มูลค่าส่งออก 2,490,999.09 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 21.33 % มูลค่าการนำเข้า 1,860,096.23 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 27.52 % ด้านปศุสัตว์ ไทยเป็นประเทศชั้นนำในการผลิตผลิตภัณฑ์นมของกลุ่มอาเซียน สินค้าส่งออกหลัก คือ ผลิตภัณฑ์นม รองลงมาคือ เนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ ปริมาณส่งออก 196,578 ตัน คิดเป็นมูลค่า 21,444 ล้านบาท ประเทศผู้นำเข้าสำคัญของผลิตภัณฑ์นม คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ส่วนเนื้อไก่ คือ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งถือเป็นตลาดสินค้าปศุสัตว์ฮาลาลที่สำคัญ และเมื่อปลายปี 2565 สามารถส่งออกเพิ่มขึ้นในประเทศบูรไน และเปิดตลาดสัตว์ปีกไปยัง อินโดนีเซียประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลกและฟิลิปปินส์ด้วย

ในส่วนของการค้าตะวันออกกลาง มูลค่าการค้าปี 2565 รวม 1,581,812.29 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 61 % มูลค่าส่งออก 380,029.01 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 35.57 % มูลค่าการนำเข้า 1,201,783.28 ล้านบาท อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 71.16 % สินค้าส่งออกหลักสำคัญ ได้แก่ 1. รถยนต์และส่วนประกอบ 2. เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ 3.ไม้และผลิตภัณฑ์ 4. ข้าว และ 5. ผลิตภัณฑ์ยาง ด้านการส่งออกเนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ ส่งออก 7,291.97 ตัน มูลค่า 717.34 ล้านบาท

>> เมื่อรวมการค้าของไทยในตลาดอาเซียน-จีน-ตะวันออกกลาง จะมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท และจะขยายตัวเติบโตยิ่งขึ้นด้วย '8 ลมใต้ปีก' เสมือนเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนหรือคานงัดเศรษฐกิจสู่ความสำเร็จและเป้าหมายใหม่ของไทย


ที่มา: การบรรยายพิเศษของนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ในหัวข้อ :ศักยภาพและโอกาสการค้าการลงทุนของไทยในจีน-ตะวันออกกลางและอาเซียน' ในงานสัมมนาธุรกิจ & Business Talk ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน เมื่อเร็วๆ นี้