เรื่องรักนักเรียนนายร้อย ตอนที่ 7 ได้อย่าง…เสียอย่าง

>> เล่าเรื่องนักเรียนนายร้อย 
ในช่วงเทอมที่เป็นการฝึกวิชาทหาร มีวิชาที่นักเรียนนายร้อยจะเรียนเพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการรับราชการในอนาคต และเป็นเครื่องหมายที่ติดตัวไปตลอดชีวิต คือการฝึกหลักสูตรกระโดดร่ม ในตอนปลายปีชั้นปีที่ 3 อีกหลักสูตรคือการฝึกเป็นผู้นำหน่วยทหาร หรือจู่โจมซึ่งจะฝึกในปลายปีชั้นปีที่ 4

>> ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว 
กรกฎและจ้ำได้ไปหาเขมมิกาและสาวิตรีที่วิทยาลัย จากนั้นก็ได้ไปทานข้าวด้วยกัน กรกฎรู้สึกมีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่า…สุเทวาดันรู้ข่าวเข้า ก็เลยอยากจะพาเขมิกาไปดูหนังบ้าง แถมยังเดินมาบอกกันซึ่งๆ หน้าอีก แบบนี้…เปิดฉากท้ารบชัดๆ

เมื่อสุเทวาบอกแบบนั้น การแข่งขันเพื่อยึดครองที่ว่างในหัวใจของเขมิกาเริ่มขึ้น และก็เป็นอย่างที่เขาพูดไว้ สุเทวาได้พาเขมิกาไปดูหนังที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว แล้วกลับมาเล่าเรื่องไปดูหนังกับเขมิกาให้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนฟัง

สัปดาห์ต่อมา
ที่โรงเรียนมีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ของชมรมที่ทำร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลทุกเหล่า กิจกรรมคือ การไปเลี้ยงอาหารเด็กที่บ้านมุทิตาแถวๆ สมุทรปราการ กรกฎได้พบกับเขมิกาอีกครั้ง และไปทำกิจกรรมร่วมกัน (คือไปเลี้ยงอาหารเด็กนะครับ ผู้อ่านอย่าคิดเป็นอย่างอื่น) กรกฎชอบนะที่ได้เห็นแววตาและรอยยิ้มของเขมิกา เวลาที่เธอตักอาหารให้เด็ก

และสุเทวาก็ไม่พลาด พอรู้เรื่องที่กรกฎได้อยู่กับเขมิกา เมื่อเจอกับกรกฎก็รีบเข้ามาบอกทันที

“...อาทิตย์หน้า ผมจะชวนเขมิกาไปเที่ยวเทค เดอะพาเลซ…”

เป็นความเหมือนที่แตกต่าง ระหว่าง กรกฎและสุเทวานั้นก็คือ กรกฎชวนเขมิกาไปทำบุญ แต่สุเทวาชวนไปเที่ยว เขมิกาก็มีมารยาทซะเหลือเกิด เธอไม่ได้ปฏิเสธในน้ำใจของทั้งสองคน และเลือกที่จะไปกับทั้งสองคน แบบว่าไม่เลือกใครให้ชัดเจน

มิวสิค “...ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง เลือกเดินบนทางสักทางได้ไหม เลือกมาว่าจะรักใครก็อยากให้เธอตัดใจเสียที...”

ผู้อ่านพอจะจำรุ่นพี่ปี 2 ที่พาเขมิกามางานกีฬาเหล่าได้ไหม พี่คนนี้ชื่อ ‘จามินทร์’ ตอนนี้อยู่ชั้นปีที่ 4 แล้ว

จามินทร์รู้ว่า กรกฎ กับสุเทวา แย่งสาวคนเดียวกัน และก็เป็นคนเดียวกับที่เขาเคยพามาในงานกีฬาเหล่า 
ก็เลยเข้ามาคุยกบกรกฎ

“พี่เห็น น้องกับสุเทวา ขัดแย้งกันเรื่องเขมิกา พี่ว่าเป็นเพื่อนกันไม่น่าจะขัดแย้งเพราะผู้หญิงคนเดียวนะ พี่รู้จักน้องเขมิกาดีเพราะเคยทำงานชมรมค่ายอาสาด้วยกัน น้องเขาเป็นคนน่ารักอัธยาศัยดี พี่ยังชอบเลย” 

กรกฎฟังที่จามินทร์พูดก็หน้าเจื่อนลง คิดในใจ เจอคู่แข่งอีกแล้ว แต่เหมือนจามินทร์จะรู้ตัว เขาจึงหยุดไปนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ 

“ชอบในฐานะพี่น้องนะ อย่าคิดมากน่า” พูดจบจามินทร์ก็ตบที่ไหล่ของกรกฎเบาๆ

อย่างที่เคยเล่าไว้ว่าเวลาผ่านไป 3 ปี รัฐบาลและทหารที่เดินขนานกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง สายใยที่เคยผูกพันก็ขาดสะบั้นลงเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 เกิดการปฏิวัติในนาม รสช. ที่เล่าให้ฟังคือแค่เปรียบเทียบช่วงเวลาเท่านั้นครับ

ในช่วงนั้นผมเรียนปี 3 แล้วและกำลังจะขึ้นปี 4 ผมต้องไปเรียนที่ลพบุรีในหลักสูตรกระโดดร่ม การเรียนเป็นระยะเวลาประมาณเดือนกว่าๆ 

ส่วนกรกฎก็ส่งจดหมายไปขอกำลังใจจากเขมิกา โดยได้ส่งรูปหล่อๆ ของเขาในชุดฝึกใส่หมวกเหล็ก ติดร่มที่ด้านหลังไปให้เธอด้วย

ส่วนเขมิกาก็ส่งรูปกลับมาเป็นรูปถ่ายคู่ในงานกิจกรรมวันเลี้ยงเด็กที่บ้านมุทิตา และพร้อมอวยพรให้กำลังใจ…กรกฎมีความสุขและมีกำลังใจมาก 

อ่าา…ผมไม่ได้เล่าถึงจ้ำเลย ผู้อ่านน่าจะคิดถึงกันพอสมควร

จ้ำนั้นมีความสุขกับสาวิตรี แบบสบายๆ ไร้คู่แข่ง ทั้งสองคิดไกลและวางแผนอนาคตร่วมกันว่าหลังจากสาวิตรีจบแล้ว 1 ปีก็พอดีที่จ้ำจบแล้วและจะแต่งงานกัน (นักศึกษาพยาบาลเรียน 4 ปี ส่วนนักเรียนนายร้อยเรียน 5 ปีครับ)

ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่พวกเราผ่านการฝึกหลักสูตรกระโดดร่มและปลอดภัยทุกคน

ตอนเย็นของวันที่ 5 ธันวาคม 2534 นักเรียนนายร้อยและนักเรียนพยาบาลทั้งสี่เหล่า ได้รับภารกิจให้แต่งชุดสีขาวมาร่วมพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ท้องสนามหลวง

กรกฎได้พบกับเขมิกาอีกครั้ง เขาได้ขอถ่ายรูปคู่ด้วยกัน กรกฎรู้สึกว่าวันนี้เขมิกาดูสวยเด่นกว่าทุกวัน (วันปกติก็สวยอยู่แล้ว) เพราะชุดสีขาวที่เธอสวมใส่นั้น ส่งให้เธอมีออร่าความสวยมากขึ้นกว่าเดิม เธอถือลูกโป่งสวรรค์สีเหลือง และเมื่อถูกเพื่อนๆ แซวตอนกรกฎไปขอถ่ายรูป แก้มของเธอแดงมากเหมือนลูกตำลึงสุก (เปรียบเปรยเป็นคำโบราณหน่อย) 

ขณะเดียวกัน สุเทวา ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ก็ขอไปถ่ายรูปด้วย ทำเอาเพื่อนๆ งงไปตามๆ กัน ว่า ‘เธอจะเลือกคนที่รักหรือจะเลือกคนที่รักเธอเสมอ....’

แต่เชื่อไหมว่า…แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี แต่กรกฎเล่าให้ผมฟังว่า เขาจำวันนี้ได้แม่นยำราวกับเหตุการณ์เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน เพราะว่า เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้พบกับเขมิกาในใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม..

เพราะหลังจากนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

โปรดติดตามตอนต่อไป...


เรื่องโดย พลตรี อภิสิทธิ์ บุศยารัศมี


หมายเหตุ : เรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องแต่งขึ้น เพื่อความสนุกสนานสำหรับผู้อ่านเท่านั้น ไม่มีเจตนาลบหลู่หรือหมิ่นประมาทผู้หนึ่งผู้ใด