ปฏิเสธไม่ได้ว่าในห้วงที่ผ่านมาประเทศไทยมีประเด็นสาธารณะเกิดขึ้นกับปรากฏการณ์ เดี่ยวไมโครโฟน โน้ส อุดม ถึง นักร้อง ศรีสุวรรณ จรรยา ที่กลายเป็นกระแสดรามาและสะท้อนถึงปัญหาในสังคมยุคปัจจุบัน  

ซึ่งเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดเสวนาพิเศษ “ถอดบทเรียน…ปรากฏการณ์ โน้ส อุดม ถึง ศรีสุวรรณ” ณ ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เพื่อถอดบทเรียนในครั้งนี้ ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้ร่วมฟังโดยมีความคิดเห็นในหลายมุมมองที่น่าสนใจดังนี้

องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. ได้แสดงความคิดเห็นในกรณีของคุณโน้ส อุดม ว่าเป็นการแสดง Talk Show จุดมุ่งหมายก็คือทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนานไปกับสิ่งที่เค้าพูด แต่อยู่ที่คนดูว่ารู้สึกอย่างไร บางคนก็สนุกสนาน ขำไปด้วย บางคนก็อาจไม่ขำ ไม่พอใจ มีมากมายหลายความรู้สึก หรือจนถึงกรณีของคุณศรีสุวรรณ สมมุติถ้าเราไม่เอ่ยชื่อสองคนนี้เลยเอาเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมมองเหตุการณ์ครั้งนี้อยู่หลายประเด็น ประเด็นแรก ประเทศของเราปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพระดับหนึ่งภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย เราต้องมองในกรณีของคุณโน้สอุดม หรือคุณศรีสุวรรณ ทั้งคู่ได้แสดงออกภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในการดำเนินการในการกระทำ ส่วนใครจะชอบไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง 

ประการที่สอง การแสดงออกของใครก็ตามภายใต้สิทธิเสรีภาพที่มีอยู่ ในกรณีที่ท่านไม่ชอบและเห็นว่าการแสดงออกของเค้าไม่ถูกต้องท่านก็มีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ได้เช่นเดียวกัน ถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของท่าน หรือถ้าท่านเห็นว่าสิ่งที่เค้าแสดงออกมันผิดกฎหมายท่านก็มีสิทธิใช้กระบวนการทางกฎหมายได้เช่นกัน ประการที่สาม ผมเห็นมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นปรากฏว่ามีคนในสังคมเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในการใช้ความรุนแรง จริงๆ แล้วความรุนแรงไม่ได้มีเฉพาะการกระทำต่อร่างกายแต่มีการกระทำต่อจิตใจอีกด้วย เราจึงไม่ควรใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา 

ส่วนปู จิตกร บุษบา นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง  แสดงความเห็นว่า สังคมไทยกำลังมีปัญหา ต้นเหตุของมันจริงๆ เริ่มจากหลายสิบปีมานี้การเมืองไทยได้สุมไฟให้คน และปีนี้เป็นช่วงที่คนมีจุดเดือดต่ำ เพราะถูกสะสมมายาวนาน การต่อสู้ทางการเมืองได้ติดตั้งอาวุธนี้ให้กับสังคม  ปรากฏการณ์ โน้ส อุดม ถึงศรีสุวรรณ เป็นหลักฐานสำคัญมีสาเหตุหลายประการ ประการแรก ผู้คนขาดความมั่นคงทางอารมณ์ หรือวุฒิภาวะทางอารมณ์ ไม่สามารถเผชิญในสิ่งที่ไม่ถูกใจได้ อารมณ์จะขึ้นทันทีและไม่สามารถควบคุมระดับอารมณ์ของตัวเองได้ ขาดความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง 

ประการที่สอง ความสามารถในการจำแนกแยกแยะ เช่น เดี่ยวไมโครโฟน เป็นการแสดงโชว์ด้วยการพูด ประเภทล้อเลียน เสียดสี เพื่อให้ตลกขบขัน ไม่ได้มีเจตนาแสดงโชว์เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือ แสดงการปาฐกถา ผู้คนจำนวนไม่น้อยสูญเสียกระบวนแยกแยะ สิ่งนี้คือโชว์ชนิดหนึ่งเราก็จะวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะที่เป็นการแสดงโชว์ว่าเป็นโชว์ที่เป็นประโยชน์สาธารณะหรือไม่ เรา สามารถนำโชว์นี้เป็นสารตั้งต้นเป็นรากฐานที่เป็นประโยชน์ยิ่งกว่า เช่น ถ้าเรามองว่าโน้ส อุดม ยังแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีไม่สมบูรณ์ ทำไมเราไม่ทำให้สมบูรณ์ล่ะ 

และประการที่สาม ความสามารถในการเลือกเครื่องมือเผชิญกับสถานการณ์ กลับกลายเป็นความรุนแรงที่เป็นเครื่องมือหยิบมาใช้และกลายเป็นสิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งสนับสนุนเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด 

ส่วนณัฐชัย มาไชยนาม นักกฎหมายคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นว่า ต้องหาสาเหตุของเรื่องทั้งหมดทั้งสองกรณีก่อน เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากการพูด ถามว่าประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้หรือไม่ สามารถวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความสุจริตได้ตามกรอบของกฎหมาย  

จากคำถามประเทศไทยจะเดินไปทางไหนเพราะกระบวนการแตกแยกเดินมาเป็น 10 ปี กฎหมายควรใช้อย่างไร สื่อมวลชนควรทำอย่างไรเพื่อไม่ให้สังคมบิดเบี้ยวไปกว่านี้ 

ปู จิตกร บุษบา กล่าวว่า ต้องบำบัดเป็นองค์รวมคำถามแรกต้องถามว่าผู้คนโตมากับครอบครัวแบบไหน มีภูมิคุ้มกันจากครอบครัวอย่างไร สถาบันครอบครัวล่มสลายมาก และจะมาโทษโรงเรียน โรงเรียนเป็นเพียงกระดาษทรายคอยขัดเกลา ทุกภาคส่วนในสังคมจึงต้องทำงานร่วมกัน จริงๆต้องถามว่าเรื่องนี้เกิดจากสารตั้งต้นอะไร องค์ประกอบอะไรนำมาสู่วิกฤต ซึ่งเกิดจากหลายองค์ประกอบรวมกันถึงปะทุ หาเชื้อการเกิดจากวิกฤตให้เจอ วิกฤตความเกลียดชังของคนในสังคม จนนำมาสู่การเลือกใช้ความรุนแรง ทุกอย่างนับหนึ่งที่ทัศนคติ ซึ่งถูกหล่อหลอมจนตกตะกอน และเป็นกลไกที่อยู่ในอารมณ์ของคนๆหนึ่ง ทุกส่วนต้องช่วยกันการเมืองต้องเป็นแบบอย่างในการโต้ตอบด้วยข้อมูลและเหตุผล  และสื่อมวลชนต้องเป็นแบบอย่างแยกแยะ คนดูให้เห็นเลยว่า อันนี้เรียกว่าข้อเท็จจริง อันนี้เรียกว่าข้อกฎหมาย อันนี้เรียกว่าความรู้สึก อันนี้เรียกว่าทัศนคติ เพื่อให้คนดูตามข้อเท็จจริงและเข้าใจได้อย่างชัดเจน 

ส่วนณัฐชัย มาไชยนาม กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาเราพูดกันถึงเรื่องมาตรฐานทางกฎหมาย ซึ่งมีหลายฝ่ายกล่าวอ้างกันว่ามีการใช้กฎหมายสองมาตรฐานเลือกปฏิบัติ วิกฤตในครั้งนี้ผมคิดว่าเกิดจากความศรัทธาด้านกฎหมาย เหตุที่ลุงท่านหนึ่งไปต่อยคุณศรีสุวรรณ เป็นเหตุที่ฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านกฎหมายหรือไม่ เลยเลือกวิธีเหนือกฎหมาย แล้วสังคมเรายอมรับได้หรือไม่ ถ้าเรายอมรับในจุดนี้ว่ากฎหมายทำให้เกิดข้อขัดแย้งในสังคม เราต้องหาวิธีแก้กฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย

จากคำถามเราจะมีวิธีแก้ปัญหาทัศนคติเชิงลบของคนในสังคมได้อย่างไร

องอาจ คล้ามไพบูลย์ กล่าวว่า ทัศนคติไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียงวันสองวัน คนเราเกิดมาบนโลกเรายังไม่มีทัศนคติเชิงบวกหรือเชิงลบ ถ้าเป็นผ้าก็ยังเป็นผ้าสีขาวอยู่ อยู่ที่ว่าเราเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมสีอะไร  ถูกหล่อหลอมมาเป็นอย่างไร พื้นฐานสำคัญคือครอบครัว และสังคมที่กว้างกว่าครอบครัวไปเรื่อย ๆ บ้านเมืองเราก็พยายามพัฒนาสังคมที่มีคุณภาพเป็นไปตามคาดหวัง แต่แน่นอนว่ายังไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้มันต้องมีการปรับเปลี่ยนสังคมในเชิงโครงสร้างบางเรื่อง เพื่อให้สังคมคุณภาพเกิดขึ้นได้จริง ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น แต่ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในขณะนี้ เราเป็นผู้มีบทบาทในสังคมยุคโซเชียลมีเดียเราต้องพยายามให้ทัศนคติที่ถูกต้องเกิดขึ้นในสังคมนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

และจากปัญหานี้ในความเป็นนักการเมืองเราจะต้องทำอย่างไร องอาจกล่าวว่า “เราต้องพร้อมที่จะรับฟังความเห็นที่แตกต่าง ถ้าเราต้องการสื่อสารหรือกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม หรือเราจะสื่อสารหรือรับสารอะไรก็ตามปัจจุบันทุกคนเป็นบุคคลสาธารณะไปแล้ว สามารถถูกวิจารณ์หรือวิพากษ์วิจารณ์ผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆได้ เราต้องดำเนินการบนพื้นฐานของความรู้ ไม่ใช่บนพื้นฐานของความรู้สึก เราอยู่ในสังคมที่พยายามไม่ใช้ความรู้แต่ใช้ความรู้สึกมากกว่า เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่อยากให้สังคมเป็นแบบนี้ เราก็ต้องพยายามสร้างสังคมที่มีองค์ความรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อลดความรู้สึกลง ตรงนี้น่าจะเป็นหัวใจสำคัญ”

โดยสรุปการถอดบทเรียนจากวงเสวนา ปู จิตกร บุษบา แสดงความเห็นว่า เราต้องสร้างความมนุษย์ให้เกิดขึ้นก่อน เพราะความเป็นเพื่อนมนุษย์จะมีทักษะที่ทำให้เรื่องบางเรื่องคลี่คลายได้ ด้วยการพูดคุย ด้วยการเป็นเพื่อน และต้องหาคำตอบให้เจอในองค์ประกอบความเป็นมนุษย์ของแต่ละคน ต้องหาความจริงให้เจอก่อน ในความเป็นเพื่อนมนุษย์คุณยอมให้เพื่อนอีกคนคิดไม่เหมือนคุณได้หรือไม่ คุณยอมให้อีกคนหนึ่งทำในสิ่งที่คุณไม่ทำได้ไหมแล้วมาพูดคุยกันว่าดีไม่ดีอย่างไร ปัญหาเริ่มที่ตัวเราต้องกลับมาดูตัวเราต้องมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีสติ มีความรู้ ปราศจากอคติ ความเคารพซึ่งกันและกันในสังคมกำลังหายไป ทั้งหมดมาจากพื้นฐานอารมณ์ส่วนบุคคลเป็นส่วนใหญ่ เราต้องถกเถียงกันที่ตัวประเด็นแต่ตอนนี้เป็นการถกเถียงกันที่ตัวบุคคล สติไม่มาแต่อคติมา ความรู้ไม่มาแต่ความรู้สึกมา ตัวประเด็นไม่มาแต่ตัวบุคคลมา ทุกอย่างจึงบิดเบี้ยวไปหมดในสิ่งที่ควรจะเป็น 

เราต้องกลับไปสร้างสารตั้งต้นของตัวเองในทางบวก อารมณ์ทางบวกมีสติปลอดอคติ อย่าให้อคติมาก่อนความรู้เรากำลังถกเถียงกันเรื่องการเมือง เรามีเชื้อโกรธเกลียดและแยกกันเพราะการเมือง จึงเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองและนักการเมืองที่จะต้องเป็นตัวอย่างในการมีสติและมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ เคารพข้อเท็จจริง และใช้ความรู้ พรรคการเมืองต้องไม่มักง่ายในการเข้าสู่อำนาจ แต่จงแข่งขันกันด้วยความสามารถ บุคลากร อุดมการณ์ แนวนโยบายที่นำไปสู่การแก้ปัญหาของประเทศชาติประชาชน ซึ่งจะเกิดขึ้นยากถ้าทัศนคติของคนยังไม่ถูกซ่อมแซม