'Café La Habana' แห่งกรุงเม็กซิโกซิตี้ คาเฟ่อายุกว่า 70 ปี ที่คนยังนิยมจนถึงปัจจุบัน

กรุงเม็กซิโกซิตี้ (Ciudad de Mexico หรือชื่อย่อคือ CDMX) คือเมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก (Mexico) ซึ่งตั้งอยู่ตอนล่างสุดของทวีปอเมริกาเหนือ (North America) แต่คนมักเข้าใจผิด คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของทวีปอเมริกากลาง (Central America) เพราะมีประวัติศาสตร์ร่วมและมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับประเทศในอเมริกากลางมากกว่านั่นเอง 

นับตั้งแต่การค้นพบร่องรอยทางโบราณคดีและบันทึกทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะช่วงที่ชาติตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสเปนเข้ายึดครองตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มาจนถึงปัจจุบันนั้น กรุงเม็กซิโกซิตี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโดยตลอด ผ่านช่วงขาขึ้นและขาลงนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากสงครามที่มนุษย์ด้วยกันก่อขึ้น และจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นดินไหวรุนแรงหลายครั้งด้วย 

ปัจจุบันนี้กรุงเม็กซิโกซิตี้นับเป็นเมืองที่สุดแสนจะไฉไลและน่าอยู่เป็นอย่างมาก และยังถือเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยอาณาเขตเมืองกินบริเวณกว้างหลายสิบตารางกิโลเมตร ประชากรในเมืองนี้และเมืองแถบปริมณฑลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถิติในปีค.ศ. 2022 ระบุว่ามีมากกว่า 22 ล้านคน 

นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐยังได้พัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุม และมีราคาค่าโดยสารที่ประชากรในเมืองเอื้อมถึง มีการจัดทำทางจักรยานโดยเฉพาะ สวนหย่อมและสวนสาธารณะมากมาย เป็นพื้นที่ส่วนรวม ผู้คนสามารถออกมาผ่อนคลายได้ ทุกวันอาทิตย์มีการปิดถนนย่านใจกลางเมืองเพื่อให้คนออกมาวิ่ง ปั่นจักรยาน พาสัตว์เลี้ยงมาเดินหรือวิ่งออกกำลังกาย และเนื่องจากตั้งอยู่ที่ความสูงราวสองพันเมตรจากระดับน้ำทะเล ดังนั้นสภาพอากาศจึงเย็นสบายทั้งปี ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไปอีกด้วย

ร้านรวง ร้านกาแฟ ร้านอาหารมากมายดาษดื่นกระจายตัวทุกมุมเมืองตามแบบฉบับเมืองใหญ่ มีหนึ่งร้านในนั้นที่อยู่ยงคงกระพันมา 70 ปี และยังคงได้รับความนิยมจนทุกวันนี้ คือคาเฟ่ลาฮาบานา (Café La Habana) เปิดดำเนินกิจการเมื่อปี 1952 ตั้งอยู่ตรงมุมซึ่งถนนบูคาเรลี (Bucareli Street) ตัดกับถนนโมราเลส (Morales Street) อันขวักไขว่

สถานที่แห่งนี้มีองค์ประกอบร่วมของพลังงานแตกต่าง อาจเรียกว่าคือสองขั้วตรงข้าม แต่ผสมกลมกลืนในที่เดียวกันได้อย่างน่าประหลาด 

หนึ่ง คือความเคลื่อนไหวว่องไวกระฉับกระเฉงของพนักงานหลายวัย ลุงผู้จัดการรับรายชื่อลูกค้าที่รออยู่หน้าร้าน แล้วประสานกับข้างในว่ามีตรงไหนว่างแล้วบ้าง บาริสต้ามือเป็นระวิงชงกาแฟตามออร์เดอร์แทบไม่ทัน คนครัวเร่งมือทำอาหารจากเตาลงจานชาม คนทำหน้าที่เสิร์ฟเทินถาดเดินกันคล่องแคล่ว ประหนึ่งพลังงานล้นหลามของวัยรุ่นไฮเปอร์คนหนึ่ง ซึ่งชีวิตกำลังเหมือนดอกไม้บานสะพรั่งและพร้อมพุ่งทะยานสู่อนาคต และแม้งานจะพัวพันยุ่งเหยิง แต่ก็สังเกตเห็นได้ว่าพนักงานทั้งหลายยังยิ้มแย้มแจ่มใส (ใต้หนากากสีดำแห่งยุคโควิดที่ใส่อยู่ก็ยังเห็นรอยยิ้มเหล่านั้นได้) พร้อมถามไถ่ลูกค้า “Todo bien?” (หมายถึงทุกอย่างโอเคไหม)

ส่วนอีกขั้ว คือความเก่าแก่ประหนึ่งกาลเวลาถูกแช่แข็งไว้ นาฬิกาหยุดเดินแล้วหรือไรในคาเฟ่แห่งนี้ มันเป็นอย่างไรเมื่อครั้งขณะเมื่อเริ่มเปิดร้าน ก็ยังคงเป็นแบบนั้น ณ ขณะนี้ อายุมันเทียบเท่าคุณปู่หลังค่อมผู้ซึ่งรอคอยเวลาหลับใหลในนิรันดร์กาล ดีไซน์ภายนอกภายในสวยคลาสสิก ทั้งโทนสีและแสง ภาพติดผนัง กระเบื้องปูพื้น โต๊ะ เก้าอี้ พัดลมเพดาน (สิ่งแปลกปลอมไม่เข้าพวกที่สุดคือเจ้าโทรทัศน์บนผนัง) เครื่องคั่วกาแฟรุ่นไหนไม่อาจคาดเดาได้ อาจจะผลิตก่อนสงครามโลกครั้งที่สองกระมัง ส่วนเครื่องชงกาแฟสุดแสนจะวินเทจยี่ห้อ President ผลิตโดยบริษัทสัญชาติอิตาเลี่ยน Faema ดูแข็งแรงทนทานและมีสไตล์มาก

เข้ามาในร้านนี้แล้วเหมือนกำลังหลุดเข้าไปในฉากหนังย้อนยุคซึ่งตัวลูกค้าเองเป็นตัวละครหนึ่งในนั้นที่กำลังสวมบทบาทอยู่ แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป แต่คาเฟ่ลาฮาบานาพิสูจน์ให้เห็นว่าการคงไว้ซึ่งสิ่งเดิมๆ นั้น กลายเป็นจุดขายสำคัญได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ที่เทรนด์มาอย่างไรคนก็ไหลไปทำตามๆ กัน คาเฟ่ต่างๆ จึงออกมาหน้าตาคล้ายกันราวกับแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน เมนูกาแฟของที่นี่นั้นอย่าว่าแต่จะ second wave เลย แม้ปัจจุบันกาแฟจะผ่านเข้าสู่ third wave/ forth wave ซึ่งองค์ความรู้กับนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งเรื่องการผลิต แปรรูป การคั่ว การสกัดกาแฟเพิ่มพูนมหาศาล จนแทบจะเรียกว่าเรื่องกาแฟกลายเป็นเรื่องของศาสตร์มากกว่าศิลป์ไปแล้วด้วยซ้ำนั้น คาเฟ่แห่งนี้ยังคงความ old school ไว้อย่างเหนียวแน่น ช็อตเอสเปรสโซ่ยังเข้มขม ไร้ acidity โปร่งหรือโทนผลไม้ใดๆ หลงเหลือ ใส่นมอุ่นลงไปจึงตัดกันได้พอดีโดยไม่ต้องเติมน้ำตาลช่วย ใครไม่ชอบกาแฟก็สามารถสั่งเครื่องดื่มไร้คาเฟอีนอย่างน้ำผลไม้คั้นสดหรือโกโก้ร้อนมาดื่มแทนก็ได้ ส่วนเมนูอาหารที่สามารถเลือกมาทานนั้นดูเหมือนจะหลากหลายเสียยิ่งกว่าเมนูเครื่องดื่มเสียอีก 

ลูกค้าเข้ามาอุดหนุนกันเนืองแน่นทุกวัน ส่วนหนึ่งเพราะสถานที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ด้านการเมืองเข้ามาร่วมด้วย Che Guevara และ Fidel Castro เคยพากันมานั่งจิบกาแฟ สูบซิการ์มวนโตควันโขมง ถกและเตรียมกันเรื่องการปฏิวัติคิวบา ณ สถานที่แห่งนี้หลายครั้ง

นอกจากนั้น มันยังเป็นสถานที่ทำงานของพวกนักคิดนักเขียนนักข่าวทั้งหลายด้วย เพราะคาเฟ่นี้อยู่ไม่ห่างนักจากสำนักพิมพ์และสำนักงานของหนังสือพิมพ์หลายฉบับนั่นเอง 

หลายคนมาที่นี่เพื่อตามรอยประวัติศาสตร์ เก็บสิ่งนี้ลงไปใน 'กล่องประสบการณ์' ของตนเอง รวมถึงผมเองด้วยเช่นกัน การรับประสบการณ์ตรงแบบนี้นอกจากช่วยให้ได้ไอเดียใหม่ๆ แล้ว เผื่อ / เพื่อต่อยอดสิ่งที่กำลังทำอยู่ ยังเป็นการซึมซับแรงบันดาลใจ แล้วส่งต่อออกไปในวงกว้างขึ้นได้ด้วย

หวังว่าคาเฟ่ลาฮาบานาจะอยู่คู่กรุงเม็กซิโกซิตี้ไปอีกนานแสนนาน

ปล. ค่าอาหารเช้ามื้อนี้ 122 เปโซ + ทิปพนักงาน 18 เปโซ รวม 140 เปโซ หรือราวๆ 250 บาทครับ


👍 ติดตามผลงาน อาจารย์สว่าง ทองดี เพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/author/สว่าง%20ทองดี