(5 ต.ค. 65) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STATES TIMES กรณี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แนะนำให้ใช้วิทยุทรานซิสเตอร์ในการออกอากาศแจ้งเตือนประชาชน รองรับระบบเตือนภัยล่ม จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ซึ่งท่านนริศโรจน์แสดงความเห็นว่า...

"พวกคุณตามนายกฯ ไม่ทันกันเอง นายกฯ ท่านรู้ ท่านเรียนเรื่องนี้มา จะไปใช้บลูทูธ ถ้าไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอินเทอร์เน็ต พวกนี้ตายหมด วิทยุทรานซิสเตอร์นอกจากใช้ถ่านแล้ว บางรุ่นยังใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ผมเคยอยู่สเปน, ลาว, อาร์เจนตินา เคยใช้ชีวิตแถวละตินอเมริกา เค้าก็ใช้วิทยุทรานซิสเตอร์เตือนภัยในช่วงภัยพิบัติทั้งนั้น ตอนภัยพิบัติฟุกุชิมะ ที่ญี่ปุ่น ไฟฟ้าดับทั้งเมือง คุณจะเอาอะไรฟังข่าวสาร ถึงขนาดที่ญี่ปุ่นระบุว่า ในถุงอุปกรณ์สำหรับการดำรงชีวิต ต้องมีวิทยุทรานซิสเตอร์ ต้องมีถ่านไฟฉาย ต้องมี first aid 

"ขณะที่สหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดวิกฤตทำเนียบขาวก็ต้องมีโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ธรรมดาที่สุดไว้ใช้ด้วย ก็ไม่ต่างอะไรกับวิทยุทรานซิสเตอร์ เค้าต้องมีของพื้นฐานติดไว้ด้วยเพราะบางครั้งมันก็กลับมาที่ Back to Basic ซึ่งอะไรที่เป็นพื้นฐานแบบนี้ทำให้เราอยู่รอดได้ ส่วนอะไรที่มันซับซ้อนใช้เทคโนโลยีมากๆ ถ้าวันหนึ่งมันเกิดขัดข้องจะทำอย่างไร มันไปต่อไม่ได้ มันต้องมีการผสมผสาน"

อดีตทูตฯ ได้กล่าวต่ออีกว่า "สังคมไทยเป็นสังคมที่ ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด เพราะว่าถ้าเราเข้าใจเนื้อหาที่นายกฯ พูดอย่างละเอียด ซึ่งท่านก็ย้ำว่า 'ถ้าไฟฟ้าไม่มีใช้' ระบบเตือนภัยมันล่ม ก็ต้องมีวิทยุทรานซิสเตอร์ไว้ เพื่อรับรู้ข่าวสาร สมมุติน้ำท่วมก็จะรู้ว่า เรือมารับตรงนี้ รถทหารเข้ามารับตรงนี้ ไฟฟ้าไม่มีนะ สายไฟฟ้ามันขาด เพราะฉะนั้นก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ต้องตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน ต้องมีองค์ความรู้ คนชนบทยังมีคนที่ฟังวิทยุอยู่ ถ้าจะใช้อินเทอร์เน็ต สัญญาณโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว เวลาเกิดเหตุการณ์คับขัน ภัยพิบัติมา ไฟฟ้าดับ สัญญาณโทรศัพท์อินเทอร์เน็ตหาย คุณจะทำอย่างไร  การวิพากษ์วิจารณ์สามารถทำได้เป็นประชาธิปไตย แต่ต้องมีเหตุผลและเคารพความต่างก่อน แก่นสำคัญที่สุดของประชาธิปไตยต้องมีมารยาทในการเคารพความเห็นต่างด้วยเหตุผลและสุภาพ”