'เพื่อไทย’ สอน ‘ประยุทธ์’ ลดต้นทุนพลังงาน หลัง 'น้ำมัน-ก๊าซ-ไฟฟ้า' ขึ้นไม่หยุด
‘ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทย’ สอน ‘ประยุทธ์’ น้ำมัน-ก๊าซ-ไฟฟ้าขึ้นไม่หยุด จัดการให้ถูกลงได้ถ้าคิดเป็น แนะวิธีลดต้นทุนช่วยค่าครองชีพประชาชน
21 มี.ค. 65 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ราคาน้ำมันได้กลับมาเป็นขาขึ้นใหม่หลังจากราคาลงไปต่ำกว่า $100 ต่อบาร์เรลอยู่ไม่กี่วันแล้วกลับขึ้นมาอยู่ที่ $110 ต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกถ้าสงครามรัสเซียยูเครนยังยืดเยื้อและถ้ามีการแซงชันรัสเซีย รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะเลิกพยุงราคาดีเซลต่ำกว่า 30 บาท ในไม่ช้า และค่าไฟฟ้ากำลังจะปรับราคาขึ้นเป็นหน่วยละ 4 บาทเริ่มเดือนพฤษภาคม จากราคาเดิมที่หน่วยละ 3.78 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นมากและเป็นการปรับขึ้นมากที่สุดเท่าที่เคยปรับขึ้นมา ราคาก๊าซหุงต้มจะปรับขึ้นโดยถัง 15 กิโลกรัม. จาก ราคา 318 เป็น 333 บาทในวันที่ 1 เมษายนนี้ และจะปรับทั้งหมด 3 ครั้ง ราคาจะขึ้นไปถึง 363 บาท ซึ่งจะหนักมาก ประชาชนจะอยู่กันได้ยาก ถ้าราคาพลังงานปรับขึ้นสูงมากขนาดนี้ อีกทั้งราคาสินค้ากำลังจะเรียงหน้าขึ้นราคากันอีกจากการแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว โดยเอสเอ็นอีประกาศจะขึ้นราคาแล้วภายใน 3-6 เดือนนี้
สถานการณ์สงครามรัสเซียยูเครนจะกระทบกับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ในสินค้าจำนวนมากกว่า 200 ชนิด ทำให้ราคาสูงขึ้น ทั้งราคาปุ๋ย ราคาอาหารสัตว์ ราคาแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก นิกเกิล ไททาเนียม อะลูมิเนียม พาลาเดียม ฯลฯ รวมถึง แร่ธาตุหายากที่ใช้ผลิตไมโครชิปด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทำให้ระดับราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น และเงินเฟ้อจะยิ่งสูงขึ้น อีกทั้งสินค้าจำเป็นหลายชนิดได้เริ่มขึ้นราคากันแล้ว เช่น ไข่ไก่ บะหมี่สำเร็จรูป นมข้นหวาน มะนาว ฯลฯ และจะมีสินค้าต่างๆ ขึ้นราคาเพิ่มขึ้นกันอีก
นายพิชัย กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องหันกลับมาพิจารณาแล้วว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยเหลือและลดค่าครองชีพของประชาชนเพื่อให้ประชาชนอยู่รอดได้ คำแนะนำเพียงให้เปิดแอร์ที่ 27 องศา ควบคู่เปิดพัดลม และไม่ใช้เตารีด ไดร์เป่าผมในห้องที่เปิดแอร์ และหมั่นล้างแอร์ รวมถึงใช้รถเท่าที่จำเป็น ก่อนหน้านี้ แม้จะเป็นเรื่องดี แต่เป็นเรื่องที่เก่ามาก และจะไม่สามารถช่วยประชาชนให้มีชีวิตรอดจากภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ในภาวะเช่นนี้ได้
อยากแนะนำให้พลเอกประยุทธ์ ได้พิจารณาลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชนที่เป็นสาเหตุหลักที่ต้นทุนสินค้าต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถทำได้จริงดังนี้
ในเรื่องราคาน้ำมัน ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงอีก 2.99 บาท จะทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 3.20 บาท (ภาษีมูลค่าเพิ่มจะลดลง 0.21 บาทด้วย) ลดลงมาเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพียงลิตรละ 0.005 บาทเหมือนในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ลดราคาหน้าโรงกลั่นของไทยให้เท่ากับราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ (ไม่บวกค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ) ถ้าราคาเอทานอลถูกกว่าราคาเนื้อน้ำมัน ควรพิจารณาผสมสัดส่วนของเอทานอลเพิ่ม เพื่อลดราคาน้ำมันเบนซิน
สำหรับราคาก๊าซ โดยราคาก๊าซหุงต้มเป็นสัดส่วนที่ประเทศไทยผลิตได้เองจากโรงแยกก๊าซและได้จากการกลั่นน้ำมัน ดังนั้นจึงควรรักษาระดับราคาเดิมเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน โดย บมจ. ปตท ควรสนับสนุนราคาในส่วนนี้ โดยขึ้นราคาเฉพาะก๊าซ LPG ที่เติมรถยนต์และก๊าซที่ใช้ในอุตสาหกรรม เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มสำหรับก๊าซ LPG ที่ใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี เพื่อมาช่วยพยุงราคาก๊าซ ซึ่งในอดีตตนเคยสั่งเก็บไว้แล้ว กก. ละ 1 บาท
ราคาไฟฟ้า เจรจาขอลดค่าความพร้อมสำหรับโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแต่ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเพราะกำลังการผลิตล้นเกิน ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตเกินกว่า 40% โดยขอให้เก็บค่าความพร้อมลดลง ค่าไฟจะได้ลดลง และหยุดการให้ใบอนุญาตไฟฟ้าจนกว่าการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น เพราะทุกวันนี้ยังให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้ากันอยู่เลย ทั้งที่การผลิตไฟฟ้าล้นเกินมาก
ลดส่วนต่างของไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงไฟฟ้าของเอกชนในราคาถูก แต่ กฟผ. นำมาขายให้กับประชาชนในราคาที่แพง เพื่อลดราคาไฟฟ้านี้ ทั้งนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) มีกำไรสะสมประมาณสามแสนล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง มีกำไรสะสมประมาณ แสนล้านบาท ทั้งสองแห่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งน่าจะนำมาช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงลำบากนี้ การเจรจาหาแหล่งก๊าซราคาถูกเพื่อลดราคาไฟฟ้า เพราะประเทศไทยใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้าถึงประมาณ 70%
“เรื่องเหล่านี้ พลเอกประยุทธ์สามารถทำได้ทันทีและจะช่วยประชาชนได้ ดีกว่าจะมาบอกแต่เรื่องเก่าๆ ที่ประชาชนทราบอยู่แล้ว และไม่ได้ช่วยอะไร ซึ่งถ้าจะให้เปรียบเทียบผลงาน 8 ปี 10 ปี ก็อยากจะบอกว่าในอดีตที่น้ำมันราคาสูง รัฐบาลสมัยพรรคเพื่อไทยภายใต้อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในอดีตก็สามารถทำเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี โดยในปี 2555 เศรษฐกิจไทยขยายตัวถึง 7.2% ซึ่งพลเอกประยุทธ์ ไม่เคยทำได้ แม้ราคาน้ำมันจะลดต่ำลงมากมาตลอด นี่เป็นความล้มเหลวอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบันทึกไว้ และเป็นการเสียโอกาสของประเทศไทยที่จะได้พัฒนาในช่วงราคา 7 ปีที่น้ำมันมีราคาถูก” นายพิชัย ระบุ