คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘หญิงหน่อย’ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ เปิดประสบการณ์เส้นทางชีวิตทางการเมืองกว่า 30 ปีในรายการ Click on Clear THE TOPIC ทาง THE STATES TIMES

ไม่นานมานี้ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘หญิงหน่อย’ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษ เปิดประสบการณ์เส้นทางชีวิตทางการเมืองกว่า 30 ปีในรายการ Click on Clear THE TOPIC ทาง THE STATES TIMES ภายใต้ความยึดมั่นในหลักการของประชาธิปไตยและมุ่งหวังที่จะเห็นประชาธิปไตยในเมืองไทยพัฒนาไปข้างหน้า ใต้เงา ‘พรรคไทยสร้างไทย’ ผลงานชิ้นสุดท้ายก่อนที่จะลาเส้นทางการเมืองว่า…

‘พรรคไทยสร้างไทย’ จัดตั้งขึ้นภายใต้จุดยืนสำคัญ คือ...

1.) ยืนอยู่บนหลักประชาธิปไตย

2.) เป็นสะพานเชื่อมคนทุกรุ่น ที่มีจุดมุ่งหมายทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

3.) แก้ปัญหาโครงสร้างรัฐที่กดทับประชาชน

ภายใต้จุดยืนต่าง ๆ เหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยทั้งความหวังที่จะเห็นประชาธิปไตยในเมืองไทยเบ่งบานโดยปราศจากเผด็จการที่จะมาขัดการพัฒนาประชาธิปไตย อีกทั้งต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อปลดแอกประชาชนออกจากการเมืองแบบเดิม ๆ และแก้ปัญหาโครงสร้างรัฐที่กดทับประชาชน ด้วยการให้อำนาจแก่ประชาชน และปลดปล่อยประชาชนจากกฎเกณฑ์ที่ขัดขวางและเป็นอุปสรรคต่อการทำมาหากิน

ดังนั้น เธอมองว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองที่เป็นเครื่องมือที่ดีให้กับประชาชน จึงได้จัดตั้งพรรคที่เป็นเหมือนสะพานเชื่อมอนาคตจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยการผสมผสานความต่างของคนแต่ละช่วงวัย องค์ความรู้ และประสบการณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยใช้มรดกทางการเมืองที่มากไปด้วยประสบการณ์คนรุ่นเธอ มาช่วยค้ำเป็นเสาหลักที่แข็งแรงให้ก่อตัวเป็นพรรคการเมืองได้อย่างแข็งแรง จากนั้นก็ดึงองค์ความรู้ ความเข้าใจของโลก/เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ พร้อมกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาผสมผสานให้เกิดส่วนผสมที่ลงตัวของ ‘พรรคไทยสร้างไทย’

>> เมื่อถามว่า อนาคตทางการเมืองของไทยในสายตาคุณหญิงเป็นอย่างไร และถ้ามีโอกาสเข้ามาทำงานการเมืองจะเข้ามาแก้ Ecosystem ตรงไหน? เธอตอบว่า...

“ข้อแรก คือ Empower ประชาชน คือการเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง การสร้างพลัง ปลดปล่อยประชาชนจากสิ่งที่ถูกกดทับ เช่น การยกเลิกระเบียบกฎหมาย ที่ทำให้เป็นอุปสรรคการทำมาหากินของประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้ลุกขึ้นมาทำมาหากินได้

“ข้อสอง คือ การแก้รัฐธรรมนูญ ในฐานะที่เคยเป็นผู้ลงแรงในการหาเสียงมากที่สุด และเป็นผู้นำทัพพรรคการเมืองไปตะลุยกว่า 200 เวที หาเสียงเกือบทุกจังหวัด เพื่อให้พรรคประสบความสำเร็จ และเพื่อให้สมาชิกเป็นอันดับ 1 แต่รู้สึกเสียใจกับเพื่อนสมาชิกที่ไปตามพรรคพลังประชารัฐในการยอมแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา เพราะเป็นการเอื้อประโยชน์แค่กลไกลกติกาการเลือกตั้ง ทำให้พรรคใหญ่ ๆ ได้เปรียบ และแทบจะปิดทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เพราะถือว่าได้มีการแก้ไขไปหลายมาตราแล้ว แล้วสุดท้ายประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร? เพราะฉะนั้น ประเทศไทยควรต้องมีกติกาที่ดีจากการแก้รัฐธรรมนูญโดยประชาชน

“ข้อสาม คือ การเปลี่ยนบทบาทของข้าราชการ ต้องเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ส่งเสริม เป็นผู้สนับสนุนประชาชน ในการที่จะมีชีวิตมีโอกาสในการทำมาหากิน ไม่ใช่ผู้สั่งการหรือบังคับ

“ข้อสี่ คือ การเร่งกระจายอำนาจ ในฐานะที่เป็นรุ่นแรกที่ทำการกระจายอำนาจ เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ถ้าในบริบทของพรรคไทยสร้างไทย เราจะนำอำนาจไปที่ประชาชน นอกเหนือจากการเลือกตั้งท้องถิ่นแล้ว เราจะให้มีคณะกรรมการหมู่บ้าน โดยเป็นประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน เป็นผู้ตัดสินในส่วนของงบประมาณ โดยเป็นผู้ตัดสินใจเอง ไม่ใช่มีผู้คิดให้ พร้อมยกตัวอย่างกรณีเสาไฟฟ้า ซึ่งคนในหมู่บ้านไม่ก็ไม่ได้ต้องการ เพราะฉะนั้นเราจะพิจารณาจากสิ่งที่ประชาชนต้องการ และจากนั้นกรรมการหมู่บ้านก็ทำการตรวจรับงาน ระบบการกระจายอำนาจ ก็จะควบคู่กันกับการใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบ

“ข้อสุดท้าย คือ การใช้เทคโนโลยีเข้าในระบบราชการเพื่อความโปร่งใสในการประมูลจดซื้อจัดจ้าง คือ การใช้เทคโนโลยี Open DATA เข้ามา หรือการนำ Blockchain เข้ามา จะทำให้ระบบของการประมูล และการจัดซื้อจัดจ้างของประเทศ เกิดความโปร่งใสขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน”

>> เมื่อถามถึงปัญหาวิกฤตโควิด-19 คุณหญิงคิดว่ารัฐบาลต้องทำอะไร? เธอตอบว่า...

“ที่ผ่านมาหลาย ๆ สิ่งที่นำเสนอ ไม่ได้มีสิ่งใดที่ไม่หวังดีกับรัฐบาล ตอนนี้หมดเวลาในการแบ่งฝ่ายหรือกลัวเสียหน้า เพราะตอนนี้ต้องร่วมกันระดมความคิดเห็นช่วยนำพาประชาชนออกจากวิกฤตครั้งนี้ให้ได้ก่อน ดังนั้นในฐานะอดีตรัฐมนตรีสาธารณะสุขที่ผ่านโรคอุบัติใหม่ อย่างโรคซาร์สที่อัตราการเสียชีวิตสูง และระบาดหนักอย่างโรคไข้หวัดนก โดยเปรียบเทียบว่าวิกฤตของโควิด-19 ครั้งนี้ ไม่ต่างจากผลของการระบาดไข้หวัดนก ณ ตอนนั้น แต่เราเองสามารถแก้ปัญหาได้เสร็จ ภายใน 2-3 เดือนแทบจะไม่ได้พัก ดังนั้นหัวใจสำคัญของการควบคุมการระบาด คือ การเร่งตรวจหาผู้ติดเชื่อให้เร็วที่สุดและมากที่สุด ตาม ‘แผนพิมพ์เขียวของไทยสร้างไทย’ 3 ข้อ คือ...

“ข้อที่ 1 การควบคุมการแพร่ระบาด เร่งหาผู้ติดเชื้อและนำผู้ติดเชื้อเข้าระบบให้เร็วที่สุด การสั่งล็อกดาวน์ โดยไม่เร่งตรวจหาผู้ติดเชื้อ จะไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ในเวลาที่รวดเร็ว ให้นำ Rapid Antigen Test ตรวจประชาชนกลุ่มเสี่ยงทุกคนในพื้นที่สีแดง หรือแดงเข้ม เพื่อเร่งนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบ และทำระบบแอปพลิเคชัน ให้ผู้ที่ตรวจแล้วมีผลเป็นบวก ได้เข้าระบบการดูแลรักษาทันที เพราะทุกวันนี้ ‘แอปพลิเคชันเยอะกว่าวัคซีน’

“ข้อที่ 2 การรักษาผู้ติดเชื้อเพื่อลดการป่วย การตาย และเตียงไม่พอ ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ หรืออาการน้อยให้เข้า Program Home Isolation เร่งทำ Community Isolation ให้เพียงพอกับผู้ติดเชื้อ โดยใช้โรงเรียน วัดหรือหอประชุมใกล้ชุมชน และผู้ที่มีอาการไม่มากเข้าโรงพยาบาลสนาม ‘ต้องตั้งเป้าให้คนหายป่วยกลับบ้านได้ตั้งแต่เตียงเขียว’

“ข้อที่ 3 การป้องกัน โดยเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เร่งจัดหาวัคซีน mRNA อย่างน้อยเพิ่มขึ้นอีก 100 ล้านโดส ที่สามารถต่อสู้กับเชื้อกลายพันธุ์ มาเป็นวัคซีนหลักคู่กับ AstraZeneca ให้คนไทยมีสิทธิเลือกวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ปรับแผนบริหารวัคซีนให้ได้เฉลี่ยเดือนละ 10 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ได้ 500,000 โดสต่อวัน และให้ประชาชนได้วัคซีนทั้ง 2 เข็มครบ 50 ล้านคนแรกในเดือนมกราคม เป็นของขวัญปีใหม่ได้เปิดเมือง และประชาชนได้กลับมาทำมาหากินอีกครั้ง

“นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลมองไปข้างหน้าว่าควรเตรียมอะไรให้กับประชาชนเพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นมาทำมาหากินให้ได้เร็วที่สุด โดยในมุมของดิฉันสิ่งที่รัฐควรเตรียมให้กับประชาชน คือ สร้างสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อให้โลกหลังโควิด-19 ประชาชนสามารถลุกขึ้นมาทำมาหากินได้ บนจุดแข็งของประเทศไทยและบริบทของโลกใหม่หลังโควิด-19 เช่น การสร้างจุดแข็งจากการเกษตรไทย ให้กลายเป็นศูนย์กลางอาหารปลอดภัยของคนทั้งโลก ปรับเปลี่ยนการท่องเที่ยว สร้างงานอีเวนต์ทุกเดือนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และสุดท้ายสนับสนุนอุตสาหกรรมทางการแพทย์

“ขณะเดียวกันต้องเร่งดูดการลงทุนในประเทศไทย ด้วยการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์รวมสตาร์ทอัพให้ได้ ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นจำเป็นต้องมีการปรับแก้ไขกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์เรื่องการเงินของธนาคารชาติ, ตลาดหลักทรัพย์ และเรื่องวีซ่า เพื่อให้เอื้อต่อการมาลงทุนในระบบนิเวศน์ของสตาร์ทอัพไทย ซึ่งตรงนี้ ก็อยากขอร้องรัฐบาลว่าช่วยพิจารณาแผนอย่างไม่อคติ แล้วก็ช่วยระดมความคิดว่าแผนนี้เป็นแผนที่เสนอบนความเป็นไปได้”

>> ก่อนที่คุณหญิงจะมาตั้งพรรคเอง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตัวคุณหญิงเปรียบเสมือนคนที่คอยรับหน้าการแก้สื่อทางการเมืองให้กับ ‘คุณทักษิณ ชินวัตร’ คุณหญิงคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร? เธอตอบว่า...

“ต้องย้อนความถึงตอนเกิดเส้นทางการเมืองจากพรรคพลังธรรม โดยตอนนั้นเป็นเลขาธิการพรรคพลังธรรม เราก็มีหน้าที่รับหน้าแก้ปัญหาให้กับ ‘ท่านจำลอง ศรีเมือง’ และให้กับพรรค เมื่อได้เข้ามาทำงานกับพรรคไทยรักไทยก็เช่นกัน เราก็ต้องรับหน้าที่ในฐานะรองหัวหน้าพรรคหมายเลข 1 ในการที่คอยที่จะทำความเข้าใจหรือว่าสิ่งใดที่เกิดความเข้าใจผิด เราก็มีหน้าที่แก้ต่างให้กับพรรค ให้กับหัวหน้าพรรคคือ ‘คุณทักษิณ ชินวัตร’ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่พรรคไหนเราก็ทำหน้าที่แบบนี้”

>> เมื่อถามถึงพรรคไทยสร้างไทย ถือเป็นมรดกทางการเมืองของคุณหญิงตลอด 30 ปีที่ผ่านมาในมิติไหนบ้าง? เธอตอบว่า...

“ครั้งนี้เป็นความตั้งใจที่อยากจะทำพรรคในฝันของตัวเอง ตั้งแต่ 30 ปี ตั้งแต่แรกเริ่มเข้าการเมือง ดิฉันเป็นนักการเมืองที่ไม่เคยถูกคดีในเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชัน แม้จะเคยมีคดีที่รัฐประหารครั้งแรกและถูกกล่าวหาว่าทุจริตคดีคอมพิวเตอร์ 900 ล้านบาท ซึ่งข้อเท็จจริง คือ 900 ล้านนั้นได้ยกเลิกการประมูลจริง แต่ไม่ได้มีการทำประมูลใหม่ และในท้ายที่สุดเราก็ชนะเป็นเอกฉันท์ เพราะเงินคืนหลวงทุกบาท เพราะฉะนั้น อยากให้เชื่อมั่นว่า ผู้ที่ทุ่มเทการทำงาน และไม่เคยมีเรื่องการทุจริต มีความจริงใจในการอยากมาช่วยแก้ปัญหาประเทศ

“ขณะเดียวกันประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา 30 ปี ซึ่งถือเป็นงานที่ท้าทายทั้งสิ้น แต่ก็ทำจนประสบความสำเร็จ ตั้งแต่เริ่มต้นการรับผิดชอบการจราจรในกรุงเทพฯ เช่น การทำอุโมงค์ การทำแผนรถไฟฟ้า การทำสะพานลอย แผนรถไฟฟ้าที่ใช้กันถึงปัจจุบันนี้ หรือแม้แต่โครงการ 30 บาท ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ใน ‘ยุคของสุดารัตน์’ ที่สร้างขึ้นทั้งนั้น

“ดังนั้น ประสบการณ์ที่มีทั้งหมด จะทุ่มเทให้กับพรรคไทยสร้างไทย เป็นผู้รับใช้ประชาชนที่ดี และนำพาประชาชนออกจากปัญหาและวิกฤตต่าง ๆ เชื่อว่าเราหาทางออกให้กับประเทศได้ ซึ่งตอนนี้มี 2 อย่างที่อยากเข้าไปแก้มือ คือ โครงการ 30 บาท ที่ตอนนี้เละเทะไปหมด รวมถึงการปฏิรูปเกษตรให้หายจน ที่ก่อนหน้านั้นได้ดำเนินการไปได้แค่ 30% ถ้าได้อยู่ครบ 4 ปีในการดูแลเกษตรตรงนี้ ‘เอาหัววางเลยว่าเกษตรไทยไม่จน และ GDP ไทยจะดีกว่านี้’”

>> ในสายตาคุณหญิง ผู้ที่เคยถูกยกให้เป็น ‘ดาวรุ่งทางการเมือง’ มองว่าใครคือดาวรุ่งทางการเมืองไทยตอนนี้? เธอตอบว่า...

“ชื่นชมคุณรุ่นใหม่ และตอนนี้ก็มองเห็นหลายท่าน และหลายพรรคที่เหมาะสมจะเป็นผู้นำประเทศ ยกตัวอย่าง คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ถึงแม้ว่าจะรุ่นใหม่ แต่ก็เพรียบพร้อมด้วยความรู้ หรือแม้แต่คุณโต้ง สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ของพรรครัฐบาล ซึ่งคนเหล่านี้คือดาวรุ่งที่เหมาะสมจะมาพัฒนาประเทศในอนาคต พร้อมกล่าวอีกด้วยว่า ฝันว่าไทยสร้างไทย จะมีดาวรุ่งเยอะมากเลย แล้วกำลังพยายามทำอยู่”

>> ทิ้งท้ายกับเป้าหมายทางการเมืองในปัจจุบัน ยังคาดหวังเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สองอยู่หรือไม่? คุณหญิงสุดารัตน์ ได้ให้คำตอบว่า...

“เป้าหมายสูงสุดทางการเมืองของดิฉันในวันนี้ คือ การนำสมาชิกพรรคเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรให้ได้มากที่สุด เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับประชาชนอย่างแท้จริง โดยสำหรับดิฉัน ‘ตำแหน่งไม่สำคัญ แต่ต้องการสร้างองค์กรการเมืองที่ดีมากกว่า ดังนั้นก่อนที่จะหยุดเส้นทางการเมือง ต้องการทำองค์กรดี ๆ ให้สำเร็จ

“ฉะนั้นในช่วงแรก การรับบทบาทผู้นำพรรค ก็เพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับคนรุ่นใหม่ ได้เข้ามาช่วยกันทำงานและเฝ้ามองการเติบโตของคนในพรรคที่มีความสามารถและเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้”

คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำทิ้งท้ายอีกว่า ความฝันในตอนนี้ คือ อยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับประชาชนจริง ๆ เสียที หรือก็คือแค่การแก้ไขกฎกติกาอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ แต่จะต้องพึ่งพลังคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้เข้ามาช่วยกันทำด้วย

ติดตามสัมภาษณ์แบบเต็ม ๆ ได้ที่ Click on Clear THE TOPIC >> https://fb.watch/77kV2hr5y-/


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9