“มท.1” คาด มีติดเชื้อเพิ่ม หลังแรงงานทิ้งกทม.กลับบ้าน สั่งเข้มตรวจเชิงรุก พบกลับบ้านให้กักตัว 14 วัน วอนสังคมเข้าใจ แก้โควิดไม่ง่าย ยัน รัฐบาลสื่อสารทุกเรื่องชัดแล้ว
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลแรงงานเคลื่อนย้ายออกต่างจังหวัด หลังปิดแคมป์คนงานในกทม. และปริมณฑล จำนวนมาก ว่า เรามีนโยบายให้แรงงานอยู่ในแคมป์ ไม่ให้เคลื่อนย้าย และจะเยียวยาเฉพาะคนที่อยู่ในแคมป์ ส่วนแรงงานที่เคลื่อนย้ายไปต่างจังหวัด ที่เป็นแรงงานคนไทย ต้องถูกกักตัวที่บ้าน 14 วัน เพื่อสังเกตอาการ ไม่ให้ออกไปไหน ซึ่งทุกพื้นที่จะเป็นอย่างนี้หมด เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดของเชื้อ โดยกระทรวงมหาดไทย จะกำชับให้พื้นที่ ทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต้องเข้มงวด ฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการแพร่เชื้อ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการรายงานถึงผลเสียอะไรออกมา
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ส่วนที่สื่อเผยแพร่ว่ามีแรงงานออกมาซื้อข้าวของ เนื่องจากเพิ่งจะมีคำสั่งออกมา และระบบยังไม่มีความพร้อม แต่เรื่องนี้ศบศ. ได้ให้ทำงานบูรณาการกันระหว่าง สมาคมทางด้านอาหาร และผู้ประกอบการก่อสร้าง ให้ร้านอาหารต่างๆทำอาหารไปแจกจ่ายตามแคมป์ก่อสร้างเพื่อแก้ปัญหา จึงมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมได้ดีขึ้น ทั้งนี้ยอมรับว่าที่มีปัญหาคือการควบคุมแคมป์ก่อสร้างในต่างจังหวัด และปริมณฑล ที่มีหลายร้อยแห่ง หากปล่อยให้เกิดการเคลื่อนย้ายก็จะคุมไม่อยู่และจะทำให้มีปัญหาเรื่องเตียงไม่เพียงพอ จึงต้องหยุดการเคลื่อนที่ทั้งหมด ไม่ให้เคลื่อนย้ายไปต่างจังหวัด แต่จะให้อยู่ในแคมป์
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องควบคุมแคมป์คนงานในต่างจังหวัดด้วยหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เราจะคุมทั้งหมดในพื้นที่สีแดง และทุกพื้นที่จะต้องเข้มงวดไม่ให้มีแรงงานออกจากแคมป์ ถ้าพบว่าออกไปก็จะต้องถูกกักตัว ตนเชื่อมั่นว่าต่างจังหวัดจะมีความเข้มงวดไม่ให้แรงงานเหล่านี้เข้าไปอยู่พื้นที่ ยืนยันว่าจะไม่มีการไปแพร่เชื้อในต่างจังหวัด สิ่งที่อยากเน้นคือเมื่อเขาออกไปจากพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดอยู่ ถ้าเขามีเชื้อและถูกกักตัว เชื้อก็จะไม่ระบาด
“สื่ออย่าไปลงว่า เมื่อแรงงานที่อาจจะมีเชื้อไปต่างจังหวัด แล้วจะทำให้แดงไปทุกจังหวัด ต้องดูให้ละเอียด เพราะเราคุ้นเคยกับโควิด มาตั้งแต่ระลอกแรก พอปิดกทม.หมด ประชาชนก็หนีออกไปต่างจังหวัด อาจทำให้ยอดผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะเกิดจากการแพร่ระบาดในจังหวัดนั้นๆตรงนี้ทำให้เราเห็นว่าน่าจะคุมได้” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถึงการป้องกันแรงงานในบริเวณชายแดน ต้องกำชับอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เป็นอีกเรื่องที่ต้องป้องกัน หากลักลอบเข้ามาก็จับ ซึ่งแรงงาน เสนอว่าถ้ามีความจำเป็นต้องใช้แรงงาน จะให้เข้ามาให้อย่างถูกต้อง โดยต้องคุยกับ 3 ประเทศด้วย เมื่อเข้ามาต้องมีมาตรการกักตัว เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมายและจะช่วยในการจัดการการแพร่เชื้อได้ เมื่อถามว่าจะต้องเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เป็นพิเศษ หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องระดมกำลังทหาร ตำรวจและมหาดไทย เพราะ 6 จังหวัด มีหลายร้อยแคมป์จึงต้องช่วยกันหมดทุกหน่วยงาน
เมื่อถามว่าถึงความคืบหน้าของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้ฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ยอมรับว่ายังฉีดไม่ได้หมด เพราะการฉีดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวัคซีนที่มีอยู่ ต่อข้อถามว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ทำงานเต็มกำลังแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและแพทย์ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ในพื้นที่สีแดงจะเต็มที่แล้ว เช่นการสร้างโรงพยาบาลสนาม ไม่ใช่มีแต่การสร้างเตียง แต่มีบุคลากรสธ.เข้ามาทำงานด้วย ขณะเดียวกันบุคลากร ต้องป้องกันตัวเองด้วย ส่วนเจ้าหน้าที่ในส่วนอื่นเชื่อว่าระดมได้ โดยช่วงนี้ให้ทหารมาคุมหน้าแคมป์คนงาน
เมื่อถามว่าขณะนี้ประชาชนจำนวนมาก ไม่เข้าใจการทำงานของรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องค่อยๆสื่อสาร เพราะโควิดเป็นเรื่องซับซ้อน บางทีสื่อมาถามตนยังไม่แน่ใจว่าสื่อเข้าใจหมดหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องยากยิ่งมีการตั้งคำถามว่ากลัวจะเป็นอย่างนี้กลัวจะเป็นอย่างนั้นยิ่งทำให้ยุ่งกันไปใหญ่ เมื่อรัฐบาลทำมาตรการอะไรไปก็จะมีคำถามตามมาอีก
เมื่อถามว่ารัฐบาลจะจำเป็นต้องสื่อสารให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลสื่อสารชัดเจนไม่มีปัญหา เพราะที่ผ่านมาก็แก้ตามสถานการณ์ แต่ตอนนี้ปัญหาเกิดจากแคมป์ก่อสร้างติดเชื้อมาก มากเสียจนระบบสาธารณสุขจะรับไม่ได้ ยกตัวอย่างกทม.ป่วยเป็นพัน ๆ คน และคนที่ป่วยทุกคนก็อยากอยู่โรงพยาบาลทั้งนั้น ไม่ว่าจะเขียว เหลือง แดง เขาอยากอยู่ทั้งนั้น พอเราจัดไม่ทันต้องรอก็เริ่มมีปัญหาแล้ว ดังนั้นจึงต้องหาวิธีหยุดให้ได้ เพราะถ้ายังเพิ่มวันละพัน แม้จะทำโรงพยาบาลสนามได้แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็มีจำนวนไม่เพียงพอ ดังนั้นแคมป์คนงานจำเป็นจะต้องหยุดก่อนร่วมทั้งชุมชนจะต้องเข้มงวดด้วยและต้องตรวจเชิงรุก
เมื่อถามว่า กังวลถึงการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ ทำให้เกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรามีหน้าที่สร้างความเข้าใจและอย่านึกว่าเรื่องโควิดเป็นเรื่องที่แก้กันง่าย ๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่แก้ง่ายมันยากมันซับซ้อน เพราะฉะนั้นทุกคนต้องเข้าใจ ตนไม่คงไม่ต้องยกตัวอย่างของหลายประเทศ ซึ่งเขามีปัญหาทั้งนั้น เข่น วัคซีน การรักษาอาการก็มีปัญหา ประเทศชั้นนำก็ทราบดีว่ามีปัญหา ซึ่งเราก็ต้องแก้ไขปัญหาไป และเราก็อยากให้ทุกคนได้รับความดูแลและอยากให้ทุกคนร่วมมือการป้องกัน