คุณโอ๊ค คณิต คล้ายแจ้ง | THE STUDY TIMES STORY EP.43

บทสัมภาษณ์ คุณโอ๊ค คณิต คล้ายแจ้ง วิทยาศาสตร์บัณฑิต (กายภาพบำบัด) เกียรตินิยมอันดับ 2 คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล
อาการเจ็บป่วยที่ดีขึ้นของคนไข้ คือกำลังใจของนักกายภาพบำบัด

คุณโอ๊คจบการศึกษา วิทยาศาสตร์บัณฑิต (กายภาพบำบัด) เกียรตินิยมอันดับ 2 คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล

แรงบันดาลใจและจุดเริ่มต้นในการเลือกเรียน ‘กายภาพบำบัด’ นั้น คุณโอ๊คเล่าว่า ตนเองเกิดในครอบครัวของข้าราชการ พ่อแม่รับราชการครูทั้งคู่ เริ่มแรกยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองชอบอะไร ด้วยความที่เรียนสายวิทย์มา ลองยื่นคะแนนเข้าคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล โดยที่ยังไม่รู้ข้อมูลมากเท่าไหร่ เมื่อติดเลยหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ก่อนตัดสินใจเข้าไปลองเรียน

คณะกายภาพบำบัดเรียน 4 ปี ปีแรกต้องไปรวมกันอยู่ที่วิทยาเขตศาลายา คุณโอ๊คขอพ่อแม่ไปอยู่หอ เนื่องจากปี 1 มีกิจกรรมค่อนข้างเยอะ ได้พบเจอเพื่อนต่างคณะ มีการปรับตัวจากมัธยมเข้าสู่มหาวิทยาลัย

ช่วงปี 2 แต่ละคณะจะแยกย้ายไปตามวิทยาเขตของตัวเอง ของคณะกายภาพเรียนที่ศิริราชสลับกับคณะกายภาพบำบัดตรงเชิงสะพานปิ่นเกล้า ได้เรียนกายวิภาค ผ่าอาจารย์ใหญ่เหมือนเรียนหมอ เพราะกายภาพบำบัดต้องรู้เรื่องกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก และมีวิชาด้านการแพทย์ต่างๆ ในช่วงปี 3-4 เริ่มได้ไปฝึกงาน ทั้งตามโรงพยาบาล คลินิก และชุมชน ซึ่งช่วงที่ได้ไปลงพื้นที่ช่วยเหลือคนตามชุมชน ทำให้คุณโอ๊ครู้สึกว่าอาชีพนี้มีคุณค่า ได้ช่วยเหลือคน ทำให้สุขภาพของพวกเขาดีขึ้น เพราะในบางพื้นที่ที่ไปการแพทย์สาธารณสุขยังเข้าไม่ถึง เกิดเป็นความรู้สึกปลื้มใจ

เทคนิคเรียนดีจนสามารถคว้าเกียรตินิยมของคุณโอ๊ค คือ พยายามตั้งใจขณะที่เรียนในคลาส ยกมือถามเมื่อสงสัย วิชาส่วนใหญ่เป็นปฏิบัติ เพราะฉะนั้นต้องเน้นการลงมือทำจริงๆ  ฝึกซ้อม และหมั่นทำบ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีเพื่อนๆ ช่วยกันเรียน ช่วยกันติว 

นักกายภาพบำบัดเมื่อเรียนจบ 4 ปี ทุกคนต้องสอบใบประกอบโรคศิลป์ที่ถูกกำหนดมาของสภากายภาพบำบัด ใครที่สอบผ่านจึงจะสามารถออกไปสมัครงานตามที่ต่างๆ ได้ จะทำที่โรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชนก็ได้ หรือหากเลือกเรียนต่อก็สามารถไปได้หลากหลายทาง ทั้งคณะกายภาพบำบัดในระดับปริญญาโท-เอก ในและต่างประเทศ หรือนำปริญญาวิทยาศาสตร์บัณฑิตไปต่อยอดเรียนคณะอื่น หรือเป็นผู้ประกอบการเปิดคลินิกเอง

ปัจจุบันคุณโอ๊คเป็นนักกายภาพบำบัด ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู ที่โรงพยาบาลศิริราช การทำงานต้องอาศัยประสบการณ์ และเรียนรู้จากรุ่นพี่ที่ทำงาน ต้องมีเทคนิคการสื่อสาร พูดเพื่อโน้มนาวใจคนไข้

คุณโอ๊คเล่าความประทับใจที่มีต่ออาชีพนักกายภาพบำบัดไว้ว่า อาชีพนักกายภาพบำบัดแตกต่างจากอาชีพอื่นๆ ตรงที่เหมือนได้ทำบุญตลอดเวลา เพราะผู้ที่มาโรงพยาบาลทุกคน ล้วนมาด้วยความทุกข์ ความเจ็บความปวด แต่นักกายภาพบำบัดมีส่วนช่วยให้บุคคลเหล่านั้นกลับบ้านไปด้วยความเจ็บปวดน้อยลง กลับไปใช้ชีวิตได้อย่างดีมากขึ้น การได้เห็นผู้ป่วยดีขึ้นทำให้รู้สึกปลื้มใจ 

คุณโอ๊คฝากทิ้งท้ายสำหรับใครที่มีความชื่นชอบในการได้ช่วยเหลือผู้ป่วย หรือการดูแลด้านสุขภาพ ชื่นชอบที่จะอยู่กับคน ชื่นชอบด้านการสื่อสาร ให้มองอาชีพนักกายภาพบำบัดเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก นอกจากนี้ยังสามารถไปทำงานต่อยอดได้หลากหลาย ที่สำคัญคือได้บุญ
.

.

.

.