พันธมิตรเฉพาะกิจ เกาะกันไว้ 'ได้' มากกว่าที่คิด

ว่าจะเปิดเพลง 'จับมือกันไว้' ของพี่เบิร์ดมาฟังเบาๆ ในช่วงที่ความสามัคคีในเมืองไทยมันผุๆ พังๆ ซะหน่อย แต่พลันกลับเกิดไอเดียอื่นแทรกมาเป็นบทความที่อยากสะท้อนสู่สถานการณ์ในช่วงปัจจุบันอย่างไวว่อง

ในยุคที่ 'ความหวัง' และ 'ความฝัน' เริ่มไม่เดินเคียงไปด้วยกัน เพราะความยากลำบากจากโควิดที่ทำให้โลกพลิกตารปัตร 

>> ฝันไกลไม่ได้เหมือนเคย!! 

>> หวังไว้ไม่เป็นอย่างตั้งใจ!! 

ว่าแล้ว!! ในบางครั้ง หากการเดินคนเดียว มัยเหนื่อยไป ก็ลองมองหาใครสักคนมาพยุงตัวเรา ขณะที่เราก็พร้อมพยุงเขาไปด้วยได้พร้อมกัน

เราควรกลับมาสู่ยุคของความสามัคคีอีกครั้ง!! 
Combinated Mission

เรื่องนี้ขอสะท้อนผ่านกลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่หลายแบรนด์เลือกใช้ในการสร้างการเติบโตและเติมเต็มบางอย่าง ที่เขาเรียกว่า 'x' หรือไป 'จับมือ' กับแบรนด์อื่นๆ

เป้าหมายของการ x ก็เพื่อเอาจุดเด่นของแต่ละแบรนด์ มาเป็นพลังส่งเสริมซึ่งกันและกัน อย่างก่อนหน้านี้ ดอยตุง ร่วมกับ โอนิสึกะ ก็ทำออกมาได้ดี จนขายเกลี้ยงแผงในช่วงเวลาไม่นาน

ถึงกระนั้น หากพูดถึงกลยุทธ์การจับมือที่โคตรปังปุริเย่ ก็มักจะมีกลุ่มแบรนด์ทึ่ทำให้ต้องนึกถึงเป็นลำดับแรกๆ อย่าง Louis Vuitton x Supreme ซึ่งเรียกได้ว่าสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จแบบถล่มทลาย

โดยหลายครั้งที่ Louis Vuitton x Supreme เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ออกมา สินค้าชิ้นนั้น ก็จะขายหมดภายในไม่กี่นาที

ถึงขนาดที่ว่า ในปี 2017 ทางบริษัท LVMH เจ้าของแบรนด์ Louis Vuitton ได้เขียนไว้ในรายงานประจำปีของบริษัทว่า คอลเลกชัน Louis Vuitton x Supreme คือ สุดยอดขุมพลังของบริษัท

การ x กันครั้งนี้ ของทั้ง 2 แบรนด์ ยังเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการแฟชั่น 
จากที่เดิมที ภาพลักษณ์ของ Louis Vuitton เป็นแบรนด์ Hi-end ที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ส่วน Supreme นั้นมีความเป็นวัยรุ่น พอมาจับมือกัน ฝั่ง Louis Vuitton กลายเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงลูกค้าที่ชอบแฟชั่นแนวสตรีตมากขึ้น ส่วนฝั่ง Supreme ก็มีภาพลักษณ์ที่ดูพรีเมียมมากขึ้น และสินค้าบางอย่างในคอลเลกชันนี้ก็กลายเป็นของสะสม ที่มีราคาแพง

การจับมือกันครั้งนี้ ยังกลายมาเป็นสูตรสำเร็จของการจับมือกัน ระหว่างแบรนด์ดังอีกมากมาย
อย่างเช่น Nike x OFF-WHITE หรือ adidas x PRADA

อีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้พลังแห่งการจับมือกันระหว่างธุรกิจ คือ กรณีของแบรนด์ตัวต่อขวัญใจเด็ก ๆ อย่าง “LEGO”

เราอาจจะคุ้นเคยภาพของ LEGO ว่าเป็นแบรนด์สำหรับเด็กเล็ก แต่รู้หรือไม่ว่า ช่วงหลังๆ มา LEGO เริ่มให้ความสำคัญกับการไปจับมือกับต่างแบรนด์มากขึ้น เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้น

อย่างเช่น การไปจับมือกับแบรนด์รถหรูอย่าง Lamborghini ซึ่ง LEGO ได้หยิบเอาจุดเด่นเรื่องความละเอียดอ่อนของการออกแบบตัวต่อ

มาสร้างเป็นโมเดลรถหรู Lamborghini Sián FKP 3 ที่ประกอบขึ้นจากตัวต่อ LEGO ทั้งหมด 3,696 ชิ้น โดยที่โมเดล จะมีอัตราส่วน 1 ต่อ 8 เมื่อเทียบกับขนาดรถของจริง

โมเดล Lamborghini Sián FKP 3 ย่อส่วนนี้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมาก ถึงขนาดที่ LEGO สามารถตั้งราคาขายได้สูงถึงประมาณ 12,000 บาท เลยทีเดียว

จากสองตัวอย่างที่ว่ามานี้ เราสามารถสรุปข้อดีของการจับมือกันระหว่างธุรกิจออกมาได้ก็คือ

1. ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

อย่างกรณีของ Louis Vuitton x Supreme ก็มีลูกค้าบางค้าบางคนที่เป็นแฟนคลับของ Supreme ออกมาบอกว่า ตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นแฟนคลับ Louis Vuitton ไปแล้ว หลังจากที่ได้ซื้อคอลเลกชันนี้

ส่วนทางฝั่ง LEGO ที่ไปจับกับแบรนด์รถหรู
ก็จะได้ฐานแฟนคลับคนที่ชื่นชอบรถ หรือคนชอบสะสมโมเดลรถยนต์เพิ่มขึ้นมา

2. เสริมพลังซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง

เมื่อก่อนถ้าแบรนด์ไหนต้องการชื่อเสียงของอีกแบรนด์ บริษัทเจ้าของแบรนด์นั้น ก็อาจต้องทุ่มทุนซื้อกิจการของแบรนด์ที่ต้องการ เข้ามาเป็นของตัวเอง

แต่หากทั้งสองแบรนด์ใช้วิธีจับมือกันทำแคมเปญ หรือทำสินค้าบางชิ้นร่วมกัน ก็จะช่วยลดต้นทุนที่ฝ่ายหนึ่งจะต้องทุ่มเงินเพื่อ Take over กิจการ
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะได้ไม่ต้องเสียกิจการ หรือเสียแบรนด์ให้อีกฝ่ายไป

3. การจับมือกัน ทำให้แต่ละฝ่ายได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ไปด้วยกัน

อย่างเช่น LEGO ที่ไปจับมือกับ Lamborghini
ก็จะได้เรียนรู้รายละเอียดของชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งอาจรวมไปถึงกระบวนการผลิต ส่วน Lamborghini ก็น่าจะได้เรียนรู้ความละเอียดอ่อนในการออกแบบชิ้นส่วนชิ้นเล็กๆ จากทางฝั่ง LEGO

ทั้งหมดนี้ถือเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้สิ่งใหม่ในแต่ละองค์กร และอาจนำองค์ความรู้ใหม่มาต่อยอดนวัตกรรมได้ในอนาคต

จะเห็นได้ว่า การเปิดใจหันมาทำอะไรร่วมกันระหว่างแบรนด์หรือระหว่างธุรกิจนั้น ให้อะไรใหม่ๆ กับองค์กรมากกว่าที่ใครหลายคนคิด

อย่างในบ้านเรา อาจจะไม่ต้องคิดไกลถึงธุรกิจแนวนั้น เอาแค่ธุรกิจไหนกำลังเหงาหงอย บางทีการเดินไปคุยกันแบบเปิดอก และถามถึงสารทุกข์สุขดิบกันหน่อย คุณอาจจะแชร์บางอย่างแก่กันได้

ร้านข้าวของหมู่บ้านนี้ อาจจะไป Combinated กับคนคุ้นเคยที่มาส่งน้ำให้ เปลี่ยนจากแค่ส่งน้ำ ไปส่งข้าวเพิ่ม คิดส่วนแบ่งค่าส่งไป โดยที่ร้านข้าวก็ไม่เหงาจากยอดคนหาย

ทำโปรโมชั่นแรงๆ กันก็ยังได้ กินข้าวร้านนี้ ได้ตัดผมฟรีร้านนั้น หรือซื้อทองร้านนั้น นำคูปองพิเศษไปแลกกาแฟฝั่งตรงข้ามฟรี 1 แก้วไรงี้

ความร่วมมือเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในยุคที่เราต้องการ 'การอยู่รอด'

หากผู้นำและคนในองค์กรมีแนวคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะทำให้องค์กรพยายามปรับตัว และมองหาโอกาสทางธุรกิจและความท้าทายใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดว่าต้องทำอะไรแบบเดิมๆ

...ไม่ว่าจะความหวังเอย 
...ไม่ว่าจะความฝันเอย
...เอื้อมถึงได้ทั้งนั้น

แค่... "จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน" 

พี่เบิร์ดไม่ได้กล่าวไว้ แต่ร้องไว้!! 

ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.blockdit.com/posts/6059cdb9fa1a983ce66f1565
https://www.qualitylogoproducts.com/blog/12-best-brand-collaborations/
https://www.businessinsider.com/lego-releasing-lamborghini-sian-set-2020-5


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9