รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแล้วจริงหรือ ?

กระแสรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) กำลังมาอย่างมาก จากกระแสธารเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของทั่วโลก กระตุ้นความสนใจให้กับผู้คนในประเทศไทยพอสมควร ประเทศที่มีปัญหาด้านมลพิษสูงอย่าง PM2.5 ติดอันดับโลกอยู่หลายครั้ง และหนึ่งในสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิด PM2.5 คือมลภาวะจากควันรถยนต์ที่ปล่อยออกมา

ปัญหาทางโครงสร้างทางคมนาคม ถนนหนทาง และนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนการซื้อรถยนต์ กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาระยะยาว คือปัญหารถติด โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เมืองที่ติดอันดับรถติดของโลก (แต่ละอันดับ ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่) ที่ไม่รู้ว่าทั้งชีวิตนี้จะแก้ปัญหานี้ได้ไหม รวมไปถึงการโดยสารสาธารณะไม่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุและอาชญากรรรมในพื้นที่สาธารณะ ความรู้สึกของผู้คนในเมืองใหญ่จึงยอมที่จะซื้อรถส่วนตัว เพื่อแลกกับความปลอดภัย จำนวนรถเยอะขึ้น จำนวนมลพิษก็เยอะขึ้นเป็นธรรมดา รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) จึงอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ประชาชนอย่างเรา จะยอมซื้อเพื่อแลกกับคุณภาพอากาศที่ดี (ที่รัฐแก้ปัญหาไม่ได้สักที)

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) รถยนต์แห่งโลกอนาคต ที่ในไม่ช้าคงกลายเป็นรถยนต์กระแสหลัก ตอบโจทย์ชีวิตของผู้คนและสังคมอย่างมาก จากข้อดีหลายประการ อาทิ ลดมลภาวะจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงน้ำมัน, ความเงียบและอัตราเร่งที่ได้ดั่งใจ ,ประหยัดค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุงไม่ต้องเสียเวลาไปปั๊มน้ำมัน ,ประหยัดเงินค่าน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันในมหานครใจกลางกรุง ก็มีสถานีชาร์จไฟฟ้าให้กับรถยนต์ไฟฟ้าหลายจุด

อย่างไรก็ตามเราแทบไม่เห็นรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งบนถนนเลย เพราะตอนนี้ส่วนใหญ่รถยนต์ไฟฟ้าบ้านเรายังต้องนำเข้า และมีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสมรรถนะและความสะดวกสบายที่ได้รับ แถมแบรนด์ที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าก็ยังมีให้เลือกไม่มากนัก บวกกับคนทั่วไปอาจมีความกังวล และไม่เข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเพียงพอ รวมถึงการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ก็มีการจัดซื้อและใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าขนส่งสาธารณะเพื่อเป็นตัวอย่างนำร่อง

แต่รู้ไหมว่า ? หากศึกษาถึงความคุ้มค่า สำหรับคนที่กำลังจะซื้อรถยนต์และต้องการรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วย ก็ต้องบอกว่าคุ้มมาก เพราะมาตรการทางภาษียังถูกกว่ารถยนต์เชื้อเพลิงอีกต่างหาก

โดยรัฐมีการส่งเสริมการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าให้แก่ผู้ผลิต ทั้งการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ยกเว้นอากรการนำเข้าพวกชิ้นส่วนและอุปกรณ์ โดยผู้ผลิตต้องยื่นเข้ารับการส่งเสริมแก่ BOI และยังมีมาตรการในการลดภาษีสรรพาสามิต และทำให้ผู้บริโภคหาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลง ซึ่งภาครัฐมีเป้าหมายในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริดปลั๊กอิน และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่รวมทั้งสิ้น 1.2 ล้านคันในปี พ.ศ. 2579

ลองเปรียบเทียบกับต่างประเทศกันดูบ้างว่ารัฐบาลบ้านเขาส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) อย่างไร

ประเทศนอร์เวย์ ผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับการยกเว้นภาษีจดทะเบียนและภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยรัฐให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการที่ติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า และผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทุกคนในประเทศสามารถชาร์จไฟฟ้าในแท่นชาร์จสาธารณะได้ ‘โดยไม่มีค่าใช้จ่าย’ มียกเว้นค่าผ่านทางในถนนที่มีการเก็บค่าผ่านทาง และอนุญาตให้รถยนต์ไฟฟ้าใช้ช่องทางสำหรับรถโดยสารประจำทางและรถแท็กซี่ (Bus and taxi lanes) พร้อมทั้งให้จอดรถในพื้นที่สาธารณะทุกแห่งได้โดยไม่เสียค่าจอด

ประเทศญี่ปุ่นภาครัฐนั้นให้เงินสนับสนุนในเรื่องของงานวิจัยพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยมุ่งให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งเรื่องของโมเดลรถและแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และได้มีการทำข้อตกลงร่วมกันตั้งแต่ต้นในเรื่องของ ‘แท่นชาร์จ’ ให้รถทุกยี่ห้อสามารถใช้หัวชาร์จแบบเดียวกันได้ รวมถึงยังมีการให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการลดหรือยกเว้นภาษีจากผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีมาตรการนำรถยนต์ทั่วไปคันเก่า มาแลกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าคันใหม่ที่สอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่รัฐกำหนดไว้ อีกทั้งมีการจัดตั้ง

‘เมืองยานยนต์ไฟฟ้า EV/PHEV town’ เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบที่มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย

นโยบายที่ชัดแจนและการสร้างองค์ความรู้ที่ชัดเจนให้กับประชาชนในประเทศ ผนวกกับการส่งเสริมของภาครัฐอย่างจริงจังก็สะท้อนให้เห็นว่าประเทศเหล่านั้นประสบความสำเร็จในการผลักดันการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รักษาสิ่งแวดล้อม ประชาชนก็ได้ประโยชน์

ส่วนบ้านเรา !! ในฐานะที่เป็นหนึ่งในประชาชนผู้เสียภาษี และมีความจำเป็นที่ต้องออกรถใหม่ในไม่ช้า ส่วนตัวก็มีความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้า แต่ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่ารัฐส่งเสริมมาตรการภาษีอย่างไร การให้บริการพร้อมสรรพหรือยัง รู้แต่เพียงว่าราคารถยนต์พลังงานไฟฟ้าช่างสูงลิ่ว และเราอาจต้องนั่งรถเมล์สูดควันดำกันต่อไป


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ