'นิค วูจิซิค' แรงบันดาลใจจากชายไร้แขน - ขา ผู้นำพา 'กำลังใจ' มาสู่คนทั่วโลก

เวลารู้สึกเหนื่อย ๆ ท้อ ๆ ไม่อยากทำอะไร รู้สึกชีวิตมันไม่เป็นดั่งหวัง แล้วชอบตั้งคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ ว่า...ทำไมเราไม่เป็นแบบเขาคนนั้น ทำไมเราไม่รวยแบบเขาคนนี้?

และเชื่อเถอะว่าในยุคที่เรากำลังเจอกับสถานการณ์แย่ ๆ ทั้งโรคระบาด เศรษฐกิจ การเมือง และ Climate Change หลากรูปแบบ มันก็ยิ่งทำให้อดไม่ได้ที่ปล่อยให้ความรู้สึกแบบนี้หลั่งใหลเข้ามาในความคิดแบบทับถม

ใช่เลย 'ความสิ้นหวัง' กำลังเข้ามาเยือนชีวิตเราใกล้มากขึ้น ๆ

แต่ขอโทษที!! ถ้ามองมุมกลับ ทำไมเราไม่เคยคิดลุกขึ้นมาหรือสู้กับความคิดเหล่านี้และผ่านมันไปให้ได้บ้างล่ะ มีเรื่องของชายคนหนึ่งที่อยากจะนำมาแชร์ เขาเป็นคนที่น่าจะสิ้นหวังกับชีวิตยิ่งกว่าเรา ๆ ท่าน ๆ หรือใครในโลก

ชายนั้นชื่อว่า 'นิค วูจิซิค' (Nick Vujicic) นิค เป็นชายที่ไม่มีแขนขามาตั้งแต่เกิด!! เขาเป็นชาวออสเตรเลีย เกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2525 (อายุ 38 ปี) โดยพ่อและแม่เป็นชาวเซอร์เบียที่อพยพเข้ามายังออสเตรเลีย

แม่ของนิคมีอาชีพเป็นพยาบาลและเธอก็ดูแลตัวเองมาตลอดช่วงที่ตั้งท้อง แถมตอนตรวจอัลตร้าซาวด์ประมาณ 3 ครั้ง ก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ ในตัวนิคเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งวันที่นิคเกิด เขาลืมตามองดูโลก มาพร้อมกับร่างกายที่ไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง ขณะเดียวกันเขามีขาสั้นๆ ลีบเล็กเพียงหนึ่งข้างกับนิ้วเท้า 2 นิ้วเท่านั้น อาการนี้เรียกว่า Tetra-amelia disorder เกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่ทำให้ผู้ป่วยไม่มีแขนและขา

แล้วรู้ไหมว่า คนที่มีอาการแบบนี้บนโลก มีเพียง 7 คน พูดง่าย ๆ คือ โอกาสที่จะเกิดอาการดัวกล่าวมีเพียง 0.000000092% เท่านั้น แต่นิคก็คือหนึ่งในนั้น

ที่น่าเศร้าในช่วงแรก ๆ หน่อย คือ ตอนที่พยาบาลอุ้มนิคออกมาจากห้องคลอด เพื่อมาให้ผู้เป็นแม่ได้พบนั้น เธอรับไม่ได้และก็ปฏิเสธที่จะอุ้มเขา พ่อและแม่ของนิคเรียกว่าเสียใจอย่างมาก และต่างก็คิดว่านิคคงอยู่ได้ไม่นาน แต่พอหมอได้ตรวจสุขภาพนิค ก็พบว่าเขามีร่างกายที่แข็งแรงดี พวกเขาจึงทำใจยอมรับ และตั้งใจให้นิคได้ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป

ทว่าต่อให้สุขภาพนิคจะดีแค่ไหน แต่ด้วยร่างกายที่ผิดปกติ ทำให้ชีวิตในวัยเด็กของนิคลำบากอย่างมาก ไหนจะเกือบอดเข้าเรียน เพราะกฎหมายในออสเตรเลียขณะนั้น ไม่ให้คนพิการเข้าเรียนกับคนปกติ (แต่กฎหมายแก้ตอนหลังให้เรียนด้วยกันได้)

ไหนจะถูกเพื่อนล้อเลียนเป็นประจำ ซึ่งเรื่องนี้แหละที่คนปกติบางทียังทนไม่ไหว แต่นี่เกิดกับเด็กที่พิการอย่างหนัก มันก็อาจจะทำให้หัวใจเปราะบางเอาง่าย ๆ

ครั้งหนึ่งนิคเคยเจอการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้เขาอย่างมาก เพราะเขาโดนเพื่อนถึง 12 คนรุมแกล้ง และมองเขาเป็นตัวตลก เขาเสียใจและกลับมานั่งคิดว่า การที่เขามีสภาพอยู่แบบนี้ต่อไป มันช่างไร้ความสุข ซ้ำยังเป็นภาระของพ่อและแม่อีก เขาเลยคิดอยากฆ่าตัวตายหลายครั้ง

***แต่โชคดีที่ 'ความรัก' และ 'กำลังใจ' จากพ่อแม่ ได้ทำให้เขาผ่านเรื่องร้าย ๆ พวกนั้นมาได้***

นิคเริ่มเปลี่ยนความคิดใหม่ เขามองว่าแม้ภายนอกจะแตกต่าง แต่ 'ภายใน' (ความคิดและจิตใจ) ของเขานั้นก็เหมือนกับคนทั่วไปทุกอย่าง

หลังจากเรียนจบ (ปริญญา 2 ใบทางด้านบัญชี และด้านการวางแผนการเงินในวัย 21 ปี) เขาจึงตั้งใจอยากจะนำเรื่องราวในชีวิตของเขามาเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนอื่น ๆ ผ่านอาชีพ 'นักพูด' 

เขาตัดสินใจติดต่อไปยังโรงเรียนต่าง ๆ เพื่อไปพูดให้กำลังใจและสร้างแรงบันดาลใจแก่เด็ก ๆ แต่ช่วงแรกนิคก็โดนปฏิเสธจากทุกโรงเรียน แต่จนมาวันหนึ่งเขาก็ได้รับการตอบรับ…

แม้ครั้งแรกที่เขาไปพูดจะมีคนฟังเพียง 10 คน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาท้อ เขายังคงเดินหน้าทำสิ่งที่เขารักมาตลอด จนเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น และสุดท้ายคนจำนวนมากก็ยอมรับในตัวเขา ถึงขนาดยกย่องว่า นิค เป็นหนึ่งในนักพูดที่สร้างแรงบันดาลใจที่ดีที่สุดคนหนึ่งในโลกกันเลยทีเดียว

นิคเริ่มโด่งดังและมีชื่อเสียงถึงขนาดในปี ค.ศ.2009 ได้มีโอกาสไปเล่นหนังเรื่อง 'The Butterfly Circus' ซึ่งหนังเรื่องดังกล่าวได้รับรางวัลหลายรางวัล และในปี ค.ศ.2011 ยังได้ถูกเชิญไปพูดเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจที่ 'World Economic Forum' ซึ่งเป็นการประชุมเศรษฐกิจประจำปี ที่มีผู้นำจากหลายประเทศเข้าร่วมอีกด้วย

แต่ที่น่ายินดีเหนือกว่านั้น คือ เขาเติมเต็มชีวิตได้ด้วยชีวิตคู่…ใช่แล้ว!! ปัจจุบัน นิค แต่งงานและมีลูกกับภรรยาด้วยกัน 4 คน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา นิค ได้พยายามแสดงให้หลายคนเห็นว่า ความพิการมันไม่ได้ทำให้ชีวิตคนย่ำแย่ แต่ความท้อแท้ต่างหากที่จะนำปัญหาต่าง ๆ เข้ามาในชีวิต

...ยังมีคนอีกมาก ที่แย่กว่าเรา 

...ยังมีคนอีกมาก ที่อาจจะไม่เคยได้รับโอกาสใด ๆ เลย

และยังมีคนอีกมากที่ยอม 'ล้มลง' ไปดื้อ ๆ เพียงแค่ไม่ได้บางสิ่งบางอย่างตามใจหวัง

เรื่องราวของนิคน่าจะทำให้หลายคนที่กำลังนำความทุกข์เข้ามาในชีวิต เพราะความ 'อยากได้อยากมี' และการ 'ไขว่คว้า' บางสิ่งบางอย่างที่มากเกินความเป็นจริงของชีวิต อาจจะไม่ใช่คำตอบ 

กลับกันขอแค่ได้ลองสัมผัสกับความสุขที่ 'พอเพียง' ในแบบที่คุณและคนข้าง ๆ ยิ้มและหัวเราะไปด้วยกันได้โดยไม่ต้องแสวงหาสิ่งที่เกินตัว

.

แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วมั้ง…