Friday, 18 July 2025
WORLD

พบ 'เด็กสาว' รอดชีวิต เหตุแผ่นดินไหวตุรเคีย-ซีเรีย หลังติดอยู่ใต้ซากตึกนานกว่า 11 วัน รวม 260 ชม.!!

(17 ก.พ. 66) ยอดผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวตุรเคียและซีเรีย แตะ 44,000 รายแล้ว ปาฏิหาริย์วันที่ 11 สามารถช่วยเด็กติดใต้ซากปรักหักพังนานสุด 260 ชั่วโมง

ความคืบหน้าเหตุแผ่นดินไหวตุรเคียและซีเรีย ยอดผู้เสียชีวิตยังเพิ่มขึ้นแตะ 44,000 รายแล้ว จากการรายงานล่าสุดของซีเอ็นเอ็น โดยเสียชีวิตในตุรเคีย 38,044 คน ส่วนในซีเรียราว 5,800 คน อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้สูญหายอีกหลายพันคน ที่คาดว่าติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง แต่ปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิต ได้เข้าสู่ช่วงท้ายสุด และกำลังจะปิดลงแล้ว ทั้งรัฐบาลตุรเคียและซีเรียยังไม่เคยยืนยันจำนวนผู้สูญหายจากแผ่นดินไหว

แต่ปาฏิหาริย์ยังคงเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (16 ก.พ. 66) ซึ่งเข้าสู่วันที่ 11 หลังจากเกิดแผ่นดินไหว ผู้รอดชีวิตล่าสุดที่พบใต้ติดอยู่ซากปรักหักพัง นานสุด 260 ชั่วโมง

ทีมกู้ภัยทำงานกันตลอดทั้งคืนวันพฤหัสที่ผ่านมา จนสามารถดึงตัวเด็กชาย 1 คน ที่รอดชีวิต ขึ้นมาจากใต้ซากปรักหักพังได้ ในช่วงเช้าวันศุกร์นี้ (17 ก.พ.) หลังเด็กน้อยติดอยู่นาน 260 ชั่วโมง นับเป็นผู้รอดชีวิตที่ติดใต้ซากนานที่สุดเท่าที่พบจนถึงวันนี้ ทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้องและปรบมือด้วยความดีใจ เมื่อดึงตัวเด็กชายออกจากใต้ซากปรักหักพังได้อย่างปลอดภัย และนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว

และเมื่อวานนี้ (16 ก.พ. 66) ซึ่งเป็นวันที่ 11 หลังแผ่นดินไหวยังพบผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ใต้ซากตึกนานกว่า 248 ชั่วโมงอีก 3 คน เป็นเยาวชน 2 คน คือเด็กชายอายุ 12 ปีชื่อ 'ออสมาน', เด็กสาววัยรุ่นอายุ 17 ปี ชื่อ 'อาเลย์นา โอลเมซ' และหญิงวัย 30 ปีอีก 1 คน

อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิต ได้เปลี่ยนไปเป็นการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหว และสถานการณ์ล่าสุดในตุรเคีย เริ่มใช้รถขุดตักเก็บกวาดซากปรักหักพังแล้ว หลังจากไม่คาดคิดว่าจะพบผู้รอดชีวิตจากใต้ซากแล้ว ในขณะที่ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตหลายล้านคนจากแผ่นดินไหว ประสบอุปสรรคจากความหนาวเหน็บของฤดูหนาว ที่แผ่ไปทั่วพื้นที่แผ่นดินไหวในตุรเคีย

'จีน' หัวใส นำ ‘กากไขมัน’ จากเหลาหม้อไฟ ส่งให้ยุโรปไปผลิตน้ำมันเติมเครื่องบิน

บริษัทจีนหัวใส นำไขมันเหลือทิ้งจากหม้อไฟกว่า 1.2 หมื่นตันในแต่ละเดือน ส่งออกเป็นพลังงานเครื่องบินได้

หม่าล่าหม้อไฟเสฉวน ได้รับความนิยมอย่างมากในจีน นอกจากรสชาติจะเข้มข้น เผ็ดร้อน ยังอุดมไปด้วยไขมันจากพืช และ สัตว์ ที่ช่วยให้รสชาติกลมกล่อม และนุ่มนวลขึ้น เป็นที่ถูกใจชาวจีนอย่างยิ่ง จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นร้านหม้อไฟอยู่ทุกหน ทุกแห่ง ในประเทศจีน 

และในแต่ละปี ก็จะมีไขมันเหลือทิ้งจากภัตตาคารหม้อไฟเป็นจำนวนมาก เฉพาะในนครเฉิงตูก็มีไขมันเหลือทิ้งมากถึง 12,000 ตันในแต่ละเดือน จึงเริ่มมีความคิดที่ว่า เราสามารถนำไขมันเหล่านี้ไปทำอะไรได้บ้าง?

จนในปี 2016 มีบริษัท Start-up ในเฉิงตู ได้ตระเวนเก็บเศษไขมันจากร้านอาหารเอาไปขายต่อให้กับโรงกลั่นในสิงคโปร์ และ ยุโรป เพื่อนำไปรีไซเคิลใหม่เป็นน้ำมันที่ใช้กับเครื่องบิน เป็นไปได้หรือนี่!

จากกระแสตื่นตัวเรื่องปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่กดดันอุตสาหกรรมการบินที่มีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนในชั้นบรรยากาศอยู่ราวๆ 2% ให้พยายามหาแหล่งพลังงานสะอาด ก่อให้เกิดมลภาวะน้อยลง ด้วยเหตุนี้ สายการบินชั้นนำของโลก อาทิ British Airways, Cathay Pacific และ Delta ออกมาประกาศว่าใช้แหล่งพลังงานสะอาดทดแทนให้ได้ 10% ของน้ำมันเชื้อเพลิงจากฟอสซิลภายในปี 2030 

น้ำมันเหลือทิ้งจากอุตสาหกรรมร้านอาหารจึงตอบโจทย์ในด้านพลังงานยั่งยืน จากการรีไซเคิลน้ำมันที่มีอยู่เดิม ลดปริมาณการถางป่าเพื่อเพาะปลูกพืชน้ำมันใหม่ อีกทั้งภัตตาคาร ร้านอาหารจีน ก็ใช้น้ำมันในการปรุงอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะ หม้อไฟที่มีส่วนประกอบของไขมันจำนนมาก จึงทำให้จีนกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเหลือใช้รายใหญ่ที่สุดในโลก

จาก ‘ผู้นำมะกัน’ สู่ ‘เลือกตั้ง’ ครั้งใหม่ของไทย ‘คนดี’ นั้นไซร้ ย่อมอยู่ในใจผู้คนตลอดกาล

สำหรับมวลมหาประชาชนคนอเมริกันแล้ว ไม่ได้มีแค่ ‘วันวาเลนไทน์’ วันเดียวเท่านั้นที่เป็นวันสำคัญในเดือนกุมภาพันธ์ หาแต่ยังมีอีกวันที่ทุกคนเฝ้ารอ นั่นคือ ‘วันประธานาธิบดี’ 

ที่ว่าเฝ้ารอนี่ไม่ใช่เพราะให้ความสำคัญกับ ‘ประธานาธิบดี’ หรอก แต่เพราะทุกห้างร้านจะ ‘ลดราคาครั้งใหญ่’ ถึงบางคนอดใจไม่ซื้อของขวัญวาเลนไทน์ แต่เลื่อนไปซื้อของขวัญในวันนี้แทน เพราะได้ส่วนลดมากมาย 

วัน Presidents Day หรือ วันประธานาธิบดี ตรงกับวันจันทร์ในสัปดาห์ที่ 3 ส่วนที่เลือกเป็นวันนี้นั้น เพราะเป็นวันเกิดของ ‘จอร์จ วอชิงตัน’ ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1732 โดยมีการร่างพระราชบัญญัติให้วันนี้เป็นวันหยุดราชการและเริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1971 

ไม่เพียงแค่เป็นเดือนเกิดของ ‘จอร์จ วอชิงตัน’ เท่านั้น หากแต่ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ยังเป็นเดือนเกิดของประธานาธิบดีที่มีความสำคัญอีกท่าน นั่นก็คือ ‘อับราฮัม ลินคอล์น’ โดยในพระราชบัญญัติที่ว่านี้ระบุให้วันประธานาธิบดี เป็น ‘วันสดุดีอับราฮัม ลินคอล์น’ ประธานาธิบดีคนที่ 16 ซึ่งเกิดในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1809 อีกด้วย เรียกว่าเป็นแพ็กคู่แห่งความสำคัญแบบ 1 แถม 1 กันเลยทีเดียว

ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว ก็ขอพาย้อนไปดูสาระน่ารู้เกี่ยวกับผู้นำมะกันในอดีตสักเล็กน้อย โดยเริ่มจากจำนวนประธานาธิบดีนับตั้งแต่เริ่มอย่าง จอร์จ วอชิงตัน ในปี ค.ศ. 1789 มาจนถึงปัจจุบันนั้น อเมริกาจะมีประธานาธิบดีแล้วทั้งสิ้น 46 คน ซึ่งคนล่าสุด ก็คือ ‘ลุงโจ ไบเดน’ นั่นแหละ  

>> อยู่ยั่งยืนยง
ส่วนประธานาธิบดีที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด ก็ได้แก่ ประธานาธิบดี ‘แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์’ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ถึง 4 สมัยหรือ 16 ปี หลังจากนั้นมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 22 ในปี ค.ศ. 1951 กำหนดให้บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่เกิน 2 สมัยติดต่อกัน

ที่สหรัฐฯ นั้น ทุกๆ 4 ปีจะมีการสำรวจโพล ‘ประธานาธิบดีและความยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีในการเมืองของฝ่ายบริหาร’ โดยสำรวจความคิดเห็นนักวิจัยด้านสังคมศาสตร์ของสมาคมรัฐศาสตร์ เกี่ยวกับประธานาธิบดีและการเมืองของฝ่ายการบริหาร ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นให้คะแนนความยิ่งใหญ่ของประธานาธิบดีแต่ละคนจาก 0 ถึง 100 ซึ่ง 100 คือ ยิ่งใหญ่, 50 คือ ปานกลาง และ 0 คือ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

>> สุดยอดผู้นำ
สำหรับประธานาธิบดียอดเยี่ยมนั้น ผลสำรวจมักออกมาแบบนี้แทบทุกหน นั่นคือ 7 อันดับประธานาธิบดียอดเยี่ยมอันดับหนึ่งอภิมหาอมตะนิรันดร์กาลคือ อับราฮัม ลินคอล์น ตามด้วยจอร์จ วอชิงตัน, แฟรงคลิน  รูสเวลต์, ธีโอออร์ รูสเวลต์, โธมัส เจฟเฟอร์สัน, แฮร์รี ทรูแมน และดไวท์ ไอเซนฮาวร์ โดยอับราฮัม ลินคอล์นได้คะแนนนำสูงลิ่วมาทุกครั้ง เรียกว่าเป็นประธานาธิบดีในหัวใจประชาชนอย่างแท้จริง

>> ผู้นำห่วยแตก
ส่วนประธานาธิบดีห่วยแตกสุด 5 คน เรียงจากบ๊วยสุด คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ตามมาด้วย แอนดรูว์ จอห์นสัน, แฟรงคลิน เพียร์ซ, วิลเลียม แฮร์ริสัน และ เจมส์ บูแคนัน โดยนักวิจัยขอให้นักรัฐศาสตร์ช่วยระบุชื่อประธานาธิบดีที่คิดว่าสร้างความแตกแยกมากที่สุด ผลปรากฏว่านักรัฐศาสตร์ 90 จากทั้งหมด 170 คนยกให้ ‘ทรัมป์’ เป็นผู้นำที่สร้างความแตกแยกที่สุด

ส่อง ‘เมียนมา’ ในวันที่ชาติตะวันตกเข้ามาเผือก กองทัพไม่กระทบ-คนป่วนนั่งชิล-ปชช.รับบาป

เพิ่งจะผ่านวันครบรอบการรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แม้ปัจจุบันในเมียนมายังมีหลายพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่สีแดงและห้ามคนต่างชาติเดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าวแม้จะมีการเปิดประเทศแล้ว รวมถึงการแซงชันจากชาติตะวันตก ซึ่งทั้งหมดนี้กระทบถึงฝ่ายกองทัพหรือไม่ เอย่ากล่าวได้เลยว่า กองทัพเมียนมาแทบไม่ได้รับผลกระทบเลย แต่คนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ นั่นคือประชาชนที่หลายคนไม่ได้สนับสนุนกองทัพ แต่ต้องมารับผลโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ประเด็นการแซงชันในเมียนมานั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า เมียนมาโดนชาติตะวันตกแซงชันมานับสิบๆ ปีก่อนจะมาเปิดประเทศ ซึ่งนั่นเหมือนเป็นวัคซีนชั้นดีที่ทำให้เมียนมาปรับตัวได้ โดยผ่านระบบเอเย่นต์

ส่วนการก่อความไม่สงบในเมียนมาดังที่ปรากฎในข่าวไม่ว่าจะเป็นการวางระเบิดถนน สะพาน รถไฟ หรือลอบสังหารผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่รัฐก็ดี ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเปรียบได้กับโมเดลของโจรใต้ในประเทศไทย แต่ส่งผลซ้ำร้ายกว่าตรงที่ผลเหล่านั้นกระทบกับผู้คนในพื้นที่ทั้งทางตรงและทางอ้อม

‘สโนว์เดน’ ฟัน!! สหรัฐฯ ปล่อยข่าววัตถุบินปริศนา กลบข้อกล่าวหา ‘ระเบิดท่อก๊าซนอร์ดสตรีม’

การโหมประโคมข่าวอย่างบ้าคลั่งของสื่อมวลชนเกี่ยวกับ ‘บอลลูนสอดแนม’ และวัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษ์เหนือท้องฟ้าอเมริกาเหนือ น่าเศร้าที่มันไม่ได้เกี่ยวกับการติดต่อกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก ทว่ามันเพียงแค่การจัดฉากความตื่นตระหนก ชี้นำทางการเมืองในทางที่ผิดเท่านั้น จากความเห็นของ เอ็ดเวิร์ด สโนว์แดน จอมแฉอดีตลูกจ้างของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (13 ก.พ.) ที่ผ่านมา

"มันไม่ใช่เอเลี่ยน แม้ผมปรารถนาให้มันเป็นเอเลี่ยน แต่มันไม่ใช่เอเลี่ยน มันเป็นแค่ความตื่นตระหนกที่ถูกออกแบบขึ้นมา เป็นสิ่งรบกวนดึงดูดความสนใจ เพื่อรับประกันว่าพวกผู้สื่อข่าวด้านความมั่นคงแห่งชาติจะได้รับมอบหมายให้เข้าสืบสวนตรวจสอบบอลลูนบ้า ๆ บอ ๆ แทนที่จะเป็นงบประมาณหรือเหตุระเบิดต่าง ๆ อย่างเช่นท่อลำเลียงนอร์ดสตรีม" สโนว์เดนเขียนบนทวิตเตอร์

ซีมัวร์ เฮิร์ช นักข่าวสืบสวนสอบสวนคนดังเจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ เผยแพร่รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เล่าถึงวิธีการที่สหรัฐฯ และนอร์เวย์ลอบก่อวางระเบิดท่อลำเลียงนอร์ดสตรีม ที่ขนส่งก๊าซธรรมชาติของรัสเซียไปเยอรมนีเมื่อเดือนกันยายนปีก่อน และจุดชนวนระเบิดมันในอีก 3 เดือนหลังจากนั้น กระตุ้นให้อเมริการุดออกมาตอบโต้ว่า "เป็นรายงานเท็จ"

ไม่กี่วันถัดมา กองทัพสหรัฐฯ เริ่มต้นสอยร่วงวัตถุบินปริศนาต่างๆ บนท้องฟ้าเหนืออเมริกาเหนือ และจอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติอเมริการะบุในวันจันทร์ (13 ก.พ.) รัฐบาลสหรัฐฯ ยังไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของวัตถุบิน 3 ลำหลังสุดที่ถูกยิงตกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ แต่ คารีน ฌอง-ปิแอร์ เลขานุการฝ่ายสื่อสารมวลชนของทำเนียบขาว ระบุ "ไม่พบสิ่งบ่งชี้ของเอเลี่ยนและกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตนอกโลก"

เคอร์บี แถลงว่าวัตถุบินในระดับสูงถูกยิงตกนอกชายฝั่งอะแลสกาในวันศุกร์ (10 ก.พ.) จากนั้นเครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ สอยร่วงวัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ลำหนึ่งเหนือเมืองยูคอน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคนาดาในวันเสาร์ (11 ก.พ.) ก่อนที่วัตถุบินปริศนาลำที่ 3 จะถูกยิงตกในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ (12 ก.พ.) เหนือทะเลสาบฮูรอน ตอนที่มันบินเข้าใกล้รัฐมิชิแกน

กูรูระดับโลกชื่นชมศักยภาพของ ‘เงินบาท’ ‘แข็งแกร่ง-มีเสถียรภาพ’ แม้เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ

รูชีร์ ชาร์มา (Ruchir Sharma) นักลงทุนผู้มากประสบการณ์ ประธานบริษัทการเงินระดับโลก Rockefeller Capital Management ผู้ติดตามความเคลื่อนไหวของเงินสกุลต่างๆ ทั่วโลกมานานเกือบ 30 ปี ได้กล่าวถึง ‘เงินบาท’ ของไทยด้วยความชื่นชม ผ่านคอลัมน์ของ Financial Times (12 ก.พ. 2566) เนื่องด้วย เดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ จะครบรอบ 25 ปี ที่เขาเคยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ในวันที่ไทยกำลังเผชิญวิกฤติ ‘ต้มยำกุ้ง’ อย่างหนักและลุกลามไปหลายประเทศในเอเชีย

ในช่วงเวลานั้น ค่าเงินบาทของไทยลดค่าลงอย่างรุนแรงกว่า 40% ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่หดตัวลงถึง 20% ในพริบตา ตลาดหุ้นดิ่งเหวกว่า 60% สถาบันการเงินหลายแห่งเข้าสู่ภาวะล้มละลาย หนี้สาธารณะพุ่งสูงจนรัฐบาลไทยต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากกองทุน IMF 

ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2541 มานั้น แทบไม่มีนักลงทุนต่างชาติคนไหนกล้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เงินบาทเป็นสกุลเงินที่มองไม่เห็นอนาคต เป็นหนึ่งในวิกฤติการเงินที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของไทย

แต่สุดท้าย เงินบาทก็สามารถพลิกฟื้นขึ้นมาเป็นหนึ่งในเงินสกุลหลักของภูมิภาคอาเซียน สามารถรักษามูลค่าไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ กลายเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่ง มั่นคง กว่าเงินสกุลอื่นในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ และดูดีกว่าเงินสกุลของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วหลายๆ ชาติ หากไม่นับ รวม Swiss Franc ด้วยซ้ำไป นับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

หนึ่งในข้อดีของวิกฤติค่าเงินในครั้งนั้น ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเติบโต เนื่องจากค่าใช้จ่ายถูกลงมาก จึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งไทยยังมีแหล่งท่องเที่ยว และ ภาคบริการรองรับที่ดี ซึ่งช่วยส่งเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันของไทย แม้ว่าค่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นแล้วก็ตาม จากประเทศที่เคยเป็นศูนย์กลางของวิกฤติค่าเงินกลับขึ้นมาเป็นหนึ่งในเสาหลักของอาเซียนและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อีกหลายๆ ประเทศ

‘หวัง อี้’ พบปะ ‘ดอน ปรมัตถ์วินัย’ หารือสายสัมพันธ์ ‘จีน-ไทย’

(14 ก.พ. 66) สำนักข่าวซินหัว เผยว่า เมื่อวันจันทร์ (13 ก.พ.) ‘หวัง อี้‘ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) พบปะกับ ‘ดอน ปรมัตถ์วินัย‘ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ณ กรุงปักกิ่งของจีน

‘หวัง‘ สมาชิกกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคฯ กล่าวว่า จีนและไทยใกล้ชิดกันดังครอบครัว โดย ‘สีจิ้นผิง‘ ประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางเยือนไทยในปีก่อนและบรรลุฉันทามติสำคัญกับฝ่ายไทยในการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อความมั่นคง ความมั่งคั่ง และความยั่งยืนยิ่งขึ้น

หวังเสริมว่า ฝ่ายจีนพร้อมทำงานร่วมกับไทยเพื่อดำเนินการตามผลลัพธ์จากการเดินทางเยือนไทยของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง คุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของสองประเทศ และพิทักษ์สันติภาพและเสถียรภาพระดับภูมิภาค

วันตะดิงจุด หรือ ออกพรรษาของเมียนมา มรดกทางวัฒนธรรมร่วม ที่ควรรีบขอขึ้นทะเบียน

มีข่าวดังมาจากองค์การ UNESCO ว่าประเทศไทยขอขึ้นทะเบียนวันสงกรานต์เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ในขณะที่กัมพูชายังมึนตึ๊บกับเรื่องมวยไทยกับกุน ขแมร์ กันอยู่

เอย่ามองว่าวัฒนธรรมเหล่านี้มันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมร่วมในดินแดนอุษาคเนย์แห่งนี้ อย่างสงกรานต์ในไทย-ในลาว เรียกว่า ‘ตรุษสงกรานต์’ ในกัมพูชาเรียกว่า ‘โจล ชนัม ขแมร์’ ส่วนในพม่าเรียกว่า ‘ติงจ่าน’ หรือ ตะจ่านนั้น ทุกความเชื่อเหมือนกันคือเป็นวันปีใหม่และมีเทศกาลเล่นน้ำ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งหากเอาหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาพูดย่อมจะพูดกันได้ยาก ว่าเป็นวัฒนธรรมของประเทศใดประเทศหนึ่ง  

ทั้งนี้ยังมีอีก 1 เทศกาลที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือ วันตะดิงจุด หรือ ออกพรรษาของพม่า ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมร่วมเช่นกัน เพียงแต่ในแต่ละประเทศมีประเพณีต่างกันไปบ้าง เช่น ในไทยมีการตักบาตรเทโว เป็นต้น ส่วนในพม่าและลาวนั้น มีการประดับประดาเทียนตามพื้นที่วัดและอาคารบ้านเรือนเพื่อสักการะต่อพระพุทธเจ้าที่เสด็จลงมาจากสวรรค์นั่นเอง

จีนพบยานบินลึกลับโผล่เหนือน่านฟ้า ด้านกองทัพพร้อมสอย ไม่ต้องรออ้างอิงสัญชาติ

สื่อจีนได้รายงานว่า พบยานบินปริศนาโผล่เหนือน่านฟ้าจีน บริเวณทะเลปั๋วไห่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือชายฝั่งทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของจีน หนึ่งในท่าเรือขนส่งที่คับคั่งเป็นอันดับต้นๆ ของโลก 

หน่วยนาวิกโยธินแห่งนครชิงเต่ารายงานว่าพบยานบินปริศนาไม่ทราบสัญชาติ ลอยอยู่บนฟ้าใกล้เขตสนามบินนานาชาติรื่อจ้าว ในขณะที่กำลังทำการซ้อมรบในบริเวณช่องแคบปั๋วไห่ ที่เชื่อมต่อกับทะเลเหลือง เมื่อวันอาทิตย์ (12 ก.พ. 66) ที่ผ่านมา ด้านฝ่ายกองทัพจีนแถลงว่า พร้อมที่จะส่งเครื่องบินขับไล่ ทำลายยานบินปริศนาลำดังกล่าว ให้ตกลงที่กลางทะเลปั๋วไห่แล้ว 

โดยได้ประกาศแจ้งเตือนชาวประมงที่อยู่ในน่านน้ำทะเลปั๋วไห่ ไม่ให้เข้าใกล้บริเวณที่พบยานบินปริศนาลำนี้ จนกว่าจะมีการยืนยันว่าได้ทำลายยานบินลำดังกล่าวไปแล้ว และหากมีเรือประมงลำใดพบเศษซากของวัตถุปริศนาที่ตกสู่ทะเลนี้ ขอให้ถ่ายภาพ และคลิปวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะขอความร่วมมือช่วยกู้ซากนำส่งให้กับทางการจีนต่อไป

'กัมพูชา' ประกาศ 'กุน ขแมร์' มีผู้เข้าแข่งขันมากพอ ไม่สนไทยขู่คว่ำบาตรการแข่ง ลั่น!! ไทยไม่เข้าร่วมก็ไม่เป็นไร

(13 ก.พ. 66) ทางกลุ่ม Facebook Fanpage : ASEAN "มอง" ไทย ได้มีการเผยข้อมูลว่า ประเทศกัมพูชาออกมาประกาศว่า...

“ตอนนี้ประเทศลาว, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, เมียนมา, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ได้เป็นสมาชิกของสหพันธ์กุน ขแมร์นานาชาติ และได้ลงทะเบียนรายชื่อนักกีฬาในการแข่งขันซีเกมส์แล้ว ณ ตอนนี้ ประเทศไทยยังไม่มีการขึ้นทะเบียนนักกีฬา ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะไม่ส่งแข่งขัน แถมพวกเขายังกดดันไม่ให้หลายประเทศเข้าร่วม ถ้าประเทศไทยไม่มาก็ไม่เป็นไร เรามีผู้เข้าแข่งขันมากเกินพอ และเกินโควตาซีเกมส์“ Mr.Meam Ra ประธาน KKIF กล่าว

การประชุมพิเศษของผู้นำสหพันธ์กุน ขแมร์นานาชาติ (KKIF) ที่กรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2566 ระหว่างการประชุม ฝ่ายไทยกล่าวว่าจะเข้าร่วมการแข่งขัน (ครั้งนั้นคุณชินวุธ ศิริสัมพันธ์ หรือครูวู้ดดี้ เป็นตัวแทนฝ่ายไทย)

อาลัย 'Proteo' สุนัขค้นหากู้ภัยจากเม็กซิโก เสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจช่วยผู้ประสบภัยในตุรเคีย

(13 ก.พ. 66) เฟซบุ๊ก 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' เผยเรื่องราว การจากไปของ 'Proteo' (โปรเตโอ) สุนัขค้นหากู้ภัยขณะปฏิบัติภารกิจ ณ ศูนย์กลางแผ่นดินไหว ประเทศตุรเคีย โดยมีข้อความว่า 

กระทรวงกลาโหมเม็กซิโก ประกาศข่าวร้ายในโพสต์บนบัญชีทวิตเตอร์ “ขอบคุณสำหรับงานที่กล้าหาญของคุณ คุณทำงานของคุณสำเร็จแล้ว Proteo”

ตามข้อมูลที่ไม่ได้ลงรายละเอียดลึก ท่ามกลางความเสียใจของทีมค้นหา ระบุว่า “โปรเตโอ กำลังค้นหาในซากอาคาร เกิดอุบัติเหตุซากอาคารถล่มลงมาเขาบาดเจ็บสาหัส โปรเตโอ ทนพิษบาดแผลไม่ไหวหลังจากปฐมพยาบาล”

'ปราสาทกาซีอันเตป' มรดกยุคโรมันอายุ 2 พันปี พังทลายลงจากเหตุแผ่นดินไหวในตุรเคีย

ภัยพิบัติแผ่นดินไหวระดับรุนแรงมากที่เกิดขึ้นในทางตอนใต้ของประเทศตุรเคียและตอนเหนือของประเทศซีเรีย ซึ่งมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่เมืองกาซีอันเตป (Gaziantep) สร้างความเสียหายใหญ่หลวง อาคารบ้านเรือนทลายลงมาเหลือสภาพเป็นซากปรักหักพัง เศษอิฐซากปูนที่ทับถมกองพะเนินมีครอบครัวของใครบางคนที่รอการค้นพบอยู่ในนั้น โดยไม่ทราบว่าจะพบในสภาพเป็นหรือตาย

ครบหนึ่งสัปดาห์ของเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ตุรเคียและซีเรีย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 33,000 รายแล้ว และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก คาดก็อาจจะขึ้นไปถึงหลักแสน การค้นหาผู้รอดชีวิตและผู้เสียชีวิตดำเนินไปท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของคนในพื้นที่ ขณะที่อากาศหนาวเหน็บเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร บวกกับความซับซ้อนทางการเมืองของพื้นที่ ทำให้ความช่วยเหลือจากนานาชาติเป็นไปอย่างล่าช้า

ความเสียหายทางด้านวัตถุสิ่งปลูกสร้างนั้น หนักหนากว่าการที่ผู้คนสูญเสียบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เนื่องด้วยประเทศตุรเคียเป็นดินแดนแห่งอารยธรรมหลายจักรวรรดิสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ตั้งแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออก จักรวรรดิไบแซนไทน์ และจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งมรดกทางอารยธรรมเหล่านั้นยังหลงเหลืออยู่ให้เห็นหลายแห่งทั่วประเทศตุรเคีย รวมถึงประเทศที่มีพรมแดนติดกันอย่างซีเรีย ซึ่งในอดีตก็เคยเป็นพื้นที่ในจักรวรรดิเดียวกันความเสียหายหรือผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้จึงเกิดขึ้นกับโบราณสถานเหล่านั้นด้วย

ในพื้นที่ประเทศตุรเคียและซีเรียมีโบราณสถานหลายแห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การ เพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization : UNESCO) ซึ่งตามข่าวที่ยูเนสโกเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ยูเนสโกเป็นกังวลและได้ร่วมกับพันธมิตรลงพื้นที่สำรวจความเสียหายแล้ว แต่ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีแหล่งมรดกโลกแห่งใดเสียหาย

สำหรับในซีเรีย ยูเนสโกกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองโบราณอเลปโป ซึ่งอยู่ในรายชื่อมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตราย (World Heritage in Danger List) จากการสำรวจของเจ้าหน้าที่และพันธมิตรพบว่า หอคอยด้านตะวันตกของกำแพงเมืองเก่าและอาคารเก่าหลายแห่งในตลาดได้รับความเสียหาย

ส่วนในตุรเคีย ยูเนสโกบอกว่า “รู้สึกเศร้าใจกับการพังทลายของอาคารหลายแห่งในเมืองดิยาร์บากีร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘ป้อมปราการดิยาร์บากีร์ และภูมิทัศน์วัฒนธรรมสวนเฮฟเซล การ์เดน’ (Diyarbakır Fortress and Hevsel Gardens Cultural Landscape) ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของจักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิไบแซนไทน์ และจักรวรรดิออตโตมัน”

นอกจากนี้ ยูเนสโกกังวลว่าแหล่งมรดกโลกอื่น ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวอาจได้รับผลกระทบด้วย เช่น โกเบคลี เทเป (Göbekli Tepe), เนมรุต ดัก (Nemrut Dağ) และเนินเขาอาร์สลันเตเป (Arslantepe) แม้จะไม่ใช่มรดกโลก แต่โบราณสถานที่เห็นชัดเจนว่าพังเสียหายจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวครั้งนี้ คือ 'ปราสาทกาซีอันเตป' (Gaziantep Castle) มรดกอารยธรรมยุคโรมันที่อยู่คู่เมืองนี้มากว่า 2,000 ปี

เมืองกาซีอันเตป (Gaziantep) ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอานาโตเลีย เป็นหนึ่งในเมืองเก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีประชากรอาศัยตั้งรกรากต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ในยุคจักรวรรดิออตโตมัน (ค.ศ. 1299-1922) เมืองนี้มีชื่อว่า 'แอนเตป' (Antep) ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น 'กาซีอันเตป' (Gaziantep) ในปี 1928 และใช้ชื่อนี้ต่อมาถึงทุกวันนี้

ปราสาทกาซีอันเตปตั้งอยู่ใจกลางเมืองกาซีอันเตป จากการขุดค้นทางโบราณคดีมีหลักฐานว่าปราสาทหินแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรก เพื่อเป็นหอสังเกตการณ์ในสมัยจักรวรรดิโรมัน ในช่วง 2-3 ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช และต่อมามีการขยายต่อเติมให้เป็นปราสาทเต็มรูปแบบ ตามข้อมูลจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของพิพิธภัณฑ์และแหล่งโบราณคดีในประเทศตุรเคีย ระบุว่ารูปแบบปราสาทที่เห็นในยุคปัจจุบันเป็นรูปแบบที่ต่อเติมปรับปรุงในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ ในช่วง ค.ศ. 527-565

'โอซิล' อดีตนักเตะอาร์เซนอล ร่วมแพ็กอาหาร - ของใช้ บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในตุรเคีย

(10 ก.พ. 66) 'เมซุต โอซิล' อดีตเพลย์เมกเกอร์ของอาร์เซนอล เผยภาพที่ตนกำลังช่วยแพ็กของ เพื่อนำไปให้กับผู้ที่ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวตุรเคียและซีเรีย

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ มีการรายงานว่าเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.8 แมกนิจูด พร้อมกับอาฟเตอร์ช็อกอีกว่า 40 ครั้ง ส่งผลให้จนถึงตอนนี้ตัวเลขผู้เสียชีวิตทะลุ 12,000 รายเข้าไปแล้ว และมีผู้สูญหายอีกนับพัน

ล่าสุด โอซิล นักเตะดาวดังของสโมสรในตุรเคียอย่าง สโมสรฟุตบอลอิสตันบูล บาซาคเซฮีร์ ได้เผยภาพที่เขา และเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ต่างช่วยแพ็กของเพื่อส่งให้กับผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้ ที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ทางต้นสังกัดได้จัดตั้งขึ้น เพื่อส่งต่อทั้งอาหารและสิ่งของจำเป็นให้กับผู้ประสบภัย ในขณะที่ทางการตุรเคียได้สั่งงดการแข่งขันกีฬาทั้งหมดภายในประเทศ

ทีม USAR Thailand พร้อมสุนัข K9 'เซียร่า-ซาฮาร่า' เดินทางถึงตุรเคียแล้ว รอต่อเครื่องไปเมืองอาดานา

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 อัปเดตความเคลื่อนไหว ทีม USAR Thailand จำนวน 42 คน พร้อมสุนัข K9 2 ตัว คือ 'น้องเซียร่า' และ 'น้องซาฮาร่า' ขณะนี้เดินทางถึงประเทศตุรเคียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยระหว่างรอต่อเครื่องได้เตรียมการประชุมทีม USAR Thailand เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมภารกิจ ค้นหาผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ประเทศตุรเคีย

ทั้งนี้ Facebook Fanpage กองส่งเสริมการป้องกันสาธารณภัย ได้โพสต์ภาพความน่ารักในระหว่างที่น้อง K 9 เซียร่าและซาฮาร่า รอต่อเครื่องจากเมืองอิสตันบูล เพื่อเดินทางไปยังเมืองอาดานานั้น ได้เจอเพื่อนสุนัขทีมค้นหาอื่น ที่เดินทางมาร่วมปฎิบัติภารกิจในครั้งนี้ ได้มีการถ่ายภาพร่วมเฟรมเป็นที่ระลึกน่าเอ็นดู

‘รัสเซีย’ เสียท่า!! ส่งความรวยให้สหรัฐฯ หลังพลาดขาย ‘อะแลสกา’ ไปในราคาแสนถูก

ชาวโลกรู้ว่าอเมริกากับรัสเซียนั้นเป็นคู่กรณีสงครามเย็น จนหลายคนคิดว่าสองชาตินี้คงไม่มีวันยิ้มให้กันได้ แต่จริงๆ แล้วครั้งหนึ่งไอ้นกอินทรีกับพี่หมีขาวเป็นมิตรกันมาก่อน ตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังอยู่ฝ่ายเดียวกันเลย มาแตกหักรักไม่ลงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองนี่แหละ แต่เชื่อไหมว่าอเมริกาได้ครอบครองดินแดนของรัสเซีย และสถาปนาเป็นรัฐของอเมริกาเต็มภาคภูมิ 

เมื่อเอ่ยถึงรัฐอะแลสกา (Alaska) หลายคนรู้สึกหนาวแทนพลเมืองที่นั่น เพราะได้ชื่อว่าเป็นรัฐที่หนาวสะท้านโลก 

อะแลสกาเป็นรัฐที่ 49 ในบรรดา 50 รัฐของอเมริกา ถูกค้นพบโดยนักเดินทางรัสเซียในปี ค.ศ.1741 พี่หมีขาวเลยกระโจนเข้าครอบครองตั้งแต่ปี ค.ศ.1784 ไอ้ที่โผเข้าหาดินแดนโน่นนี่ไม่ใช่อะไรหรอก พี่หมีแกอยากขยายอาณาจักรไปเรื่อยๆ เพราะช่วงนั้นประเทศต่างๆ ก็ล่าอาณานิคมกัน จะล่องไปล่าแถวไหน ประเทศแถบยุโรปล่ากันหมดแล้ว เลยต้องมุ่งหน้าขึ้นเหนือ 

พี่หมีขาวอยากได้อาณานิคมในดินแดนฝั่งตะวันออก เอาไว้ค้าขายชายเฟือยและเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียนออร์โธดอกซ์ รวมถึงการเรียกเก็บภาษีและทรัพยากรจากอาณานิคม แต่อะแลสกานั้นยกเว้น เพราะการครอบครองอะแลสกาของรัสเซีย เป็นไปเพื่อการทำธุรกิจมากกว่าการตั้งถิ่นฐาน มีการจัดตั้งการค้าขนสัตว์ในปีค.ศ.1781 และตั้งบริษัท Russian American Company ในปี ค.ศ. 1799 

หากเรากางแผนที่โลก จะเห็นว่าอะแลสกาอยู่ไกลจากขอบเขตดินแดนรัสเซีย ด้วยระยะทางที่ห่างกันมากระหว่างอะแลสกากับเมืองหลวงของรัสเซีย ทำให้สื่อสารกันลำบาก แถมไม่มีชาวรัสเซียไปตั้งรกรากในอะแลสกามากนัก นอกจากหนาวแล้วยังไกลปืนเที่ยง เลยมีคนหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ที่นั่นแค่ 800 คนเท่านั้นเอง  

หนักหนากว่านั้นคือหนาวหูตูบจนเพาะปลูกอะไรไม่ค่อยจะได้ ทำให้ผู้นำหมีขาวเบ้ปากมองบนว่าจะเอาไอ้แผ่นดินนี้ไว้ทำไมหนอเรา นอกจากอะแลสกาจะกลายเป็นดินแดนที่ไม่ทำกำไรให้รัสเซีย ยังเสี่ยงต่อการถูกอังกฤษรุกราน ทำให้พี่หมีขาวนอนกระดิกตีนตรอง ว่าจะเอาไงดีกับไอ้ดินแดนแห่งนี้ ที่สำคัญตอนนั้นรัสเซียกำลังถังแตกเสียด้วย

รัสเซียจนกรอบ เพราะทำสงครามอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อขยายอาณาเขตให้กว้างใหญ่ไพศาล การทำสงครามแต่ละครั้งนั้นต้องใช้เงินมหาศาล โดยเฉพาะสงครามไครเมียในปี 1853-1856 สงครามหนนี้ทำเอารัสเซียสิ้นเนื้อประดาตัวแทบล้มละลาย  หลังเซ็นสนธิสัญญาสันติภาพปารีส 1856 มีการกันทะเลดำให้เป็นเขตกลางเพื่อไม่ให้รัสเซียตั้งฐานยุทธศาสตร์ นั่นยิ่งทำให้สูญเสียช่องทางการค้าขายกับประเทศอื่นไปโดยปริยาย

เมื่อถังแตกก็ต้องขายของเก่ากินนั่นแหละ กวาดสายตาทั่วแผ่นดินแล้วพบว่าอะแลสกาเป็นแผ่นดินของรัสเซียในบริเวณอเมริกาเหนือ แถมยังรกร้างว่างเปล่าเต็มไปด้วยน้ำแข็ง จนทางรัสเซียคิดว่าหาประโยชน์อะไรไม่ได้ และไม่อยากจ่ายเงินก้อนโตในการดูแล เลยเอาไปเร่ขายให้อเมริกา ซึ่งตอนนั้นยังดี ๆ กันอยู่ แถมทั้งรัสเซียและอเมริกามีศัตรูร่วมกันคืออังกฤษ เลยใส่พานวางถวาย

รัสเซียตัดสินใจเสนอขายอะแลสกาให้อเมริกาใน ค.ศ. 1859 แต่การเจรจาซื้อขายถูกชะลอไปเนื่องจากสงครามเย็น จนกระทั่งวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1867 วิลเลียม เอช. ซูเวิร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน ซื้ออะแลสกามาจากรัสเซีย  

การซื้อขายครั้งนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก สื่อในอเมริกาลงข่าวเสียดสีว่าการซื้ออะแลสกาเป็นความโง่เขลาของ ซูเวิร์ด และเป็นสวนหมีขั้วโลกของ จอห์นสัน ส่วนชาวรัสเซียต่างไม่พอใจที่อะแลสกาถูกขายไป เพราะรัสเซียทุ่มเทพัฒนาอะแลสกามาอย่างยาวนาน อยู่ ๆ จะมาขายไปง่ายๆ ได้ไง แถมขายถูกเสียด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top