Thursday, 25 April 2024
WEEKEND NEWS

“คนสิทธิ” จับมือ “คนข่าว” ส่งต่อความห่วงใย มอบอาหาร-น้ำ ชุมชนริมคลองบางบัว ช่วยบรรเทาพิษโควิด

วันที่ 21 สิงหาคม ที่ชุมชนริมคลองบางบัวหลังกรมวิทยาศาสตร์ ถนนเกษตรนวมินทร์ นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.1) สถาบันพระปกเกล้า นำโดย นางถวิล เพิ่มเพียรสิน อดีตรองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นางสาวพรทิพย์ เตชะสมบูรณา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทในเครือ เวิลด์เมดิคอลซัพพลาย จำกัดนางสุจิตรา แก้วไกร ผู้อำนวยการ กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และนางสุกัญญา จรรยา ผู้จัดการ มูลนิธิสหชาติ

ร่วมกับเวปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ ส่งมอบข้าวกล่องพร้อมทาน หน้ากากอนามัย น้ำดื่ม และสเปร์แอลกอฮอล์ ส่งมอบแก่ นางสิริวรรณ กลิ่นหอม ประธานชุมชน เป็นผู้แทนรับมอบเพื่อส่งต่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่ดูแล

นางสิริวรรณ กลิ่นหอม เปิดเผยว่า ชุมชนแห่งนี้ มีประชาชนพักอาศัย 120 ครัวเรือน ประชากรกว่า 600  คน ในจำนวนนี้ผู้มีความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อโควิด-19 และต้องกักตัว 16 ครอบครัว ขณะนี้รักษาหายแล้ว และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่ชุมชนยังคงเฝ้าระวัง ช่วยกันดูแลป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด แบบไม่ประมาทการ์ดไม่ตก 

ด้านนายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดเขื้อไวรัสโควิด-19 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานประจำวัน มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 20,571 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อใหม่ 20,336 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 235 ราย

ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง ที่เป็นทั้งคนไร้บ้าน ผู้ยากไร้ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะเมืองกรุง ที่จังรอการช่วยเหลือ 

ในนามพันธมิตรจิตอาสาเป็นอีกหนึ่งกลุ่มองค์กร ที่อาสามาเป็นสะพานบุญ รับข้าวกล่องพร้อมทานจากจุดส่งมอบอาหารโลตัสบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" โดยบริษัทในเครือซีพี จัดทำขึ้น โดยมีสิ่งของ อื่นๆ อาทิ สเปรย์แอลกอฮอล์ น้ำดื่ม ได้นำมาสมทบ เพื่อแบ่งปันความสุข
และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เราคนไทยไม่ทิ้งกัน ต้องก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกันให้ได้

'สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย'​ ปันน้ำใจ มอบ 'ผ้าหน้ากากอนามัย'​ ให้คนพิการ คนยากไร้ คนเร่ร่อน

'สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย'​ ปันน้ำใจ มอบ 'ผ้าหน้ากากอนามัย'​ ให้คนพิการ คนยากไร้ คนเร่ร่อน

(21 ส.ค.64)​ ณ บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพมหานคร​ 'นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล'​ นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน นำ 'ผ้าหน้ากากอนามัย' จำนวนมากกว่า 1,000 ชิ้น ที่ได้รับมอบจาก 'นายศุภชีพ ดิษเทศ'​ นายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการบริหารสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ไปช่วยเหลือ คนพิการ คนยากไร้ คนด้อยโอกาส คนเร่อน 

โดยตระหนักถึงความสำคัญ และความจำเป็นถึงอุปกรณ์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส Covid-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้จะเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ​ ที่ทางองค์กรคนพิการ พอจะมี พอจะให้ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับคนยากไร้ คนด้อยโอกาส คนพิการ คนเร่ร่อน ที่ไม่มีเงินจะสามารถซื้อ และเปลี่ยน 'หน้ากากอนามัย'​ ได้บ่อยครั้ง

สำหรับการดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้ ถึงแม้เราจะเป็น 'องค์กรคนพิการ'​ แต่เราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปัน ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ร่วมใจกันสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่สืบไป

#คนละไม้_คนละมือ

'ตำรวจน้ำ'​ กองบังคับการ​ 9​ ปฏิบัติการ!! ยึดยาไอซ์​ มูลค่า 650 ล้านบาท กลางทะเลอันดามัน

พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. เน้นย้ำมาตรการด้านยาเสพติด เข้มงวด ตรวจตรา ภัยต่อความมั่นคง ดำเนินการเด็ดขาด รวดเร็ว ขานรับแนวทาง พล.ต.ต. สมควร พึ่งทรัพย์ ผบก.รน. สั่ง ทุกหน่วยใน ตำรวจน้ำเข้มและจริงจัง 

สืบเนื่องจากเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตำรวจน้ำกองกำกับการ 9  สถานีตำรวจน้ำสตูลได้ตรวจยึดยาไอซ์ พร้อมเฮโรอีน จำนวน 500 ล้านบาท และ ในเดือนกรกฎาคม สามารถทำการตรวจยึดและจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมยาไอซ์ 30 กก. พร้อมเรือที่ใช้ลำเลียงอีก​ 1​ ลำ ถือเป็นการทำงานเข้มมาโดยตลอด

ต่อมา (20 สค.64 ) เวลาประมาณ​ 09.00 น. 
พันตำรวจเอก ธรากร เลิศพรเจริญ รอง ผบก . รน.​ อำนวยการร่วมกับ พ.ต.อ.จตุรวิทย์ คชน่วม ผกก.9 บก.รน.ได้สั่งการชุดสืบสวน กก.9 ตำรวจน้ำ นำโดย พ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช รอง ผกก. ฯ หัวหน้าชุด ว่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายประเภทยาเสพติด เข้ามาในพื้นที่ทะเล จ.ตรัง จัดเตรียมกำลัง ของ สถานีตำรวจนำ้ตรัง โดย พ.ต.ท. จักรพงษ์  มนัสชัย สว.สรน. 2 กก.9 ฯ ดำเนินการออกตรวจมาตลอด จนถึงวันเวลาดังกล่าวได้มีสายตรวจเคลื่อนที่เร็วทางน้ำ ได้แจ้งมาว่าพบยาเสพติดจำนวนดังกล่าวอยู่ในบริเวณพื้นที่กลางทะเลอันดามันใกล้เกาะรอกซึ่งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดตรัง จึงได้รีบออกไปยังที่เกิดเหตุห่างจากชายฝั่งประมาณ 40 ไมล์ทะเล (75 กม.)ชุดตรวจยึดจับกุมได้ไปถึงที่เกิดเหตุพบยาเสพติดจำนวนมากลอย กลางทะเล มีถังแกลลอนเป็นทุนลอยน้ำใช้สำหรับถ่วงยาเสพติด ตรวจยึดได้จำนวน 32 กระสอบ

โดย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ตรัง นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา​ กล่าวว่า​ ในเรื่องของการจับกุมยาเสพติดทางทะเลเป็นนโยบายของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยทางกองบังคับการตำรวจน้ำกับนโยบายจังหวัดตรัง โดยครั้งนี้นำโดยกองกำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่บูรณาการด้านกำลังและข้อมูลข่าวสารในการจับกุม ติดตามกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดโดยเฉพาะทางน้ำ

เนื่องจากปัจจุบันมีการขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ทางทะเลจำนวนมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ทางตำรวจน้ำจังหวัดสตูลมีการจับกุมตรวจยึดยาเสพติด​ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่ และอาจมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดที่ได้ทำการตรวจยึดในจังหวัดตรังในครั้งนี้

สำหรับการตรวจยึดยาไอซ์ของกลางในวันที่ 20​ สิงหาคม 2564 เป็นการปฏิบัติการโดยการนำเรือตรวจการณ์ 525 ของตำรวจน้ำตรัง ลาดตระเวนในพื้นที่ทางทะเลพบยาไอซ์ผูกทุ่นลอยถ่วงน้ำอยู่กลางทะเลห่างจากจังหวัดตรังประมาณ 40 ไมล์ทะเลเพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ในการตรวจเจอได้ยากขึ้น ของกลางที่พบครั้งจำนวน 650 กิโล หากสามารถนำส่งปลายทางได้อาจมีมูลค่ากว่า​ 650 ล้านบาท​ ซึ่งถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศและต้องขอขอบคุณทางกองบังคับการตำรวจน้ำ​ ตลอดทั้งผู้บังคับบัญชาที่เป็นแกนหลักในการปราบปรามในครั้งนี้ซึ่งทางจังหวัดจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในทุกด้านต่อไป

พ.ต.อ.จตุรวิทย์ คชน่วม กล่าวว่า จากแนวนโยบายของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พล.ต.ต. สมควร พึ่งทรัพย์​ ผบก.รน.ในเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด​ จึงได้มีการตั้งทีมชุดสืบสวน หาข่าวขึ้นประกอบกำลังกับชุดสืบสวนของตำรวจนำตรัง ได้ทำการประสานข้อมูล และส่งชุดสืบสวนดำเนินการออกติดตามมาซักระยะหนึ่งแล้ว ประกอบกับได้มีการทำแผนประทุษกรรม การข่าว และหาข้อมูลย้อนหลังว่า ช่วงเดือนนี้ในปีย้อนหลังมีการขน ยาเสพติดมาพักในพื้นที่ รับผิดชอบ ซึ่งรูปแบบในการลำเลียงนั้นจะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่จากการตรวจยึดครั้งนี้พบว่ายาเสพติดนั้นมีการถ่วงเอาไว้ในทะเล​ โดยใช้ทุ่นลอยเป็นถังน้ำมันเล็ก ซึ่งเราต้องอาศัยความชำนาญตลอดทั้งเครือข่ายภาคประชาชนในการแจ้งเบาะแสของยาเสพติดในพื้นที่​ ซึ่งในการจับกุมครั้งนี้อยู่ห่างขายฝั่งไกลมาก ใช้เวลาเดินทางไปและกลับประมาณ 6 ชั่วโมงประกอบกับช่วงนี้มีฝนตกจึงต้องรีบดำเนินการจัดเก็บและดำเนินการสืบค้นและหาตัวผู้กระทำความผิดต่อไป

ในการนี้​ พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. ได้เน้นย้ำถึงการปฎิบัติและจัดทำแผนประทุษกรรมเพื่อที่จะได้ เป็นแนวทางในการสืบสวนต่อไปให้ถึงตัวการใหญ่ที่ทำลายประเทศ พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนในเรื่องงบประมาณในการดำเนินงาน ให้กับข้าราชการตำรวจในทุกสังกัดอย่างเต็มขีดความสามารถ​ เพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานพร้อมทั้งได้ประสานงานกับ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเข้ามาดำเนินการต่อไป

สมาคมสื่ออาชญากรรม ส่งต่อกำลังใจ มอบข้าวกล่องปันอิ่ม สื่อภาคสนาม ช่วยบรรเทาวิกฤติโควิด

(20 ส.ค.64)​ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล​(บช.น.) นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นำข้าวกล่องพร้อมทาน ส่งมอบแก่สื่อมวลชนภาคสนาม ประกอบด้วยสื่อวิทยุโทรทัศน์จากช่องต่างๆ สื่อสิ่งพิมพ์จากหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ และสื่อออนไลน์จากสำนักข่าวต่างๆ ที่ปักหลักปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวอยู่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้นำไปรับประทาน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื่อไวรัสโควิด-19 

จากนั้นส่งมอบข้าวกล่องแก่สื่อมวลชนประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ตำรวจสันติบาล ได้รับประทานในขณะปฏิบัติหน้าที่

วันเดียวกันได้นำส่ง มอบข้าวกล่องพร้อมทานแก่สื่อมวลชน ประจำกองบรรณาธิการ สถานีโทรทัศน์ NBT (ช่อง11) และกองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ ข่าวสด 

นอกจากนี้ ยังส่งมอบข้าวกล่องแก่สื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวที่สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง และอาสาสมัครหน่วยบรรเทาสาธารณภัย เหนือ 43-00 วัฒนะ01 ดอนเมือง นำแจกจ่ายแก่ประชาชนในชุมชนปิ่นเจริญ เขตดอนเมือง 

นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้ เป็นความร่วมมือของ พันธมิตรจิตอาสา มูลนิธิสหชาติ สำนักข่าว News Online Thailand เวปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ และนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.1) สถาบันพระปกเกล้า

โดยสมาคมฯ ได้รับข้าวกล่องจากจุดส่งมอบอาหาร โลตัส สาขาบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" โดยบริษัทในเครือซีพี จำนวน 300 ชุด 

เพื่อนำส่งมอบต่อผู้ที่ไดรับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย…“คนไทยไม่ทิ้งกัน”

พลิกปูมชะตากรรมสยองของอดีตผู้นำอัฟกานิสถาน​ ในวันที่ตอลิบานเรืองอำนาจ

ความวุ่นวายในอัฟกานิสถานและการยึดประเทศของกลุ่มกองทัพตอลิบาน กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทั่วโลกกำลังจับตามองมากที่สุดในตอนนี้ และต่างตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดรัฐบาลอัฟกานิสถานถึงได้ล่มสลายอย่างรวดเร็วหลังสหรัฐอเมริกาได้ประกาศถอนทหารทั้งหมดภายในระยะเวลาแค่ 3 เดือน

หากถามความเห็นของทีมรัฐบาลอัฟกานิสถาน ก็ได้กล่าวโทษนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ว่าตัดสินใจถอนทหารเร็วเกินไปจนขาดสเถียรภาพ ทำให้ฝ่ายตอลิบานได้โอกาสบุกยึดอย่างรวดเร็วเกินต้านทาน

แต่รัฐบาลสหรัฐฯ​ ก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า เป็นเพราะกองทัพของรัฐบาลอัฟกานิสถานไม่ยอมต่อสู้กับฝ่ายตอลิบานอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องประเทศ จนทำให้อัฟกานิสถานต้องมีวันนี้อีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของประธานาธิบดี แอชราฟ กาห์นี ที่สละตำแหน่ง และหลบหนีออกนอกประเทศทันทีที่กองทัพตอลิบานบุกประชิดกรุงคาบูล และยังมีข่าวว่าได้ขนทรัพย์สินติดตัวไปเป็นจำนวนเกือบ 170 ล้านดอลลาร์ จนบางคนตราหน้าเขาว่าเป็นคนทรยศประเทศชาติ

ด้านประธานาธิบดี แอชราฟ กาห์นี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วหลังจากที่เขาหลบหนีออกจากอัฟกานิสถานไปพักพิงชั่วคราวที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้แล้วอย่างปลอดภัยว่า เหตุผลที่เขาต้องออกนอกประเทศเพราะไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือดในกรุงคาบูล ที่อาจทำให้อัฟกานิสถานมีชะตากรรมไม่ต่างจากซีเรีย หรือ เยเมน และก็เจ็บปวดเช่นกันที่ต้องหนีออกมา

และปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า ตัวเขาและครอบครัวไม่ได้ขนสมบัติมีค่าติดตัวอะไรมาเลย นอกจากเสื้อผ้าส่วนตัวไม่กี่ชิ้นเท่านั้น สามารถเช็กข้อมูลได้ที่เจ้าหน้าศุลกากรได้เลย

ส่วนกระแสที่พูดถึงในโซเชียลต่างประเทศ ก็แตกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่มองว่าอดีตประธานาธิบดีกาห์นีเป็นคนขลาดเขลาและทรยศที่ไม่ยืนหยัดปกป้องประชาชนของตนในวันกรุงแตก

แต่ฝ่ายที่เห็นใจผู้นำกาห์นีก็มีไม่น้อย และมองว่าท่านทำดีที่สุดแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ และหากแอชราฟ กาห์นี ไม่เดินทางออกนอกประเทศในวันนั้น อาจมีชะตากรรมไม่ต่างจากอดีตประธานาธิบดีคนเก่าของอัฟกานิสถาน ในวันเสียกรุงคาบูลครั้งที่ 1 ให้กับกลุ่มตอลิบานในปี 1996 ก็เป็นได้

อดีตผู้นำอาภัพของอัฟกานิสถานที่มีการหยิบขึ้นมาพูดถึงก็คือ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอัฟกานิสถานในช่วงปี 1986 - 1992

ประวัติส่วนตัวของอดีตผู้นำ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ มีเชื้อสายชาวปัชตุน หรือในปากีสถานเรียกกว่า 'ปาทาน'​ เกิดในการ์เดซ ทางภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน

ก่อนหน้าที่นาจิบูลลาห์จะเข้ามามีตำแหน่งทางการเมือง เขาเรียนจบด้านศัลยแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยคาบูล ที่ต่อมาคนอัฟกันเรียกติดเขาติดปากว่า 'ด็อกเตอร์ นาจิบ'​ แต่พอจบมา กลับไม่เคยได้ใช้มีดผ่าตัดเลยสักครั้ง แต่มุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางการเมือง และเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถาน (PDPA) ที่มีแนวคิดตามอุดมการณ์สังคมนิยมมาร์กซิส และได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต

เบื้องหลังการเมืองในอัฟกานิสถานในยุคนั้นก็มีความร้อนแรงไม่แพ้ยุคปัจจุบันเลยทีเดียว เมื่อมีกระแสการเมืองกดดันให้โค่นอำนาจของ พระเจ้าโมฮัมหมัด ซาเฮียร์ ชาห์ กษัตริย์แห่งอัฟกานิสถาน เพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองให้เป็นสาธารณรัฐ

ต่อมาพรรค PDPA ก็ได้สนับสนุน โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน ที่เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์เช่นกันให้ยึดอำนาจของ พระเจ้า โมฮัมหมัด ซาเฮียร์ ชาห์ ในปี 1973 และได้สถาปนาเป็นสาธารณรัฐอัฟกานิสถานในปีนั้นเอง โดยได้ โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน เป็นประธานาธิบดีคนแรก

แม้จะเป็นการปฏิวัติที่ไม่เสียเลือดเนื้อ แต่การเมืองในอัฟกานิสถานก็ยังไม่สงบลงแม้แต่น้อย เพราะต่อมา ประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน ก็เริ่มมีใจออกห่างสหภาพโซเวียต ไปเป็นพันธมิตรกับประเทศที่นิยมเสรีตะวันตกรวยน้ำมัน อย่าง ซาอุดีอาระเบีย และ อิหร่าน (ในสมัยที่ยังอยู่ภายใต้ระบอบราชาธิปไตย)

พรรค PDPA ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ จึงทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากประธานาธิบดีดาวูด ข่าน ที่เรียกว่า การปฏิวัติเซาร์ ในปี 1978 ซึ่งครั้งนี้ไม่นุ่มนวลเหมือนครั้งที่ผ่านมา เกิดการปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่ายอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน รวมถึงตัวประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน ก็ถูกสังหารโหดหลังการยึดอำนาจสำเร็จเพียงแค่ข้ามวัน และนำศพไปฝังรวมที่นอกประตูเมืองคาบูลอย่างไร้เกียรติ

ด้านพรรค PDPA ก็เดินหน้าปฏิรูปให้อัฟกานิสถานเป็นประเทศสังคมนิยมเต็มตัว แต่ไม่นานนักก็มีกลุ่มนักรบใต้ดินติดอาวุธกลุ่มใหม่ที่ชื่อว่า มูจาฮีดีน ที่จัดตั้งกองกำลังฝึกรบในปากีสถานและจีน แต่ได้ทุนสนับสนุนมหาศาลจากซาอุดิอารเบีย และสหรัฐอเมริกา มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรค PDPA และเปลี่ยนอัฟกานิสถานให้เป็นระบอบประชาธิปไตยตามแบบแผนของโลกเสรีตะวันตก

ก็เข้าสูตรสงครามเย็น ที่มีอัฟกานิสถานเป็นตัวแทนสงครามเต็มรูปแบบ โซเวียตได้ส่งกองกำลังเข้าแทรกแซง และหนุนหลังรัฐบาลของ PDPA อย่างเต็มที่ และกลายเป็นสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน ที่กินเวลาเกือบสิบปี (1979 - 1989)

และช่วงเวลานั้น โซเวียตก็ได้ผลักดันให้ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ หรือ ด็อกเตอร์ นาจิบ ของเราขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงเวลาที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยไฟสงครามกลางเมืองจนได้

แต่หลังจากที่ลงทุนรบกับกลุ่มมูจาฮิดีนมาเกือบ 10 ปีโดยที่ไม่ได้อะไร โซเวียตก็ยอมรับความจริง ตัดสินใจยุติสงครามและถอนทหารออกในปี 1989 ทิ้งไว้แต่รัฐบาลของด็อกเตอร์ นาจิบ รับมือกับกองทัพมูจาฮิดีน ท่อน้ำเลี้ยงหนาเพียงลำพัง และยิ่งโดดเดี่ยวหนักขึ้นไปอีกเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991

และสุดท้ายก็ต้านทานไม่ไหว กลุ่มมูจาฮิดีนยึดตีเมืองไปจนเกือบหมด ทำให้รัฐบาลของด็อกเตอร์ นาจิบ แพแตก บีบให้ประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ ประกาศลาออกในวันที่ 16 เมษายน 1992 และนับเป็นประธานาธิบดีฝ่ายคอมมิวนิสต์คนสุดท้ายของอัฟกานิสถาน

หลังจากที่ลาออกจากตำแหน่งแล้ว อดีตประธานาธิบดีนาจิบูลลาห์ ย้ายเข้าไปหลบภัยในอาคารสำนักงาน UN ในคาบูล และพยายามที่จะหลบหนีไปอินเดีย ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ นาจิบูลลาห์ แต่แผนการถูกขัดขวางทุกครั้ง เพราะฝ่ายกองทัพหวังจะใช้เขาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง

และถึงแม้ว่าโซเวียตจะถอยไปแล้ว แต่สถานการณ์ในอัฟกานิสถานก็ยังคงลุกโชนด้วยไฟสงครามราวเป็นดินแดนต้องคำสาป รัฐบาลชุดใหม่ที่จับมือกับกลุ่มมูจาฮีดินก็หันหน้ามารบแย่งอำนาจกันเอง และกลายเป็นสงครามตัวแทนระหว่าง ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน  กลุ่มนักรบมูจาฮิดีนที่เคยเข้มแข็งก็อ่อนแอลงอย่างมาก แต่กลับมีกองกำลังกลุ่มใหม่เข้ามาแทนที่นั่นก็คือ 'ตอลิบาน'

กลุ่มตอลิบานก่อตั้งโดยหมอสอนศาสนาในหมู่บ้านคนหนึ่งชื่อว่า โมฮัมเหม็ด โอมาร์ มีเชื้อสายปัชตุน เช่นกัน เกิดในเมืองกานดาฮาร์ ทางตอนใต้ของประเทศ ครอบครัวของโอมาร์ล้วนเป็นครูสอนศาสนาที่เคร่งมาก ต่อมา โมฮัมเหม็ด โอมาร์ก็เข้าร่วมฝึกรบกับกองกำลังมูจาฮีดีน เพื่อต่อสู้กับโซเวียต

แต่หลังจากที่ล้มรัฐบาลของด็อกเตอร์ นาจิบ ที่ถูกมองว่าเป็นหุ่นเชิดของโซเวียตได้ และกลุ่มมูจาฮิดีน กำลังวุ่นวายกับการแย่งอำนาจกันเองภายใน โมฮัมเหม็ด โอมาร์ ก็แยกวงออกมาตั้งกองกำลังของตัวเอง เรียกว่ากลุ่มตอลิบาน​ ในปี 1994 โดยเริ่มต้นจากการฝึกนักเรียนศาสนาในหมู่บ้านให้เป็นนักรบ

แล้วก็ขยายกองกำลังไปยังปากีสถาน รวบรวมแนวร่วมนักรบใต้ดินมูจาฮีดีนเดิมมาเป็นพวก จึงเริ่มบุกยึดเมืองต่าง ๆ ในอัฟกานิสถาน และใช้เวลาเพียง 2 ปี กองทัพตอลิบานก็ยาตราสู่กรุงคาบูลในปี 1996

หลังจากที่ตีกรุงคาบูลแตกแล้ว นักรบตอลิบานก็บุกเข้าไปในหน่วยงาน UN ที่อดีตประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ ลี้ภัยอยู่ แล้วก็ลากตัวเขา และน้องชาย ออกมาทุบตีอย่างโหดเหี้ยมจนตาย และนำร่างไร้วิญญาณของพวกเขาผูกติดท้ายรถจี๊ป ลากวนรอบเมือง ก่อนนำศพของทั้งคู่ไปแขวนประจานที่เสาไฟจราจรหน้าทำเนียบรัฐบาล และไม่อนุญาตให้นำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาอีกด้วย

ภาพการลงทัณฑ์ประหารอดีตผู้นำอัฟกานิสถานอย่างป่าเถื่อนของกลุ่มตอลิบาน ถูกประณามอย่างหนักจากทั่วโลก และเป็นเหมือนสัญลักษณ์การเริ่มต้นเข้าสู่ยุคมืดของอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของตอลิบาน โดยใช้กฏหมายศาสนาสุดโต่งที่ตีความโดยกลุ่มตอลิบานปกครองบ้านเมือง จนกระทั่งการมาถึงของกองทัพสหรัฐฯ ในปี 2001 หลังเหตุการณ์ 9/11 นั่นเอง

ดังนั้น ชาวอัฟกันจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการหลบหนีออกนอกประเทศของประธานาธิบดี แอชราฟ กาห์นี เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะคงไม่มีใครอยากเจอชะตากรรมสยองอย่างอดีตผู้นำ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ หรือ ด็อกเตอร์ นาจิบ และไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าประวัติศาสตร์แห่งยุคมืดในสมัยกลุ่มตอลิบานเรืองอำนาจจะไม่ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง

อ้างอิง : Indian Express / Al jazeera / Wikipedia

ผู้เขียน : ยีนส์ อรุณรัตน์

โซเชียลโต้!! ส.ส. ปชป. ตัดงบศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า​ พร้อมชี้!! นโยบายแบนบุหรี่ไฟฟ้าล้มเหลว ยิ่งแบนยิ่งเพิ่มปัญหาของเถื่อนและคอรัปชั่น

ลิดรอน​ 'เสรี'​ (สุข)​ ภาพ...โซเชียลโต้!! ส.ส. ปชป. ตัดงบศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า​ พร้อมชี้!! นโยบายแบนบุหรี่ไฟฟ้าล้มเหลว ยิ่งแบนยิ่งเพิ่มปัญหาของเถื่อนและคอรัปชั่น

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊ก 'มนุษย์ควัน'​ กล่าวถึงกรณีที่นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ตัดงบกระทรวงการคลังลง 5% ในระหว่างอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยให้เหตุผลว่าไม่มีความจะเป็นต้องนำไปศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ว่า... 

“น่าผิดหวังมากที่ ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้ความสำคัญกับการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์​ มากำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความเป็นความตายของผู้สูบบุหรี่ในประเทศที่มีจำนวนเกือบ 10 ล้านคน แม้กระทั่งการจะตั้งงบเพื่อศึกษาหาทางแก้ปัญหาและเก็บภาษีก็ยังขัดขวาง ทั้งๆ ที่มีการลักลอบนำเข้า จำหน่าย และใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันเกลื่อนเมือง​ รวมทั้งในรัฐสภา แทนที่ ส.ส. จะหาทางสนับสนุนให้ศึกษาหาแนวทางแก้ปัญหา กลับเสนอตัดงบซึ่งถือเป็นการปิดกั้นและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเข้าถึงทางเลือกที่อันตรายน้อยกว่าบุหรี่ เพราะขนาดวัคซีนเรายังต้องขอมีทางเลือกเพื่อสุขภาพของเรา แต่พอเป็นบุหรี่ไฟฟ้ากลับถูกกีดกันทุกวิถีทาง”

“การแบนบุหรี่ไฟฟ้าของไทยตอนนี้ ตรงกันข้ามกับประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, สหภาพยุโรป หรือนิวซีแลนด์ ที่ควบคุมผลิตภัณฑ์ทางเลือกทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์แบบให้ความร้อนอย่างถูกกฎหมายหลังจากที่ได้ศึกษาผลการวิจัยแล้วว่าทั้งบุหรี่ไฟฟ้า และยาสูบแบบไม่เผาไหม้ช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้สูบบุหรี่ ในสหรัฐอเมริกา องค์การอาหารและยา (US FDA) อนุญาตให้ขายยาสูบไร้ควันและยังให้สื่อสารกับผู้สูบบุหรี่ได้ด้วยว่าการเปลี่ยนมาใช้ยาสูบแบบไม่เผาไหม้ช่วยลดการช่วยลดการได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ขณะที่เม็กซิโก และอุรุกวัยที่เพิ่งจะออกกฎหมายปลดล็อคยาสูบแบบไม่เผาไหม้ก็เป็นผลมาจากการศึกษาผลวิจัย หรือกรณีของสาธารณสุขอังกฤษและนิวซีแลนด์ก็สนับสนุนให้ผู้สูบบุหรี่หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าทดแทน”

“การให้ข้อมูลของ ส.ส. พิสิฐ ลี้อาธรรมนั้นไม่ถูกต้อง มีการใช้ข้อมูลที่บิดเบือนหลายด้าน​ โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนถูกต้อง สร้างความเข้าใจผิดและความสับสนให้กับประชาชนทั้งประเทศ ทำไม ส.ส. พิสิฐ ถึงไม่บอกด้วยว่า ตอนนี้มีกว่า 79 ประเทศทั่วโลกมีกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกต้องตามกฎหมาย และอีก 84 ประเทศทั่วโลกที่ไม่ได้แบนบุหรี่ไฟฟ้า มีเพียง 32 ประเทศที่ยังดำเนินนโยบายสุดโต่งเช่นเดียวกับไทย ตัวอย่างของประเทศเหล่านั้น​ คือ กัมพูชา, ลาว, ศรีลังกา, เอธิโอเปีย และเกาหลีเหนือ และตัวเลขนี้ยังไม่ร่วมประเทศที่เพิ่งปลดแบนผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใหม่ในปีนี้ คือ เม็กซิโก, อุรุกวัย และล่าสุดคือ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างวันที่ 8-13 พฤศจิกายน นี้จะมีการประชุมสมัชชารัฐภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ครั้งที่ 9 ซึ่งจุดยืนขององค์การอนามัยโลกและประเทศไทย ยังคงสวนทางกับหน่วยงานสาธารณสุขชั้นนำใน สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ยุโรป, นิวซีแลนด์ และอีกกว่า 70 ประเทศทั่วโลกที่ต่างสนับสนุนให้ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกต้องตามกฎหมายและให้ประชาชนใช้เป็นทางเลือกในการเลิกสูบบุหรี่เนื่องจากมีสารพิษที่เป็นอันตรายน้อยกว่า

“คำสั่งแบนผลิตภัณฑ์ทางเลือก เช่น บุหรี่ไฟฟ้า และยาสูบแบบให้ความร้อน ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเราก็ยังเห็นคนใช้กันอยู่ทั่วไป กลายเป็นการส่งเสริมตลาดซื้อขายผิดกฎหมายที่มีมูลค่ามากกว่า 6,000 ล้านบาทและเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ทุจริต ปล่อยปะละเลยให้มีการขายใต้ดิน หรือจับกุมรีดไถผู้ใช้ เท่ากับว่าเราแก้ปัญหาการสูบบุหรี่ที่ทำให้คนตายปีละ 8 หมื่นคนไม่ได้และยังสร้างปัญหาใหม่จากการแบนอีกด้วย การที่พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายปิดกั้นการศึกษาข้อมูลเช่นนี้คงทำให้ประชาชนเห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจุยืนเช่นไร ซึ่งก็เป็นปัจจัยในการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วยเช่นกัน” นายสาริษฎร์กล่าวทิ้งท้าย

"น้องเทนนิส" ฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก สุดปลื้มได้ทุนเรียนต่อถึง ป.เอก พร้อมเงินรางวัล 1 ล้านบาท จากอธิการบดี ม.กรุงเทพธนบุรี

รศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มอบเงินรางวัลจำนวน 1 ล้านบาท และมอบทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกให้แก่ “น้องเทนนิส-เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ" พร้อมกล่าวชื่นชมในความสำเร็จของน้องเทนนิสทางด้านการกีฬา ซึ่งการมอบรางวัลดังกล่าว เพื่อเป็นขวัญกำลังใจที่ได้รับรางวัลเหรียญทองกีฬาเทควันโดจากการเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ครั้งที่ 32 ประเทศญี่ปุ่น และถือเป็นการสร้างชื่อเสียงเกียรติประวัติให้แก่ครอบครัว ประเทศชาติ และมหาวิทยาลัยฯ ในฐานะที่น้องเทนนิสเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี


รศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กล่าวแสดงความยินดีกับ น้องเทนนิส-เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ฮีโร่เหรียญทองในนามของผู้บริหาร คณาจารย์ บุคคลากรทุกภาคส่วน นักศึกษาศิษย์ปัจจุบัน ศิษย์เก่า วิทยาลัยในเครือฯ ว่า ในนามของชาวไทยคนหนึ่ง ต้องบอกว่ามีความยินดีอย่างที่สุดที่ “น้องเทนนิส” ได้สร้างชื่อเสียงได้ทำเหรียญทองโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นมาฝากชาวไทยในครั้งนี้ ในฐานะที่อธิการบดีเป็นอธิการมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และ “น้องเทนนิส” เรียนในหลักสูตรปริญญาโท รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต พวกเราชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และสถาบันในเครือฯ ต้องบอกว่าที่สุดฃองความภาคภูมิใจ “น้องเทนนิส” ก็ถือว่าเป็นลูกสาวคนหนึ่งที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ อันนี้คือ ฮีโร่เหรียญทองของเราในการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่ผ่านมา


“น้องเทนนิสมีความเก่ง มีความเข้มแข็ง มีวินัยทั้งในด้านของการฝึกซ้อมกีฬา ซึ่งมีคุณพ่อเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้ที่คอยให้กำลังใจลูก มีวินัยในการศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างมาก คณาจารย์ทุกท่านที่ได้พบได้สอนน้องเทนนิสจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น้องมีวินัยในทุกๆ เรื่อง น้องมีความตั้งใจทำอะไรต้องทำให้สำเร็จทุกเรื่อง ก่อนที่น้องเทนนิสจะเดินทางไปแข่งขันได้มาเรียนหนังสือได้มาเข้าชั้นเรียนได้เข้ามาคุยหารือกับอธิการบดี โดยมีคุณพ่อมาด้วย นั่งคุยกันว่าลูกมีความมั่นใจอย่างไร น้องเทนนิส กับ คุณพ่อบอกว่า มั่นใจเต็มร้อย จากที่คุณพ่อคอยดูแลลูก คอยให้กำลังใจ คอยสนับสนุนลูกจากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดมั่นใจเต็มร้อยครับท่านอธิการบดี น้องเทนนิสก็บอกมั่นใจเต็มร้อยค่ะท่านอธิการฯ และวันนี้น้องเทนนิสทำได้สำเร็จเป็นความภาคภูมิใจของอธิการบดี ของพวกเราชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี และของคนไทยทั่วโลก อธิการบดีขอยินดีด้วย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กล่าว
นอกจากนี้ เรืออากาศตรีหญิง พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ พร้อมด้วย “คุณพ่อสิริชัย วงศ์พัฒนกิจ” มาร่วมสนทนาถ่ายทอดประสบการณ์ แนวคิด และการสร้างแรงบันดาลใจการเล่นกีฬาให้ประสบความสำเร็จอย่างมืออาชีพผ่านระบบ ZOOM ให้กับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา อีกด้วย โดยมี จิรัฏฐวัฒน์ ศิริบุตร และ ณัฎฐา ชาญเลขา เป็นผู้ดำเนินรายการ


ในโอกาสนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมแสดงความยินดีผ่านคลิปวิดีโอในโอกาสดังกล่าว โดยมี ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการและโฆษกกระทรวง อว. ได้ร่วมแสดงความยินดีพร้อมเซอร์ไพรส์มอบเค้กให้แก่ “น้องเทนนิส” ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 8 สิงหาคมที่ผ่านมาด้วย ณ สถานีโทรทัศน์ BTU Channel มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

โควิดพ่นพิษส่งออกสะดุด “เฉลิมชัย"ปลุกตลาดภายในคิกออฟโครงการ “เกษตรกร Happy”เฟส2เร่งอัพราคาลำไย เงาะ ลองกอง พร้อมส่งทีม”เกษตรฯ.-พาณิชย์”ขึ้นเหนือทันที ตัวแทนชาวสวนขอบคุณฟรุ้ทบอร์ดมอบโครงการดีๆดูแลเกษตรกร

วันที่ 15 ส.ค.64 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board)เป็นประธานการแถลงข่าว Live สดผ่าน facebook : คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัวโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 2 เพื่อช่วยเกษตรกรชาวสวนลำไย เงาะ ลองกอง ในการขายผลไม้คุณภาพดี สดจากสวน ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นแผนการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงและเข้าขั้นวิกฤต จนทำให้มีการเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์ทั้งในและต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นมากขึ้น ระบบขนส่งระหว่างประเทศเกิดความติดขัด ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน แรงงานและผู้ค้า รวมทั้งบริษัทขนส่งในประเทศติดโควิดเพิ่มมากขึ้น ผู้ส่งออกและล้งลดจำนวนลง ในขณะที่ผลไม้อยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวพร้อม ๆ กัน ทั้งมังคุด เงาะ ลำไย และลองกอง เป็นต้น โครงการนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดนมีวัตถุประสงค์ คือ 1) รณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทยภายในประเทศ 2) เพิ่มกิจกรรมการค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อระบบการค้าที่เป็นธรรม และ 3) ยกระดับราคา เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ภายใต้แนวคิด "คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้" และ "คนไทยไม่ทิ้งกัน"

และจากการดำเนินโครงการ “เกษตรกร Happy” phase 1 ในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนมังคุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงเกษตรฯ.กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กรมประชาสัมพันธ์ ททบ.5 กองทัพบก บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, บริษัท แกร็บ ประเทศไทย จำกัด, บริษัท เซ็นทรัล กรุ๊ป จำกัด, เครือข่ายร้านธงฟ้า คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน Ecommerce คณะกรรมการธุรกิจเกษตร ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะสื่อมวลชนทุกแขนงที่ช่วยในการสื่อสารรณรงค์จนประสบความสำเร็จ และสามารถระบายมังคุดออกจากกลไกตลาดและรักษาเสถียรภาพราคาได้ในระดับที่น่าพอใจ

"ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันดำเนินโครงการเกษตรกร Happy ซึ่งในวันนี้เป็นการดำเนินโครงการเฟส 2 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ที่กำลังออกตามฤดูกาล ทั้งลำไย ลองกอง และเงาะ โดยในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินการในหลายมิติ ทั้งการรณรงค์บริโภคผลไม้ไทย การขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้อุดหนุนผลไม้ไทย และได้มอบ หมายปลัดเกษตรฯ ตั้งทีมกระจายผลไม้เฉพาะกิจ เพื่อประสานงานไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมอบให้นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีเกษตรเดินทางไปลำพูนและเชียงใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาลำไยร่วมกับนายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์และรองประธานฟรุ้ทบอร์ดระหว่างวันที่16-18สิงหาคม

สำหรับการแก้ไขปัญหาด้านการส่งออก ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานและเจรจากับประเทศคู่ค้า โดยไทยจะมีมาตรการตรวจสอบให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศได้ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการจะประสบความสำเร็จได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรฯ จึงพยายามเพิ่มช่องทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นและง่ายที่สุด จึงขอเชิญชวนให้พี่น้องหันมาบริโภคผลไม้ไทย และร่วมฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน" ดร.เฉลิมชัย กล่าว

ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยมีผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในตลาดโลกและตลาดภูมิภาค เช่น มีพื้นที่เพาะปลูกถึง 7 ล้านไร่ สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกถึง 1 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้แปรรูป ซึ่งในปี 2564 ได้ประมาณการว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 23% จากปีที่ผ่านมา จาก 4.4 ล้านตัน เป็น 5.4 ล้านตัน และถึงแม้ว่าเราจะเผชิญกับสถานการณ์การโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 กระทรวงเกษตรฯ ได้บริหารจัดการเชิงรุก
โดยได้เร่งพัฒนาการบริหารผลไม้จัดการทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต การสร้างมาตรฐาน GAP/GMP การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างแบรนด์ผลไม้ การบริหารโลจิสติกส์ ตลอดจนการตลาดสมัยใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้ในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ผลไม้สามารถครองแชมป์การส่งออก ด้วยอัตราการเติบโตสูงถึง 185% ทุเรียนส่งออกขยายตัว 172% และมังคุดเติบโตถึง 488% ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวม มีมูลค่า 71,473 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวสูงสุดถึง 59.8% นับเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี และเป็นการขยายตัว 9 เดือนต่อเนื่องกัน แต่ย่างเข้าเดือนกรกฎาคมการระบาดของโควิด19เข้าขั้นวิกฤติส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ ฟรุ้ทบอร์ดจึงต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มการบริโภคภายในประเทศ โครงการเกษตรกรแฮปปี้จึงเกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมช่องทางการขายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม

โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และทุกภาคีภาคส่วน เฟสที่1 เราสามารถช่วยชาวสวนมังคุดภาคใต้จนราคาขยับตัวเกินเป้าหมาย ภายในเวลาสัปดาห์เศษ จึงขอเชิญชวนให้มาช่วยกันซื้อ ลำไย เงาะ ลองกอง นอกจากจะได้รับประทานผลไม้ดี ๆ แล้วยังช่วยเกษตรกรฝ่าวิกฤตโควิดไปด้วยกันภายใต้แนวทาง ”คนกินยิ้มได้ เกษตรกรไทยแฮปปี้” นายอลงกรณ์ กล่าว 

ทางด้านตัวแทนเกษตรกรชาวสวนลำไย เงาะและลองกองได้กล่าวขอบคุณฟรุ้ทบอร์ดที่ดูแลช่วยเหลือชาวสวนผลไม้มาโดยตลอดโดยเฉพาะโครงการเกษตรแฮปปี้เป็นโครงการที่ดีมีประโยชน์เชื่อว่าจะช่วยชาวสวนได้ในช่วงที่ราคาตกต่ำจากผลกระทบของโควิด19
 

สมุทรปราการ-ธารน้ำใจ 'พญาอินทรี’ มอบแด่ 'พระครูจาบ' วัดหนามแดง  ถวายถังดับเพลิง 20 ถัง เพื่อใช้ป้องกันอัคคีภัย

ที่ภายในวัดหนามแดง ต.บางแก้ว  อ.บางพลี  จ.สมุทรปราการ  นายสวัสดิ์  เจริญวรชัย  ประธานกรรมการบริหาร  บริษัท ลีดเดอร์ ไฟร์ เซฟตี้ จำกัด และผู้อำนวยการ ฝ่ายปฎิบัติการพญาอินทรีบรรเทาภัย ศูนย์สู้ภัยพิบัติชาติ พญาอินทรี  พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ศูนย์สู้ภัยพิบัติชาติ พญาอินทรี เดินทางไปยังวัดหนามแดง  อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เพื่อนำถังดับเพลิง จำนวน 20 ถัง นำไปถวายให้กับท่าน พระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนามแดง  เพื่อใช้ป้องกันเหตุเพลิงไหม้  เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อปลายปี 63 ที่ผ่านมา  วัดหนามแดงได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นกลางดึกภายในวัดโชคดีที่พระลูกวัดได้เห็นเหตุการณ์  และช่วยกันดับไฟไว้ได้ทัน  

และในการมอบถังดับเพลิงให้กับทางวัดหนามแดงในครั้งนี้  ทีมเจ้าหน้าที่พญาอินทรี  ได้มีการสาธิตวิธีการดับไฟพร้อมทั้งให้ความรู้ ความเข้าใจและวิธีปฎิบัติที่ถูกต้องแก่พระสงฆ์วัดหนามแดง  โดยสมมุติเหตุการณ์เสมือนเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นจริง หรือเกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจรขึ้นภายในวัด

โดยนายสวัสดิ์ เจริญวรชัย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มจิตอาสา 9 องค์กรด้วยกัน และได้ดำเนินโครงการนี้มานานหลายปี โดยที่ผ่านมาได้มีการนำถังดับเพลิงไปถวายให้กับทางวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ไม่ต่ำกว่า 4,000 ถัง อีกทั้ง ตนเองได้ทำงานด้านจิตอาสามานานกว่า 47 ปี ตั้งแต่อายุ 16 ปี และได้ทำงานด้านจิตอาสาทำความดีเพื่อสังคมมาโดยตลอด

เนื่องจากตนเองนั้น มองเห็นว่าปัจจุบันวัดส่วนใหญ่จะไม่มีอุปกรณ์ใช้ในการป้องกันเหตุอัคคีภัย บางวัดโทรแจ้งเหตุไปยังท้องถิ่นประสานขอรถน้ำมาทำการดับไฟ  แต่ก็อาจจะไม่ทันท่วงทีเนื่องจากระยะเวลาการเดินทางและการจราจร  โดยที่ผ่านมาวัดส่วนใหญ่ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้นั้นจะไม่มีถังดับเพลิง หรือ อาจมีจำนวนที่ไม่เพียงพอแต่หากทางวัดที่มีถังดับเพลิงติดตั้งอยู่ภายในวัด  และสามารถมองเห็นได้ชัดเจนก็จะสามารถนำมาใช้ระงับเหตุเพลิงไหม้ได้ และอาจจะไม่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างหากเข้าใจวิธีการปฎิบัติอย่างถูกต้อง และเข้าใจวิธีแก้ไขเหตุเฉพาะหน้าจนนำไปสู่การดับไฟที่ถูกต้อง 


และในวันนี้ที่ทางศูนย์สู้ภัยพิบัติชาติ พญาอินทรี นำถังดับเพลิงมาถวายให้กับท่าน  พระครูวิทูรกิจจาทร (พระครูจาบ) รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนามแดง จำนวน  20 ถัง เนื่องจากทางวัดแห่งนี้มีถังดับเพลิงไม่เพียงพอ  จึงมีความตั้งใจอยากจะร่วมทำบุญกับทางวัดหนามแดงแห่งนี้  อีกทั้งวัดมีพื้นที่เป็นจำนวนมาก  และมีอาคารที่เป็นไม้เก่า  อาคารส่วนใหญ่สร้างติดกัน

อย่างไรก็ตาม  การถวายถังดับเพลิงให้กับทางวัดหนามแดงในครั้งนี้ทางผมเองนั้นถวายให้ฟรี  โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด อีกทั้ง ถังดับเพลิงของทางวัดที่มีอยู่  จำนวน  4 ถัง  ทางศูนพญาอินทรี  จะนำไปอัดน้ำยาเคมีให้ใหม่โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายด้วยเช่นกัน  และในส่วนถังดับเพลิงที่นำไปใช้งานแล้วเกิดหมด  ทางศูนย์ของเราก็จะดำเนินการนำถังไปบรรจุก๊าชให้ใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกัน

โดยทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการติดตั้งถังดับเพลิงบริเวณพื้นที่โดยรอบของวัดและมองเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ ทางศูนย์สู้ภัยพิบัติชาติ พญาอินทรี ยังมีเจ้าหน้าที่ชำนาญการมาให้ความรู้และทำการสาธิตวิธีการดับไฟ รวมถึงการระงับเหตุเพลิงไหม้อย่างถูกต้องและถูกวิธีอีกด้วย

ส่วนสาเหตุที่ตนเองนั้นนำถังดับเพลิงมาถวายให้กับทางวัดหนามแดง  เนื่องจากว่ามีความเลื่อมใสศรัทธา ท่านพระครูจาบ  รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนามแดง  ที่ได้เมตตารับเผาศพโควิดให้กับญาติโยม  ประกอบกับตนเองมองเห็นว่าทางวัดนั้นไม่มีถังดับเพลิงติดตั้งอยู่  จึงมีความห่วงใยและมีความตั้งใจที่จะนำถังดับเพลิงมาถวายให้กับทางวัดหนามแดงแห่งนี้ เพื่อไว้ใช้ประโยชน์ต่อไป

คิว-ข่าวสมุทรปราการ  รายงาน

หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ เสด็จบำเพ็ญกุศล เททองหล่อพระพุทธรูปประจำองค์ ทรงประทานถวายนามว่า ‘พระชัยอัปสรอุทัยกัญญา’

‘หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์’ ทรงกรุณาเสด็จบำเพ็ญกุศล ในพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปประจำองค์ ขนาดหน้าตัก 12นิ้ว เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เชิญประดิษฐานไว้ ณ วัดหัวดอน ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
 
โดยประวัติ ‘วัดหัวดอน’ 
นามเดิมชื่อ ‘วัดศรีสมพร’ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ต่อมา 
เปลี่ยนชื่อวัดในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ตาม พรบ.ปกครองคณะสงฆ์ปี พ.ศ.๒๔๘๔ เปลี่ยนตามชื่อหมู่บ้าน คือ 
‘บ้านหัวดอน’ เพื่อให้ง่ายแก่การจดจำ จึงได้ชื่อว่า ‘วัดหัวดอน’ มาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ ๑๓๓ หมู่ 4 บ้านหัวดอนใหญ่ ตำบลธาตุพนม อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีเนื้อที่ ๙ ไร่ ได้รับ ‘วิสุงคามสีมา’ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๕ มีอดีตเจ้าอาวาสคือ 
๑. พระมหาสุขุม (ไม่ทราบฉายา) 
๒. พระมหาหนู อกปญาโน 
๓. พระสุรศักดิ์ ผิวงาม 
๔. พระทอง (ไม่ทราบฉายา) 
๕. พระคำสา ผิวแดง 
๖. พระครูพนมธรรมกิต (หลวงพ่อทา) 
๗. พระครูปัญญาพัฒนคุณ (หลวงพ่อมาย) พ.ศ. ๒๕๔๑ – ๒๕๕๕ 
๘. พระครูสังฆรักษ์สิรภพ ฐิตสีโล เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
 
ประวัติอ้างอิงในการสร้าง ‘พระชัยอัปสรอุทัยกัญญา’ 
ในอดีตเดิม ‘นายโพ’ เป็นนายตำรวจ ชาวอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ได้สมรสกับหญิงสาวชาวบ้านหัวดอน อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม โดยแต่เดิม ‘นายโพ’เคยบวชเรียนก่อนมารับราชการเป็นตำรวจ ในปี พ.ศ.๒๔๗๕ ‘นายโพ’ได้มีศรัทธารวบรวมของมีค่าที่สั่งสมมา และชักชวนชาวบ้านหัวดอนร่วมบริจาคทรัพย์สิน เช่น ทองคำ ทองแดง เงิน เป็นต้น เพื่อรวบรวมไปหล่อองค์พระที่ ‘วัดโพธิ์เครือ’ บ้านเสียว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ซึ่งมี ‘พระครูสอน’ (ชาวไทญ้อ) เป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นพระมหาเถระผู้มีวิชาศิลปการช่างหล่อพระแบบโบราณ และมีวิชาอาคมแกร่งกล้ามาก เป็นที่เคารพนับถือในสมัยนั้น ผู้คนต่างพากันให้ความเคารพท่านมาก ในการนี้ท่านได้นำสิ่งของมีค่านำไปหล่อพระดังกล่าวในคราวนั้นสามารถหล่อพระได้ ๒ องค์ คือ (๑) องค์ขนาดใหญ่ หน้าตัก 14 นิ้ว ได้ถวายนามว่า ‘พระศรีสมพร’ (๒) องค์ขนาดเล็ก หน้าตัก 9 นิ้ว ถวายนามว่า ‘พระชัยอัปสร’ (พระชัยหลังช้าง ใช้แห่ในงานมงคลต่างๆ เช่น งานสงกรานต์) เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยเนื้อสัมฤทธิ์แก่ทองคำศิลปะล้านช้าง ซึ่งปัจจุบันพระสกุลช่างพื้นถิ่นของชาวไทญ้อ ปัจจุบันเหลือเพียง ‘พระศรีสมพร’ ส่วน ‘พระชัยอัปสร’ ได้หายไปตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว 

 

ปัจจุบันพระพุทธรูป ‘ศรีสมพร’ เป็นพระคู่ ‘วัดหัวดอน’ มาจนถึงปัจจุบัน และได้ถวายพระนามใหม่ว่า ‘สมเด็จพระนางพญาศรีสมพร’ มูลเหตุที่มีคำว่า ‘สมเด็จพระนางพญา’ นำหน้าชื่อพระพุทธรูป ‘ศรีสมพร’ เนื่องจากว่าปีที่สร้างพระศรีสมพรนั้นคือปี พ.ศ. ๒๔๗๕ นับเป็นปีประสูติของ ‘สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ’ ทางวัดจึงได้ขอถวายเป็นพระราชกุศล ได้ชื่อที่ไพเราะงดงาม ตามรูปลักษณ์ขององค์พระพุทธรูปองค์นี้ว่า ‘สมเด็จพระนางพญาศรีสมพร’ 
และ ‘พระชัยอัปสร’ นั้น ได้มีการเททองหล่อ หลังจากสร้าง ‘พระศรีสมพร’ ๑ ปี คือ พ.ศ.๒๔๗๖ แต่ปัจจุบันได้หายไปจาก ‘วัดหัวดอน’ ด้วยเหตุนี้ ‘พระครูสังฆรักษ์สิรภพ ฐิตสีโล’ เจ้าอาวาสวัดหัวดอนรูปปัจจุบัน จึงมีดำริกับชาวบ้าน คณะศรัทธาวัดหัวดอน มีความเห็นว่าควรจะหล่อ ‘พระชัยอัปสร’ ขึ้นใหม่ เพื่อเป็นที่กราบไว้สักการะบูชา เป็นพระพี่ พระน้องคู่กันกับ ‘พระศรีสมพร’ จึงได้มีความเห็นชอบ ทำหนังสือขึ้นทูล ‘หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ ‘ เชิญเสด็จเป็นองค์ประธานเททองหล่อ ‘พระชัยอัปสร’ เนื่องด้วยแต่เดิม ‘พระชัยอัปสร’ นั้น ได้เททองสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๖ ซึ่งเป็นปีประสูติของ ‘หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์’ และขอประทานอนุญาตเชิญพระนามสถิตร่วมชื่อพระ โดยมีพระนามว่า ‘พระชัยอัปสรอุทัยกัญญา’ เพื่อเป็นศิริมงคล เป็นมิ่งขวัญ แก่ ‘วัดหัวดอน’ และชาวบ้าน พุทธบริษัทที่เข้ามาทำบุญแก่วัดหัวดอน สืบต่อกาลนาน
 
ท้ายนี้ขอเชิญร่วมทำบุญได้ที่ ‘พระครูสังฆรักษ์สิรภพ ฐิตสีโล’ เจ้าอาวาสวัดหัวดอน หรือโอนเงินที่ 103-1-75118-3 ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี พระครูสังฆรักษ์สิรภพ จาริอุต
 
**อ้างอิงประวัติพระโบราณจาก 
๑) พระวิชัยธรรมคณี วิ. (หลวงพ่อเทพา) เจ้าคณะจังหวัดบึงกาฬ เจ้าอาวาสวัดเซกาเจติยาราม (พระอารามหลวง) เป็นผู้เล่าประวัติพระพุทธรูปโบราณ เป็นพระมหาเถระผู้เชี่ยวชาญเรื่องพระพุทธรูปโบราณ 
๒) จากพระพุทธรูปสองพี่น้อง วัดศรีบุญเรือง บ้านเพีย อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร 
๓) ประวัติเจ้าอาวาสวัดโพธิ์เครือมีพระครูสอนเป็นผู้เก่งกล้าในวิชาช่าง และอาคมในสมัยนั้น 
***พระครูสังฆรักษ์สิรภพ ฐิตสีโล เจ้าอาวาสวัดหัวดอน เป็นผู้เรียบเรียง ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๔


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top