Monday, 20 January 2025
POLITICS TIPS

ชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.สงขลา ‘นิพนธ์-นายกฯชาย’ จับมือหนุน ‘สุพิศ’ ปล่อย ‘ไพเจน’ หลังพิงเชือกแลกหมัดสู้

(29 ต.ค. 67) ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา กล่าวยืนยันว่า จะไม่ลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระแน่นอน ยังคงเดินหน้าทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนจนวันสุดท้ายอย่างขยันขันแข็ง

“นายกฯไพเจนจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกฯอบจ. สงขลาอีก 1 สมัยแน่นอน” แหล่งข่าวใกล้ชิดนายกฯไพเจน กล่าว

ที่ต้องมาตอกย้ำกันอีกครั้ง เนื่องจากว่ามีการปล่อยข่าวว่า นายกฯไพเจนถอดใจแล้ว จะไม่ลงเลือกตั้งในสมัยที่สอง ซึ่งเป็นการปล่อยข่าวด้วยเจตนาร้ายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากข่าวนี้ ซึ่งต้องหมายถึงฝ่ายการเมืองในสงขลาที่กำลังฟาดฟันกันอยู่

ปล่อยข่าวหนักถึงขนาดว่า ถ้านายกฯไพเจนไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกฯอบจ.สงขลา จะเปิดทางให้ไปลงสมัคร สส.เขต 7 สงขลา (นาทวี จะนะ เทพา สะบ้าย้อย)ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ที่ ‘ศิริโชค โสภา’ เคยเป็น สส.อยู่ แต่ปี 2562 พ่ายแพ้ให้กับ ‘ณัฐชนนท ศรีก่อเกื้อ’ จากพรรคภูมิใจไทย และมาแพ้ซ้ำในการเลือกตั้งปี 2566 และเมื่อเกิดวิกฤตทางการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ ศิริโชคก็ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เท่ากับว่า เขต 7 สงขลา ของพรรคประชาธิปัตย์ว่างอยู่ จึงมีความพยายามปล่อยข่าวว่า นายกฯไพเจนจะไม่ลงสมัครรักษาแชมป์แล้ว โดยจะโยกไปลงสมัคร สส.เขต 7 แทน

ถามว่า มีการพูดคุยกันจริงไหม มีการพูดคุยกันจริง ผ่านทาง ‘นายกฯชาย - เดชอิศม์ ขาวทอง’ เลขาธิการพรรคประชาธิปัต์ แต่นายกฯไพเจนไม่ได้ตอบรับต่อข้อเสนอนี้ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันต้องยอมรับความจริงว่า ประชาธิปัตย์ขาลงอย่างสุดๆ หากไปลงสมัคร สส.เขต 7 จึงมีโอกาสสูงมากที่จะพ่ายแพ้ให้กับ ‘เดอะหนุ่ย-ณัฐชนนท’ ที่ฐานเสียงค่อนข้างหนาแน่น ผลงานในพื้นที่ก็ชัดเจน และเสี่ยงยิ่งกว่าลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกฯอบจ.อีก

ไม่ผิดหรอกที่นายกฯไพเจนจะตัดสินใจลงรักษาแชมป์อีกสมัย 4 ปี ผลงานมีชัดเจน เพียงแต่ด้อยด้านการประชาสัมพันธ์ ทีมงานประชาสัมพันธ์ที่มีฝ่ายประชาสัมพันธ์เป็นตัวยืน กับสถานการณ์สู้รบ ไม่เพียงพอ

รบกับใคร นายกฯไพเจนกำลังรบกับ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ ที่มั่นใจในตัวเองสูงมาก ลาออกจากอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กับความอู้ฟู้ ใจถึง มาลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา อย่าลืมว่า สุพิศไม่ใช่แค่อดีตข้าราชการระดับอธิบดี เขายังมี ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ที่แตกหน่อแทงกอ ไปหนุนช่วย ‘สุพิศ’ แถมยังมี ‘นายกฯชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง’ อีกคนเข้าไปเสริมทัพ

แต่ถามว่า ทั้ง ‘นิพนธ์-นายกฯชาย’ จะช่วยให้ ‘สุพิศ’ ชนะการเลือกตั้งแบบง่ายๆ ก็คงไม่ใช่ ‘นายกฯชาย’ เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมกันนำพาพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมรัฐบาลของแพทองธาร ชินวัตร ที่สังคมทั่วไปรับรู้กันอยู่ว่ามี ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ชักใยอยู่เบื้องหลัง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่คนใต้รับไม่ได้ในหลายเรื่อง ทั้งเล่นพรรคเล่นพวก ทุจริตคอร์รัปชัน แถมยังไม่พัฒนาพื้นที่ที่ไม่เลือกพรรคเขา

พรรคประชาธิปัตย์ที่ตกต่ำอยู่แล้วก็ยิ่งตกต่ำหนักเข้าไปอีก เมื่อถึงหน้าเลือกตั้งนายกฯชายจะรับมือไหวไหมกับกระแสไม่เอาประชาธิปัตย์ และจะช่วยดันหลัง ‘สุพิศ’ ไหวหรือเปล่า เอาเป็นว่านายกฯชายกำลังวางแผนบางอย่าง เพื่อเอาตัวให้รอดในการเลือกตั้งครั้งหน้า และต้องมี อบจ.เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน เข้าถึงหันหัวเรือเข้าจอดเทียบท่า กับท่าเรือที่อู้ฟู้กว่า

สำหรับนิพนธ์ เมื่อหันหัวเข้าหาสุพิศ ก็ต้องเตรียมตัวตั้งรับดีๆกับการถูกลากไปสู่มุมมืด นิพนธ์ควรสงวนท่าที สิงห์ก็ต้องเป็นสิงห์ จริงๆนิพนธ์ควรจะยืนอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ข้างไพเจน เพราะสนับสนุนช่วยเหลือกันมาตั้งแต่สมัยแรก ที่สำคัญ ‘นิพนธ์-ไพเจน’ คือเลือด ‘น้ำเงิน-ขาว’ จากมหาวชิราวุธด้วยกัน ‘เลือดควรจะข้นกว่าน้ำ’ น้ำที่มาจากโรงเรียนแจ้งวิทยา แต่ด้วยเหตุผลใดไม่อาจทราบได้ที่ทำให้นิพนธ์ หันหัวไปช่วยสุพิศ

ที่ต้องจับตากับท่าทีที่นิ่งๆของ ‘ถาวร เสนเนียม’ อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคม ว่าท้ายที่สุดแล้ว ยังจะนิ่งต่อไป หรือหันไปช่วยใคร ‘ถาวร’ คงจะกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย ถ้าจะไปช่วยสุพิศ เพราะมีนิพนธ์ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกันมาตลอดจองหัวคิวไว้ก่อนแล้ว แม้ ‘ถาวร’ กับนายกฯชายจะไม่ได้มีปัญหาอะไรกันก็ตาม

ศึกชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.สงขลา ครั้งใหม่นี้ ถือว่าเป็นศึกคนกันเอง เพราะ ‘สุพิศ-ไพเจน’ ต่างก็โตมาจากสายกรมชลประทานด้วยกัน แม้ระหว่างทางจะมีปัญหากันบ้างก็เหมือนลิ้นกับฟัน

แต่ศึกชิงนายกฯอบจ.สงขลา ให้จับตา ‘ศึกชิงเลือดน้ำเงินขาวด้วย

'อ.ไชยันต์' ถาม 'อานันท์' หากบางพรรคมองไม่ผิด ปม '112-พฤติกรรม สส.' แต่มีคนอื่นๆ เห็นว่าผิด ควรหาทางออกหรือให้ใครเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด

(5 ส.ค. 67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึง นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า...

กราบเรียนคุณอานันท์ ปันยารชุน ด้วยความเคารพอย่างสูง

ผมได้ชมคลิปที่ท่านให้สัมภาษณ์ล่าสุด (ที่มีการพูดถึงเรื่อง มาตรา 112) และทราบถึงความเห็นของท่านเกี่ยวกับการให้พรรคการเมืองจัดการดูแลพฤติกรรมของ สส. ในพรรค รวมถึงการให้สภาฯ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจาก สส. หรือพรรคการเมือง โดยไม่จำเป็นต้อง 'ใช้ศาล' โดยท่านได้ยกตัวอย่าง อังกฤษ และอเมริกา 

ผมเห็นด้วยครับว่า โดยเบื้องต้น พรรคและสภาฯควรหารือและหาทางออกด้วยตัวพรรคการเมืองเอง หรือโดยสภาฯ เพราะกฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบันได้กำหนดไว้อยู่แล้วด้วย ดังนี้ครับ

มาตรา ๒๒ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีหน้าที่ควบคุมและกำกับดูแลมิให้สมาชิกกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของคณะกรรมการ

มาตรา ๔๕ ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองกระทำการ หรือส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน หรือกระทำการอันเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

คำถามหรือปัญหาคือ หากพรรคการเมืองไม่เห็นว่า สมาชิกของตนทำผิด มาตรา 22 และมาตรา 45   แต่มีคนอื่นๆ เห็นว่าผิด  

ผมจึงอยากจะกราบเรียนขอคำชี้แนะจากท่านว่า เราควรหาทางออกหรือหาหน่วยงานองค์กรใดเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดในเรื่องสำคัญที่เห็นต่างนี้ครับ ถ้า 'ไม่ใช้' ศาลอย่างที่ท่านกล่าวในการให้สัมภาษณ์

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาให้คำชี้แนะด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ไชยันต์ ไชยพร

ป.ล. อนึ่ง ผมดีใจมากที่ท่านกล่าวให้ความรู้แก่สังคมในเรื่อง ความเที่ยงธรรม (equity) นอกเหนือจาก ความยุติธรรม (justice) ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องอาศัย ความซื่อสัตย์ ซื่อตรงในตัวคนเป็นสำคัญโดยภาษาอังกฤษมีคำว่า honesty และ integrity ที่แปลไทยเหมือนกัน แต่จริงๆ มันไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ

ผมจึงอยากขอความกรุณาให้ท่านช่วยให้ความรู้แก่สังคมถึงความหมายที่เหมือนและต่างกันของ honesty และ integrity ด้วยครับ

‘อดีตผู้ว่าอัศวิน-สส.รทสช.’ เตรียมลงพื้นที่คลองโอ่งอ่าง ถามหา “ชัชชาติ...สิ่งดีๆ คลองโอ่งอ่าง...หายไปไหน?”

(11 มี.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ แจ้งกำหนดการ ของอดีตผู้ว่า กทม.พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบสภาพคลองโอ่งอ่างในปัจจุบัน หลังมีการแชร์และพูดถึงกันในโซเชียลมีเดียที่ระบุว่าเปลี่ยนไปจากเดิม

โดยกำหนดการดังกล่าว แจ้งว่า สส. เกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ นายทะเบียนสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง จะลงพื้นที่คลองโอ่งอ่าง ถามหา “ชัชชาติ…สิ่งดีๆ คลองโอ่งอ่าง….หายไปไหน“

สืบเนื่องจาก นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้หารือ ในสภาฯ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ถึงกรณีทำไม! กทม.จึงปล่อยทิ้งคลองโอ่งอ่าง ให้กลับสู่สภาพเดิม จนหมดคุณค่าความเป็น Landmark แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร และเมินจัด ‘ถนนคนเดิน’ ทั้งที่สร้างรายได้ให้ประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่

โดยทั้ง 2 ท่าน จะลงพื้นที่ ในวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2567 ในเวลา 10.30 น. เดินสำรวจ และรับเรื่องร้องเรียน จากผู้ค้า และ เวลา 11.30 น. จะมีการสอบถามเพิ่มเติม

‘นายกฯ’ บุกค่าย-รพ. ‘ประจักษ์ศิลปาคม’ จ.อุดรฯ หารือ ‘ผบ.ทบ.’ ยกระดับความเป็นอยู่-แก้หนี้ทหาร

(19 ก.พ.67) ที่ว่าการอำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการเดินทางไปเยี่ยมค่ายทหารประจักษ์ศิลปาคม และโรงพยาบาลประจักษ์ศิลปาคม ว่า ได้เดินทางไปร่วมกับพล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เพื่อไปตรวจเยี่ยมค่าย และดูบ้านพักทหารที่สร้างมา 100 กว่าปี บางแห่งก็กว่า 80 ปี และได้เดินทางต่อไปดูที่โรงพยาบาลประจักษ์ศิลปาคมที่มี 200 เตียง ซึ่งมีประชาชนหนาแน่น การเดินทางไปตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ ก็เป็นไปตามแผนทั้งหมดที่เราได้วางไว้ โดยได้มีการพูดคุยกับผบ.ทบ.ไปหลายเรื่อง ทั้งเรื่องบ้านพัก เรื่องของโรงพยาบาล เรื่องหนี้ของทหารรวมทั้งเรื่องกำลังพลที่มีการพูดกันว่าจะมีการลดจำนวนกำลังพล แต่อย่าไปพูดถึงการลดกำลังในส่วนของแพทย์และพยาบาล และเทคนิคการแพทย์

เพราะบางเรื่องที่เป็นเรื่องเฉพาะทางอย่างเช่นแพทย์พยาบาลหรือเทคนิคการแพทย์ ไม่ควรจะลดกำลังพล เพราะโรงพยาบาลทหารทั่วประเทศทุกโรงพยาบาลบริการประชาชนประมาณ 70 %-80% และแพทย์มีไม่เพียงพอ อย่างที่โรงพยาบาลประจักษ์ศิลปาคมมีหมอเพียง 19 คน มีจำนวนเตียงผู้ป่วย 200 เตียง ทำให้ไม่เพียงพอจะเห็นได้ว่ามีประชาชนจำนวนมากเข้าไปรับบริการ ทั้งนี้เมื่อได้ถามประชาชนที่เข้าไปรับการรักษาว่าพอใจหรือไม่ ซึ่งประชาชนทุกคนยืนยันว่า มีความสุขมาก และการไปครั้งนี้ตนไม่ได้กำหนดไว้ในแผน ทุกคนหน้าตา ยิ้มแย้มแจ่มใส 

นายกฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนยังได้ไปดูในเรื่องของอุปกรณ์ว่าเพียงพอหรือไม่ รวมทั้งบุคลากรและรายได้ของเภสัชกรที่ยังขาดแคลนอยู่ โดยเฉพาะเภสัชกรที่ทำงานในโรงพยาบาลทหาร มีรายได้ที่น้อยกว่าเภสัชกรที่ทำงานของสาธารณสุข เป็นข้าราชการเหมือนกันแต่มีรายได้ที่แตกต่าง ซึ่งตนก็สงสัยว่าทำไมถึงต้องมีข้อแตกต่างแบบนี้ โดยผบ.ทบ.ได้นั่งรถมาด้วยกันได้มีการพูดคุยกันมีหลายเรื่องที่เราสามารถที่จะทำได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น  

เมื่อถามถึงเรื่อง 30 บาทรักษาทุกที่จะสามารถเริ่มได้ด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มีส่วนและประชาชนก็ใช้อยู่แล้ว แต่ยังมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเยอะแยะไปหมด ซึ่งเดี๋ยวจะมีการพูดคุยกับนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข

เมื่อถามย้ำว่าจะสามารถเข้าร่วมในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ได้ด้วยกันใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ได้แน่นอนทั้งหมด แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่บุคลากรที่มีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามในส่วนของทหารเองก็มีโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกองทัพบก มีส่วนในการช่วยผลิตบุคลากร ที่มีคุณภาพส่งเสริมการเติบโต ทางเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญการที่จะลดกำลังพลจะต้องไม่เกี่ยวกับส่วนนี้

เมื่อถามว่าทั้งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขและทางทหารสามารถที่จะบูรณาการงานร่วมกันได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แน่นอนเพราะโรงพยาบาลทหารปัจจุบัน 70% เป็นพลเรือนที่เข้ารับการรักษา โรงพยาบาลใหญ่ๆ อย่างโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าและอีกหลายที่ ประชาชนก็เข้าไปรับบริการ ซึ่งโรงพยาบาลจำนวน 200 เตียงมี 10 กว่าโรงพยาบาลทั่วประเทศ และทุกโรงพยาบาลกว่า 70% ทำหน้าที่ดูแลประชาชน อีกทั้งสถานบริการขนาดเล็กอย่างสถานีอนามัย ก็ต้องช่วยกันดูแลตรงนั้นด้วย

ด้านผบ.ทบ. กล่าวด้วยว่า โรงพยาบาลทหารสามารถอยู่ร่วมในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ได้  และโรงพยาบาลทหารก็รับบัตรทองด้วย

'สรรเพชญ' ชี้!! รัฐบาลควรยึดโยง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังรัฐ แนะ!! นโยบาย Digital Wallet ถ้าทำต้องถูกต้องตามกฎหมาย

(10 ม.ค.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา ได้ให้ความเห็น กรณีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาส่ง ความเห็นกรณี การออก พ.ร.บ. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อจัดทำนโยบาย Digital Wallet กลับมายังกระทรวงการคลัง ว่าตามที่ตนได้รับทราบข่าวกฤษฎีกาไม่ได้ฟันธงว่ารัฐบาลสามารถจัดทำนโยบาย Digital Wallet ได้หรือไม่ แต่กฤษฎีกาทำหน้าที่ส่งความเห็นในเชิงกฎหมายเพียงเท่านั้น โดยตนเห็นว่ากฤษฎีกากำลังบอกรัฐบาลว่าหากจะจัดทำนโยบาย Digital Wallet ต้องพิจารณาภายใต้กฎหมายใดเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ตนเห็นว่านโยบายรัฐบาล คือฉันทามติของสังคมที่ไม่สามารถหักล้างได้ ขณะเดียวกัน หากสุดท้ายมันผิดกฎหมายจริงๆ รัฐบาลจำเป็นรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและการเมืองเป็นอย่างน้อย เพราะมันคือนโยบายหาเสียงที่จำเป็นตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ก่อนจะประกาศหาเสียงเลือกตั้ง

กรณีตัวนโยบาย Digital Wallet 10,000 บาท เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศโดยนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ภายใต้ความฮือฮาก็มีข้อกังขาถึงความเป็นไปได้ของนโยบาย มาจนถึงวันนี้ ความชัดเจนของนโยบายก็ยังไม่คืบหน้า เพราะรัฐบาลไม่มีเงินที่จะมาทำนโยบาย อีกทั้งรัฐบาลเองก็มีความสับสนในช่วงแรกว่าจะกู้หรือไม่กู้ จะใช้เงินผ่าน Platform หรือ Application ซึ่งรัฐบาลเองก็ยังไม่มีความ โดยนโยบาย Digital wallet ที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นไว้กับ กกต. ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เรื่องของการกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ต้องให้จ่ายเงิน พบว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล วงเงิน 560,000 ล้านบาท ซึ่งที่น่าสังเกตคือที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการโดยจะมาจาก 4 แหล่ง คือ...

1) รายได้ที่รัฐจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นในปี 2567 จำนวน 260,000 ล้านบาท
2) ภาษีที่ได้มาจากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 100,000 ล้านบาท
3) การบริหารจัดการงบประมาณ 110,000 ล้านบาท
4) การบริหารงบประมาณที่ซ้ำซ้อน 90,000 ล้านบาท

ซึ่งไม่มีเรื่องของการกู้ จึงหมายความว่า นโยบายนี้จะสามารถดำเนินการได้โดยใช้เงินที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องสร้างภาระให้กับประเทศเพิ่ม

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าการทำนโยบาย Digital Wallet หากรัฐบาลจะดึงดันให้สามารถดำเนินการภายในปี 2567 เท่ากับรัฐบาลนายเศรษฐาจะต้องกู้เงินถึง 1.1 ล้านล้านบาท เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งในรายละเอียดไม่ปรากฎนโยบาย Digital Wallet และร่าง พ.ร.บ. งบ 67 มีการกู้เงินเพื่อชดใช้เงินคงคลังกว่า 600,000 แสนล้านบาท และหากจะดำเนินการ นโยบาย Digital Wallet รัฐบาลจะต้องกู้อีก 560,000 ล้านบาท รวมแล้วรัฐบาลนายเศรษฐา จะสร้างหนี้กว่า 1.1 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ การกู้เงินของรัฐบาลจะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรา 53 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 9 ที่ระบุไว้ว่า “คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว”

อีกทั้งหากพิจารณาเรื่องของหนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือน พฤศจิกายน 2566 รัฐบาลมีหนี้สาธารณะคงค้างอยู่ที่ 11 ล้านล้านบาท ซึ่งหากต้องกู้เพื่อทำนโยบาย Digital Wallet ตนไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว การกระตุ้นและพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวมันมีอยู่หลากหลายแนวทาง หลายแนวทางมันนำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ การฝึกทักษะใหม่ๆ ในการประกอบอาชีพ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ 

นายสรรเพชญ กล่าวในตอนท้ายว่า “ความท้าทายของรัฐบาล หรือพรรคเพื่อไทย คือมาตรฐานนโยบายการเมืองกับความถูกต้องทางกฎหมาย และจำเป็นต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของนโยบายที่ให้ไว้เป็นสัญญาประชาคมว่า Digital Wallet จะเป็นนโยบายที่ไม่ต้องกู้เงิน ซึ่งรัฐบาลจะต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง”

‘ชัยวุฒิ’ ดาวเด่นเวที ‘IYA Forum 2023’ ถอดรหัสประเทศไทย ‘อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต’

เป็นอีกหนึ่งเวทีที่น่าจับตามอง กับการคืนถิ่นลานเกียร์ของเหล่าพี่น้องชาววิศวะ จุฬาฯ ที่ผนึกกำลังรวมตัวถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต ธุรกิจ และการเมือง ส่งต่อแรงบันดาลใจและเคล็ดลับความสำเร็จแก่ศิษย์เก่ารุ่นเยาว์ในงาน ‘IYA Forum 2023’ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2017 ที่ได้ศิษย์เก่าผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ มาร่วมวงเสวนาเพื่อต่อยอดและแลกเปลี่ยนความรู้ สู่การพัฒนาประเทศ พร้อมสร้างเครือข่ายสไตล์ IYA

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อีกหนึ่ง Speaker อดีตรุ่นพี่วิศวะจุฬาฯ (วศ 2533) มาร่วมวงเสวนา ‘ถอดรหัสประเทศไทย อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต’ ร่วมกับ อีกสามดาวเด่นแวดวงการเมืองยุคใหม่ อย่าง ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล, วทันยา บุนนาค จากพรรคประชาธิปัตย์ และ รัฐ คลังแสง สส.จากพรรคเพื่อไทย โดยนายชัยวุฒิได้ถอดรหัสในประเด็นการเมืองไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งในช่วงแรกได้พาทุกคนย้อนกลับไปสมัยเป็นนิสิตวิศวะ จุฬาฯ ปี พ.ศ. 2533 ซึ่งมีความสนใจการเมืองอย่างมาก พร้อมลิ้มรสบทบาทการเมืองครั้งแรกหลังได้รับตำแหน่ง ‘หัวหน้านิสิต’ ณ ขณะนั้น พร้อมเป็น 1 ในนิสิต นักศึกษาที่ร่วมลงถนน ประท้วงรัฐบาลครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ  (รสช.) ระหว่างวันที่ 17-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นการรัฐประหาร รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งนายชัยวุฒิมองว่า เป็นเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาเรื้อรัง ณ ปัจจุบัน

อีกหนึ่งประเด็นร้อนแรงอย่างการทำรัฐประหาร ในทัศนะการเปลี่ยนขั้วอำนาจ นายชัยวุฒิกล่าวว่า “ยอมรับว่าหลังจากการเปลี่ยนการปกครองมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่คณะการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีการช่วงชิงอำนาจมาโดยตลอด พูดง่ายๆ คือ ประชาธิปไตยไม่เต็มใบตั้งแต่แรก  ก่อนที่ในช่วงหลังๆ รัฐบาลไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน จากการทุจริตคอร์รัปชัน ความยากจนของประชาชน และสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชน เกิดกลุ่มคนที่ออกมาต่อต้านที่นำไปสู่ความรุนแรง ตนมองว่าการรัฐประหารเป็นเหมือนการ Set Zero เพื่อยุติปัญหาดังกล่าว”

พรรคพลังประชารัฐและพลเอกประวิตร น่าจะเป็นของคู่กันที่ทำให้หลายๆ คนสงสัยว่าหาก พล.อ.ประวิตรวางมือทางการเมืองจริง แนวทางพรรคจะเป็นอย่างไร นายชัยวุฒิกล่าวยืนยันประเด็นนี้ว่า พลเอกประวิตรยังคงเป็นแกนนำของพรรค แต่ถ้าวันหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ก็คงเป็นเรื่องที่สมาชิกจะต้องมาหาแนวทางใหม่ร่วมกันในอนาคต

นายชัยวุฒิกล่าวทิ้งท้ายถึงอนาคตของประเทศไทยว่า “เรื่องของประชาธิปไตย ที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องของสิทธิ เสรีภาพ การเรียกร้องให้ได้มีการเลือกตั้ง มาจนถึงวันนี้ได้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ประชาธิปไตยต้องเต็มใบ มีการถ่วงดุลอำนาจ ตรวจสอบการทำงานระหว่างระบบราชการ นักการเมือง องค์กรอิสระต่างๆ โดยบูรณาการในการทำงานร่วมกันอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม ประเทศไทยก้าวหน้าประชาชนอยู่ดีกินดี”

‘พี่เต้’ หิ้วส้มตำ-ไก่ย่าง บุกชั้น 14 รพ.ตำรวจ เยี่ยม ‘ทักษิณ’ แต่ ‘ราชทัณฑ์’ ไม่อนุญาต เหตุไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่แจ้งไว้

(7 พ.ย. 66) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เดินทางเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องขังคดีทุจริตที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยได้นำส้มตำ-ไก่ย่างจากร้านของนายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปี และผันตัวไปเปิดร้านไก่ย่าง มาเยี่ยมไข้นายทักษิณด้วย

โดยนายมงคลกิตติ์ ระบุว่า แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้ลงทะเบียนเยี่ยมนายทักษิณ แต่ตนเองทราบมาว่า บุคคลภายนอกสามารถเข้าเยี่ยมได้ หากตัวผู้ต้องขังอนุญาต ซึ่งตนเองก็จะใช้สิทธิ์ตรงนี้ ส่วนคาดหวังว่าจะได้เข้าเยี่ยมหรือไม่นั้น ให้เป็นดุลยพินิจของนายทักษิณ

โดยเมนูที่นำมาเยี่ยมนายทักษิณวันนี้ คือ ไก่ย่างเขาสวนกลางปิ้งเอง 1 ตัว, ส้มตำไทยปู พริก 6 เม็ด, ข้าวเหนียว 4 ห่อ, ปลาขาวกรอบ 5 ห่อ ไว้รับประทานกับข้าวสวยและพริกน้ำปลา โดยยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถนำอาหารเข้าเยี่ยมได้หรือไม่ หากไม่ได้ ก็ให้เป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ว่าจะนำอาหารทั้งหมดไปให้บุคคลใดแทนหรือไม่ แต่ตนเองถือว่าได้แสดงน้ำใจแล้ว โดยการเดินทางมาที่โรงพยาบาลตำรวจวันนี้ ตนเองยังคาดหวังจะได้พบนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อสอบถามอาการป่วยของนายทักษิณ หลังเข้ารับการรักษาตัวมานานกว่า 70 วันด้วย

ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่านายสิระ รวมถึงนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส. พรรคพลังประชารัฐ จะมาเยี่ยมนายทักษิณพร้อมๆ กับนายมงคลกิตติ์ด้วยนั้น แต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา นายสิระ ติดธุระด่วน ส่วนนางสาวปารีณา มีอาการป่วย ตัวรุมๆ ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ทั้งสองมีผู้ใหญ่ติดต่อมาเจรจา ไม่ให้มาตนเองไม่ทราบ คงต้องไปสอบถามทั้งสองเอง แต่ทั้งสอง ก็ฝากความคิดถึง มาให้ตนเองเป็นตัวแทนในการเข้าเยี่ยมเพื่อติดตามอาการเจ็บป่วยของตัวนายทักษิณ เพราะที่ผ่านมาทางโรงพยาบาลไม่เคยมีการแถลงข่าวอัปเดทอาการใดๆ ผิดจากเราบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ผ่านมาที่ปรากฏว่าจะมีการแถลงข่าวในทุกอาทิตย์

สำหรับการเข้ารักษาตัวของ นายทักษิณ ตนไม่รู้ว่าสรุปแล้ว นายทักษิณ ป่วยเป็นไรกันแน่ เพราะตามปกติถ้านักโทษมีชื่อเสียง คณะแพทย์ต้องแถลงอาการทุกสัปดาห์ว่าเจ็บป่วยอะไรบ้าง ขั้นตอนรักษาเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อให้ประชาชนทราบ เชื่อว่าคนอายุ 74 ย่าง 75 ปี มีโรคภัยไข้เจ็บอยู่แล้ว

ทั้งนี้ ยังมีแชตจากทางบ้านฝากตนให้มาถามอาการว่า นายทักษิณ เป็นอย่างไรบ้าง หากตนได้เจอจะได้รู้ว่าสุขภาพยังแข็งแรงดี ไม่ต้องกังวลมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับ นายทักษิณ อยากให้เข้าเยี่ยมหรือไม่ เพื่อนๆ ของตน ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล อยากมาเยี่ยมกันมาก เพราะตอนนี้เยี่ยมได้แต่คนในครอบครัว การเยี่ยมครั้งนี้ตนเหมือนเป็นตัวแทนหมู่บ้าน

โดย นายมงคลกิตต์ กล่าวอีกว่า หากนายทักษิณ ไม่ได้รับประทานอาหารวันนี้คงเสียดาย จริงๆ อยากจะนำสตรอว์เบอรีมาฝากด้วย เมื่อถามว่ามีนัยยะหรือไม่นั้น นายมงคลกิตต์ ตอบว่า ไม่มี เป็นสตรอว์เบอรีที่ตนปลูกเอง พันธุ์ใหญ่

อย่างไรก็ตาม สำหรับการเข้าเยี่ยมทางกรมราชทัณฑ์ได้แจ้งว่า ทางครอบครัวชินวัตร แจ้งรายชื่อไว้ 10 รายชื่อ การเยี่ยมเป็นไปตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ ต้องถามความสะดวกใจของนักโทษก่อนว่าสะดวกให้เข้าเยี่ยมหรือไม่

'ช่อ' ส่งสารถึงผู้มีอำนาจที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ประกาศกร้าว!! "เราแพ้กี่ครั้งก็ได้ ขอชนะเพียงครั้งเดียว"

(25 ก.ย. 66) น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ 'ช่อ' อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pannika Chor Wanich' ระบุว่า...

วันนี้ได้มีโอกาสกลับมาทอล์กโชว์การเมืองกับคนคุ้นเคย คิดถึงวันคืนสมัยวอยซ์อยู่ไม่น้อย ขอบคุณแขกรับเชิญทั้งสองท่านสำหรับมุมมองที่แหลมคมต่อการเมืองไทย

งาน 'ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน' สำหรับช่อ วันนี้มีเรื่องอยากจะสื่อสารเพียงเรื่องเดียว

ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ ที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางสิ่งใหม่ไม่ให้เกิด ขอให้ท่านรับรู้ไว้ว่า สิ่งที่ท่านทำจะสูญเปล่า ความพยายามของท่านไม่มีวันบรรลุผล

เราแพ้กี่ครั้งก็ได้ ขอชนะเพียงครั้งเดียว

เราถูกประหารชีวิตกี่ครั้งก็ได้ แต่จะเกิดใหม่เสมอ

จนกว่าจะถึงวันที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

วันของ ‘ทักษิณ-เศรษฐา’ ส่วน ‘ไผ่ ลิกค์’ วืด!! ฟาก ‘พท.’ ดึง ‘บิ๊กแป๊ะ’ ช่วย ‘บิ๊กทิน’ งานไหลลื่น

รายชื่อคณะรัฐมนตรี หรือ ‘ครม.เศรษฐา 1’ โปรดเกล้าฯ แล้ว เดี๋ยวมาว่ากัน… แต่ก่อนอื่น ‘เล็ก เลียบด่วน’ ต้องขอแสดงความยินดีกับครอบครัวชินวัตรด้วยคน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ได้ทรงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษชายเด็ดขาด ‘นายทักษิณ ชินวัตร’ เหลือโทษจำคุก 1 ปี จากทั้งหมด 8 ปี… 

ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ก็ไม่ต้องอธิบายซ้ำตรงนี้… 

แต่จากนี้ไปก็พอจะคาดหมายได้ว่าโทษจำคุก 1 ปีที่เหลือ คุณทักษิณก็คงจะใช้ช่องทางตามกฎกติการาชทัณฑ์พบกับอิสรภาพได้ในไม่นาน เช่น การพักโทษหรือถ้ามีพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษในวันสำคัญก็สามารถพ้นโทษได้เลย เพราะโทษเหลือไม่ถึงปี หรือที่เรียกว่า ‘ต่ำปี’... ก็ว่ากันไป

แต่ที่อยากบอกทักษิณและครอบครัวชินวัตรตรงไปตรงมาด้วยปรารถนาดีตรงนี้ก็คือ หากไม่นอนอยู่ห้องไอซียู รพ.ตำรวจ พรุ่งนี้มะรืนนี้กรุณากลับไปรับโทษนอนรักษาตัวที่แดน 7 รพ.ราชทัณฑ์ได้แล้ว… จะเป็นภาพที่งดงามดูสอดประสานกับพระมหากรุณาธิคุณ… ตระกูลชินวัตรจะได้ไม่เป็นที่ถูกเกลียดชังเพิ่มขึ้นไปกว่าเดิม… 

กลับมาที่ โฉมหน้า ‘ครม.เศรษฐา 1’... เมื่อพิชิต ชื่นบาน ‘ทนายถุงขนม’ ประกาศถอนตัวออกไปเพราะแรงต้านจากสังคม พร้อมกับตัดชื่อ ‘ไผ่ ลิกค์’ หรือ ‘ไผ่ วันพอยท์’ ออกจาก ‘รมช.พาณิชย์’ โดยไม่มีใครรู้ล่วงหน้าแต่สันนิษฐานได้ว่าคงเนื่องจากเหตุปมคดีเก่าๆ ก็ทำให้ ‘ครม.เศรษฐา’ ดูดีขึ้นนิดหน่อย… แม้ว่าจะยังมีเสนาบดีอีก 2-3 คนที่ปูมประวัติไม่ค่อยโสภาสถาพรอยู่บ้าง แต่ก็พอจะหยวนๆ ให้โอกาสได้พิสูจน์คุณธรรมและน้ำยากันอีกสักรอบ… 

สำหรับคนที่จะมาแทนโควตา พิชิต ชื่นบาน จะเป็น ‘ชูศักดิ์ ศิรินิล’ หรือไม่นั้น ก็รอดูกันต่อไป… ขณะที่กรณีไผ่ ลิกค์ เป็นสัดส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหากสังเกตให้ดีเมื่อ 4-5 วันก่อน มีการปล่อยชื่อของ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หรือ ‘อาจารย์แหม่ม’ ออกมาให้สื่อพูดถึง… อย่างไรก็ตาม ถ้าอาจารย์แหม่มอยากได้เก้าอี้รัฐมนตรี ก็ต้องได้รับความยินยอมจากบ้านใหญ่กำแพงเพชร ภายใต้การนำของ วราเทพ รัตนากร ผอ.พรรค… และ ไผ่ ลิกค์ ก็อยู่ในกลุ่มนี้

งานนี้… คงหนีไม่พ้น ‘ลุงป้อม’ หัวหน้าพรรคที่จะต้องทุบโต๊ะแบบเซ็งๆ อีกครั้ง… 

ในจำนวนรัฐมนตรี 33 คนของ ‘ครม.เศรษฐา 1’ สุทิน คลังแสง นับเป็นบุคคลที่น่าสนใจมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะนี่คือพลเรือนที่ไม่ได้เป็นนายกฯ แต่ถูกวางตัวเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม… ซึ่งจริงๆ แล้วแรกเริ่มเดิมทีกระทรวงนี้ทาง ‘บิ๊กป้อม’ จองให้พรรคพลังประชารัฐ ตอนแรกนัยว่าถ้าตัวเองได้เป็นนายกฯก็จะควบเอง ต่อมามีข่าวลือว่าจะให้ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (บิ๊กน้อย) ต่อมามีชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (บิ๊กป๊อด) อดีตผบ.ตร.น้องชายบิ๊กป้อม… 

ก่อนที่ในช่วงท้ายๆ จะมีชื่อ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ (บิ๊กเล็ก) อดีตเลขาธิการ สมช.สายตรงบิ๊กตู่ แต่ก็มีแรงต้านเล็กๆ จากคนเสื้อแดงเพื่อไทย ประกอบกับพรรคเพื่อไทยไม่อยากสูญเสียโควตาให้บุคคลภายนอก… หวยจึงมาออกที่ สส.นักการศึกษาอย่าง ‘สุทิน คลังแสง’

ผู้สันทัดกรณีบางรายวิเคราะห์ว่า… การวางตัวสุทินคุมกลาโหม… จะใช่หรือไม่ว่า… เป็นการโชว์พาวของคนแดนไกลที่เป็นคนแดนใกล้แล้วในวันนี้… ประมาณว่าเขาจะจัดวางใครไว้ตรงไหนก็ทำได้!?

ก็คงต้องตามไปดูว่า สุทิน คลังแสง ผู้มีวาทศิลป์ มีอีคิวสูงจะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แต่ยังไงๆ ก็เชื่อว่าอย่างน้อยคงดีกว่า อดีตนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ควบกลาโหมช่วงปี 2556-2557 ซึ่งโชคดีที่ช่วงนั้นนายกฯ ปูมี ‘บิ๊กแป๊ะ’ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก เป็นปลัดกลาโหม คอยช่วยดูงานอีกแรงหนึ่ง… 

โดยวันนี้ นอกเหนือจาก พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา จะถูกเทียบเชิญไปเป็นที่ปรึกษาแล้ว แว่วว่าพรรคเพื่อไทยจะส่ง ‘บิ๊กแป๊ะ’ พล.อ.นิพัทธ์ไปเป็นแม่บ้าน นั่งตำแหน่งเลขานุการ รมว.กลาโหม ให้เจ้ากระทรวงทำงานได้อย่างราบรื่น… 

ถ้าจริงก็น่าจะเป็นโชคดีของ… บิ๊กทิน!?

'โบว์ ณัฏฐา' แนะคนไทยมองการเมืองเป็นการทำงานเพื่อชาติ ไม่ใช่มองทุกอย่างเป็นละครที่มี 'พระเอก-นางเอก- ธรรมะ-อธรรม'

(26 ก.ค. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

คนต้องเลิกมองการเมืองเหมือนคนดูละครน้ำเน่า แล้วมองการเมืองเป็น 'การทำงาน' มีเป้าหมายของงานที่ต้องทำให้สำเร็จอยู่ตรงหน้า คนรับประโยชน์จากงานคือประเทศชาติ คือประชาชน 

จะได้เลิกประสาท มองทุกอย่างเป็นละครมีพระเอกนางเอก ฝ่ายธรรมะอธรรม ผู้ร้าย ตัวโกง พ่อมดแม่มด รักกันเลิกกัน พ่อแง่แม่งอน บ้าบ้าบอบอ แล้วนั่งโกรธเกรี้ยวกรีดร้องฟูมฟาย ตีอกชกหัวอยู่หน้าจอ

ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ แค่คนทำงาน
ทำงาน เจอปัญหา แก้ปัญหา ทำงานต่อ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top