ความเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษในบางประเทศที่เลือกโดย EF English Proficiency Index 2024
ความสามารถทางภาษาอังกฤษ ในบางประเทศที่เลือก โดย EF English Proficiency Index 2024

ความสามารถทางภาษาอังกฤษ ในบางประเทศที่เลือก โดย EF English Proficiency Index 2024
รถไฟฟ้าความเร็วสูง!! ประเทศไหน ระยะทางยาวไกลที่สุด
(9 ม.ค. 68) สำหรับใครที่ติดตามข่าวเศรษฐกิจการลงทุนในช่วงนี้ ก็คงจะเห็นข่าวเกี่ยวกับการเก็บภาษี Global Minimum Tax ที่เพิ่งประกาศใช้เมื่อต้นปีที่ผ่านมากันเต็มไปหมด ซึ่งหลังการประกาศใช้ก็ทำให้มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นหลายบริษัทที่ได้รับผลกระทบ แล้วใครคือคนที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์ในเรื่องนี้ และ Global Minimum Tax คืออะไร เราไปรู้จักกันค่ะ
Global Minimum Tax (ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก) คือกฎที่กำหนดให้ บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต้องจ่ายภาษีในอัตราขั้นต่ำ 15% ของกำไร ไม่ว่าจะไปตั้งอยู่ที่ประเทศไหนก็ตาม โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกบริษัทจ่ายภาษีอย่างยุติธรรม และลดปัญหาการย้ายกำไรไปยังประเทศที่เก็บภาษีต่ำ (Tax Havens) เพื่อหลบเลี่ยงภาษี
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่ละประเทศทั่วโลกก็อยากดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศ มาตรการที่นิยมใช้ คือการให้สิทธิทาง ‘ภาษี’ ที่ดีที่สุด ยิ่งประเทศไหนได้ลดกระหน่ำภาษีได้มากสุดบริษัทต่างชาติก็จะพิจารณาลงทุนในประเทศนั้นๆ เพราะบริษัทข้ามชาติส่วนใหญ่ ต่างมีการวางแผน และใช้สารพัดวิธีในการลดภาระภาษีของตนเอง ให้ได้มากที่สุด เพราะเมื่อมีภาระทางภาษีที่ลดลง ก็สามารถตั้งราคาสินค้าและบริการ ที่ต่ำกว่าได้ บริษัทเล็กๆก็แข่งขันยาก เพราะต้นทุนสู้ไม่ได้
ไทยเราก่อนจะประกาศใช้กฏหมายนี้ ก็มีการจัดเก็บอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่อัตรา 20% อยู่แล้ว และยังมีการสนับสนุนในส่วนนี้เพิ่มเติมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทำให้หลายบริษัทได้รับการลดหย่อนมากขึ้นและจ่ายจริงๆ ไม่ถึง 15%
ดังนั้นวัตถุประสงค์หลักของ Global Minimum Tax (ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก)
1. ป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี: ลดการย้ายกำไรไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ (Tax Havens)
2. สร้างความเป็นธรรมทางภาษี: ให้ทุกบริษัทจ่ายภาษีในอัตราที่ใกล้เคียงกัน
3. เพิ่มรายได้ให้รัฐบาลทั่วโลก: สร้างรายได้จากภาษีที่สูญเสียไปจากการหลีกเลี่ยงภาษี
แล้วคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ก็คงหนีไม่พ้น
• บริษัทข้ามชาติที่มีรายได้เกิน 750 ล้านยูโรต่อปี
• ประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ (Tax Havens)
ส่วนประโยชน์ของ Global Minimum Tax ก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
✅ ลดการแข่งขันทางภาษีระหว่างประเทศ
✅ เพิ่มความโปร่งใสในการเสียภาษี
✅ รัฐบาลมีรายได้มากขึ้นเพื่อนำไปใช้ในโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการสังคม
และในด้านความท้าทายและอุปสรรคที่จะพบก็จะประกอบไปด้วย
❌ ความซับซ้อนในการบังคับใช้
❌ การต่อต้านจากบางประเทศที่ใช้ภาษีต่ำดึงดูดการลงทุน
❌ ความเสี่ยงในการเพิ่มภาระให้กับบริษัท
โดยสรุปก็คือ Global Minimum Tax เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมทางภาษีระดับโลก โดยมุ่งหวังลดการหลีกเลี่ยงภาษี และเพิ่มรายได้ให้กับประเทศต่าง ๆ แม้จะยังมีความท้าทายในการบังคับใช้อยู่ค่ะ
เปิด 30 อันดับ ประเทศที่เก็บสำรอง ‘ทองคำ’ มากที่สุดในโลก ในปี 2024 ประเทศไทยอยู่อันดับที่เท่าไหร่ ไปส่องกันเลย
(6 ม.ค. 68) น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า การติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งทั่วประเทศ จำนวน 210 จุด ซึ่งครอบคลุมพื้นที่การใช้ประโยชน์ตามมาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล 6 ประเภท ผลการประเมินดัชนีคุณภาพน้ำทะเล (Marine Water Quality Index ; MWQI) ปี 2567 มีคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งอยู่ในเกณฑ์ดี ร้อยละ 49 เกณฑ์พอใช้ ร้อยละ 43 เกณฑ์เสื่อมโทรม ร้อยละ 6 และมีเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก ร้อยละ 2
น.ส.ปรีญาพร กล่าวว่า แหล่งน้ำทะเลที่มีคุณภาพน้ำทะเลดีที่สุด 10 ลำดับแรก ได้แก่
1. หาดสมิหลา จ.สงขลา
2. หาดในหาน จ.ภูเก็ต
3. หาดต้นไทร จ.กระบี่
4. อ่าวมาหยา จ.กระบี่
5. อ่าวโล๊ะซามะ จ.กระบี่
6. เกาะยูง จ.กระบี่
7. เกาะไก่ จ.กระบี่
8. หาดท้ายเหมือง จ.พังงา
9. หาดบางเบน จ.ระนอง
10. บ้านทุ่งริ้น จ.สตูล
ส่วนแหล่งน้ำทะเลที่มีคุณภาพน้ำทะเลเสื่อมโทรมมากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ 1. ปากแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ 2. โรงงานฟอกย้อม กม. 35 จ. สมุทรปราการ 3. ปากคลอง 12 ธันวา จ.สมุทรปราการ 4. แหลมฉบัง ตอนใต้ จ.ชลบุรี และ 5. ปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร
ขอบคุณที่เป็นกำแพงเหล็ก ให้ผมพิงในการทำงาน!!
‘พีระพันธุ์’ อวยพรคนไทย ให้มีความสุข สมหวัง สำเร็จ ในปี 2568 ย้ำ!! ยังคงเดินหน้า เรื่องพลังงาน เพื่อประโยชน์ ของชาติบ้านเมือง
เมื่อวานนี้ (4 ม.ค. 68) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...
ในวารดิถีขึ้นปีใหม่ 2568 นี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่พี่น้องประชาชนแต่ละท่านเคารพนับถือ โปรดดลบันดาลและอำนวยพรให้ทุกท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุข ความสมหวัง และความสำเร็จในทุกสิ่งที่มุ่งหวัง ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เดินทางไปไหนก็ขอให้คลาดแคล้วจากอุบัติเหตุอันตราย ใครที่ประสบความสำเร็จในปี 2567 อยู่แล้ว ก็ขอให้ประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไปในปี 2568 ใครที่ยังไปไม่ถึงฟากฝั่งในปี 2567 ก็ขอให้ไปให้ถึงเป้าหมายในปีใหม่ 2568 นี้ ขอให้ทุกท่านมีพลังกายและพลังใจที่เข้มแข็ง ชนะอุปสรรคได้ทั้งปวง พบแต่สิ่งดีๆ และคนดีๆ ตลอดปี 2568 และตลอดไปครับ
สำหรับผม ปี 2567 ที่เพิ่งผ่านไป ถือเป็นปีที่เหนื่อยมาก เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลาที่หมดไปอย่างรวดเร็วในแต่ละวันโดยแทบไม่มีการหยุดพัก แต่อย่างน้อยผมก็ทำสำเร็จเกือบ 100% ตามที่บอกไว้ครับ
1. ตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่หน่วยละ 4.18 บาท และคงค่าไฟฟ้าสำหรับกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกินเดือนละ 300 หน่วย ไว้ที่ราคาหน่วยละ 3.99 บาท มาได้ตลอดทั้งปี 2567 สำหรับปี2568 ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 ค่าไฟฟ้าก็จะอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท ทั้งนี้ ด้วยการสนับสนุนของท่านนายกฯ เศรษฐาและท่านนายกฯ แพทองธาร
2.ร่างกฎหมายกำกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังตรวจแก้ไขต้นร่างเกือบเสร็จแล้ว รออีกนิดนะครับ กฎหมายนี้จะมีกติกาที่ไม่ให้ปรับราคาน้ำมันขึ้นลงรายวัน มีระบบพิสูจน์ต้นทุน และยกเลิกการอ้างอิงราคาน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์ โดยนำระบบต้นทุนบวกค่าใช้จ่ายจริงที่เรียกว่าระบบ COST PLUS มาใช้แทน ที่สำคัญคือ จะให้มีน้ำมันเพื่อเกษตรกร และชาวประมงในราคาที่ถูกลง และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่งและองค์กรสาธารณกุศลสามารถนำน้ำมันเข้ามาใช้ได้เอง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนลงได้มาก และยังจะเปิดโอกาสให้รัฐสามารถจัดให้มีน้ำมันเพื่อผู้มีรายได้น้อยด้วย
3. กฎหมายฉบับที่สองที่ทำเสร็จแล้ว คือกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์รูฟ ซึ่งจะพังทลายกฎเกณฑ์กติกาเดิมๆ ที่ทำให้การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นเรื่องยุ่งยากและล่าช้า ผมยกเลิกการขออนุญาตทุกรูปแบบโดยเปลี่ยนมาเป็นการติดตั้งได้ทันทีตามกฎเกณฑ์ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เมื่อติดตั้งแล้วก็ใช้ระบบแจ้งให้ทราบ จากนั้นแต่ละหน่วยงานก็จะไปตรวจสอบเอง หากมีสิ่งใดต้องแก้ไขก็ว่ากันไป ไม่ต้องเสียเวลารอการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ไม่กี่คน ขณะที่คนทั้งประเทศต้องรอกันทั้งชาติ กฎหมายนี้จะเสนอในนามของรัฐบาลด้วย แต่ขั้นตอนช้า ต้องดำเนินการอีกหลายอย่าง ผมเลยให้เสนอเข้าสภาฯ ในนามของพรรครวมไทยสร้างชาติก่อน ซึ่งดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ครับ
สำหรับปี 2568 นี้ สิ่งที่ผมวางเป้าหมายไว้เป็นเรื่องแรกเลย คือ จะร่างกฎหมายสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง หรือStrategic Petroleum reserve (SPR) ที่จะนำมาใช้แทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและสร้างความมั่นคงให้ประเทศ ซึ่งจะทำต่อจากกฎหมายกำกับกิจการค้าน้ำมัน ไม่น่าเชื่อว่าประเทศเราไม่เคยมีสำรองน้ำมันของประเทศเลย ที่มีอยู่ก็เป็นการสำรองของภาคเอกชนเพื่อประโยชน์ทางการค้าเป็นหลักตามกฎหมายการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น และเก็บสำรองเพียงประมาณ 20-25 วัน แต่หลักเกณฑ์ของการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคงของประเทศต้องไม่ใช่เพื่อการค้าแต่เพื่อประโยชน์ของชาติ และต้องมีสำรองขั้นต่ำ 90 วัน โดยผมจะนำระบบนี้มาใช้แทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะเปลี่ยนการเก็บเงินจากการซื้อขายน้ำมันที่ไล่เก็บจากประชาชนไปเข้ากองทุนน้ำมัน เป็นระบบเก็บเป็นน้ำมันจากผู้ค้าน้ำมันแทน ระบบนี้จะทำให้ราคาน้ำมันลดลงทันทีอย่างน้อย 2.50 บาท ถึง 4 บาทกว่าๆ แล้วแต่ประเภทของน้ำมันเพราะไม่มีการเก็บเงินส่วนนี้จากประชาชนอีก แล้วใช้น้ำมันในส่วนนี้ไปชดเชยราคาน้ำมันให้ผู้ค้าน้ำมันแทนเงินที่เก็บจากประชาชน
ส่วนเรื่องค่าไฟฟ้าจะต่อยอดจากกฎหมายส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อช่วยประชาชนให้ลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าลงนั้น ผมกำลังดำเนินการให้กระทรวงพลังงานผลิตอุปกรณ์ที่เป็นอุปกรณ์หลักในการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เรียกว่าเครื่อง Invertor ที่มีราคาแพงประมาณเครื่องละ 30,000-40,000 บาท โดยน่าจะผลิตได้ในราคาเพียง 1 ใน 3 ของราคาในท้องตลาดเท่านั้น ตอนนี้เครื่องต้นแบบผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่งจากสถาบัน สวทช. แล้ว และกำลังรอทดสอบอีกสองขั้นตอน เมื่อผ่านหมดก็จะเริ่มเข้าสู่แผนการผลิตจำหน่ายให้ประชาชนในราคาถูกที่สุด และจะหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อให้ประชาชนสามารถหักค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากภาระภาษีเงินได้ประจำปีด้วย อีกทั้งยังกำลังดำเนินการหาแนวทางให้กองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในสังกัดกระทรวงพลังงานสามารถสนับสนุนเงินทุนหรืออย่างใดอย่างหนึ่งให้ประชาชนด้วย
ผมเชื่อว่าผลงานของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานตั้งแต่ปลายปี 2567 ต่อยอดไปถึงปี 2568 จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชนได้ตามนโยบายรัฐบาลและตามที่ท่านนายกฯแพทองธารประกาศไว้ และจะช่วยทำให้ประเทศมีความมั่นคงด้านพลังงานมากขึ้นด้วย
สุดท้าย ผมเคยพูดไว้ว่า สิ่งที่ผมทำเพื่อพี่น้องประชาชนจะมีคนที่เคยได้ประโยชน์กันมากว่า 50 ปีเป็นอย่างน้อยต้องเสียประโยชน์ ผมรู้ว่าผมจะต้องโดนวิชามารกระหน่ำแบบไหน แต่ผมไม่กลัวและผมจะทำให้ได้ ขอเพียงพี่น้องประชาชนช่วยเป็นกำแพงให้ผมพิงเท่านั้นก็พอ ความสำเร็จของการทำงานเพื่อประชาชนเริ่มทยอยปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่ปลายปี 2567 ตามที่ผมวางเป้าหมายไว้ และเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงสองสามเดือนก่อนสิ้นปี 2567 ผมถูกกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าสื่อบางกลุ่มรุมกระหน่ำปั้นข่าวทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อมีข่าวเปิดตัวพรรคใหม่ทุนหนา ก็มีบัญชีอวตารเปิดใหม่พรึ่บเพื่อใช้ถล่มผมแบบไม่ยั้งมือ แต่ผมไม่เคยหวั่นไหวและจะทำในสิ่งที่ต้องทำเสมอครับ
พอเห็นว่ากลยุทธ์แบบเดิมทำท่าจะเล่นงานไม่ไหว ก็ไปปั้นข่าวว่าผมขัดแย้งกับนายกฯบ้างขัดแย้งกับพรรคแกนนำรัฐบาลบ้าง ทั้งๆ ที่ผมและทั้งนายกฯ แพทองธารและอดีตนายกฯ เศรษฐาไม่เคยมีอะไรขัดแย้งกันเลย แถมทั้งสองท่านก็สนับสนุนการทำงานของผมตลอดมา เพราะเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลทั้งสิ้น ผลงานเรื่องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานก็สำเร็จด้วยดีเพราะการสนับสนุนทั้งสองท่าน ล่าสุดที่ท่านนายกฯ แพทองธารประกาศว่าจะทำลายทุนผูกขาด ท่านก็พูดจริง ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา ท่านนายกฯ ติดภารกิจด่วนก็มอบให้ผมเป็นประธานการประชุมแทน และกำชับให้ผมขอมติคณะกรรมการ กพช. ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องประมูลไฟฟ้าพลังงานสะอาดด้วย โดยมีท่านเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นผู้ประสานงานและติดตามงานตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ใครจะปั้นข่าวอะไรผมไม่สนใจ ผมสนใจแต่การทำงานและประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเท่านั้นครับ
อย่างไรก็ตาม ผมขอขอบคุณอีกครั้ง สำหรับทุกกำลังใจที่มีให้ผมและพรรครวมไทยสร้างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ และขอบคุณที่เป็นกำแพงเหล็กให้ผมพิงในการทำงาน และในปี 2568 นี้ ผมจะทำงานให้หนักขึ้นเพื่อความสำเร็จและประโยชน์ชาติบ้านเมืองครับ
คนทั่วโลก ให้ความสนใจข่าวไหน บุคคลใดอยู่ในกระแส หนังเรื่องไหนฮอต เพลงอะไรฮิต ไปส่องกันได้เลย
‘อาร์โนลต์’ เจ้าของ LVMH ความมั่งคั่งอันดับ 5 ของโลก!!
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากสถิติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 ธันวาคม 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 35,441,648 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 สร้างรายได้ 1,668,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวนทั้งปี 2567 อยู่ที่ 35 ล้านคน ตอกย้ำการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดยมีอานิสงส์จากมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) และยกเว้นบัตร ตม.6 สำหรับด่านชายแดนทางบก การเปิดเส้นทางบินใหม่ของสายการบิน เพิ่มความถี่เที่ยวบิน และความจุที่นั่งสายการบินทั้งจากตลาดระยะใกล้และไกลรับนักท่องเที่ยวช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ทำให้ในปี 2568 ตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อยู่ที่ 40 ล้านคน สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.98–2.23 ล้านล้านบาท มากที่สุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากปี 2562 ที่มีต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 39.5 ล้านคน
“การท่องเที่ยวไทยปี 2568 จะก้าวเข้าสู่ปีแห่งอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แกรนด์ ทัวริซึม แอนด์ สปอร์ต เยียร์ 2568 มุ่งเน้นในการขยายตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งตลาดระยะใกล้และไกล ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นฮับท่องเที่ยวในภูมิภาค ต่อเนื่องจากปี 2567 ที่มีปัจจัยหนุนจากการจัดงานเทศกาลและอีเวนต์ต่างๆ ในประเทศไทย อาทิ เทศกาลเย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges การจัดคอนเสิร์ต แฟนมีตติ้งของศิลปินไทยและต่างชาติ และการท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์ สถานที่ถ่ายทำเอ็มวีและภาพยนตร์ไทย รวมถึงงานเคานต์ดาวน์ส่งท้ายปี ที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย และขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจเฉพาะ นักท่องเที่ยวคุณภาพทั้งในตลาดระยะใกล้และไกล” นางสาวฐาปนีย์ กล่าว
นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำนิวไฮ หรือจุดสูงสุดใหม่ เมื่อเทียบกับปี 2562 อาทิ อินเดีย 2,100,645 คน มาเลเซีย 4,898,496 คน ไต้หวัน 1,077,050 คน รัสเซีย 1,705,198 คน ซาอุดีอาระเบีย 226,094 คน อิตาลี 259,443 คน สเปน 205,914 คน โปแลนด์ 175,674 คน และตุรกี 102,680 คน
นอกจากนี้ ในภาพรวมของนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกลยังมีแนวโน้มที่จะสร้างนิวไฮ โดยเฉพาะจากตลาดตะวันออกกลางที่มีกำลังซื้อสูง ความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 ที่ผ่านมา เกิดจากมาตรการอำนวยความสะดวกในการเข้าประเทศไทยของรัฐบาล
รวม 12 บุคคลแห่งปี 2024 ที่ THE STATES TIMES อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”