Tuesday, 5 November 2024
NEWS FEED

7 มาตราการ เปิดเรียนอย่างปลอดภัย

กระทรวงสาธารณสุข กำหนดรูปแบบการเรียนการสอนในโรงเรียนตามมาตรการ Sandbox ในโรงเรียน : Sandbox Safety Zone in School ซึ่งจะเป็นแนวทางให้โรงเรียนที่มีความพร้อมเปิดเรียนได้ตามปกติ โดยเพิ่ม 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา (โรงเรียนไป - กลับ) เพื่อให้เกิดความปลอดภัยเมื่อเข้า - ออกโรงเรียน

1.) สถานศึกษาประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop Service Plus และรายงานการติดตามประเมินผล

2.) ทำกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble (เน้นกลุ่มเล็ก)

3.) จัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลและหลักโภชนาการ

4.) จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน

5.) จัดให้มี School Isolation แผนเผชิญเหตุ และซักซ้อมอย่างเคร่งครัดหากพบผู้ติดเชื้อ

6.) ควบคุมดูแลการเดินทางไปกลับของนักเรียน เช่น รถส่วนบุคคล รถโดยสารสาธารณะ

7.) จัดให้มี School Pass สำหรับนักเรียน ครูและบุคลากรในสถานศึกษา ประกอบด้วย ผลการตรวจ ATK ภายใน 7 วัน หรือประวัติการรับวัคซีน

อย่างไรก็ตาม จะต้องประเมินความเสี่ยงตามสถานการณ์การระบาดในแต่ละพื้นที่ที่โรงเรียนตั้งอยู่ และต้องได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัดหรือกรุงเทพมหานครก่อนที่จะเปิดเรียน

นายกรัฐมนตรี เผย ภาพรวมปริมาณน้ำอยู่ในระดับ ทรงตัว ไม่น่าเป็นห่วง เหมือนปี 2554 พร้อมย้ำรัฐบาลเตรียมแผนเผชิญเหตุ รับมือสถานการณ์น้ำอย่างเป็นระบบ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ว่า หลังได้ลงพื้นที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ โดยเฉพาะที่มาจากภาคเหนือ และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคกลางของประเทศ รวมถึง กทม. ซึ่งได้รับข้อมูลว่าปัจจัยสำคัญของปริมาณน้ำในช่วงนี้มาจากพายุ 2 ลูก ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ส่งผลกระทบในบางพื้นที่ แต่ในภาพรวมปริมาณน้ำอยู่ในระดับ "ทรงตัว" แล้ว และจากการประเมินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานการณ์น้ำในปีนี้ "ไม่น่าเป็นห่วง" เหมือนปี 2554 แต่อย่างไรก็ตาม ตนได้สั่งการให้มีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องจนหมดหน้าฝน โดยให้หน่วยงาน เตรียมพร้อมรับสถานการณ์จุดเสี่ยงต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ตามแผนเผชิญเหตุ โดยคำนึงเสมอว่านอกจากระบายน้ำลงทะเลเพื่อป้องกันน้ำท่วมแล้ว ยังต้องคำนวณการเก็บกักน้ำไว้ใช้หน้าแล้งด้วย

พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรี ยืนยันด้วยว่า รัฐบาลมีแผนการรับมือสถานการณ์น้ำอย่างเป็นระบบ ในแต่ละลุ่มน้ำ แต่ละภูมิภาค ในช่วงมรสุมของทุก ๆ ปี ตั้งแต่ระบบติดตามระดับน้ำ พร้อมทั้งพยากรณ์ปริมาณน้ำล่วงหน้า ซึ่งจะกำหนดเกณฑ์ปลอดภัย เกณฑ์ตัดสินใจเพิ่มการระบายน้ำในแต่ละจุด แต่ละพื้นที่ โดยคำนวณผลกระทบล่วงหน้า การเตรียมพื้นที่รองรับน้ำ มีหน่วยงาน/ผู้รับผิดชอบตามระดับผลกระทบ มีอนุกรรมการและคณะกรรมการกำกับดูแล มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้งแผนเผชิญเหตุแยกเป็นพื้นที่และเป็นภาพรวม ระบบและช่องทางสื่อสารแจ้งเตือนภัย และการตระเตรียมพื้นที่อพยพและพื้นที่ปลอดภัย เป็นต้น

ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบความแข็งแรงโครงสร้างเขื่อน-ประตูน้ำ ขุดลอกคูคลองสาขา จัดระเบียบที่อยู่อาศัยชุมชนที่รุกล้ำลำคลองสาธารณะ และกำจัดผักตบชวาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 19 จังหวัด ภาคกลางและตะวันออก รวมกำจัดผักตบชวากว่า 5 ล้านตัน

หลักการสำคัญที่รัฐบาลเน้นย้ำมาตลอดคือ การแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำอย่างยั่งยืน โดยมีการจัดทำแผนบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน การปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก การบริหารจัดการพื้นที่รับน้ำนองและพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำหลากสายใหม่ ทั้งคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ที่จะแล้วเสร็จในปี 2566 คลองระบายน้ำหลากชัยนาท-ป่าสัก-อ่าวไทย (เพื่อรองรับน้ำท่วมที่รอบปี 50 ปี) และคลองระบายน้ำควบคู่กับถนวงแหวนรอบที่ 3 (เพื่อรองรับน้ำท่วมที่รอบปี 100 ปี) ทั้งนี้เป้าหมายหลัก นอกจากเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของประเทศด้วย

ตนจึงขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการที่รัฐบาลได้วางแผนไว้แล้ว และขอความร่วมมือในการอุปโภคบริโภคอย่างสมดุล พื้นที่เพาะปลูกก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับทรัพยากรน้ำ และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตามนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ด้วย ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะเข้าไปส่งเสริมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำของประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้เกษียณอายุราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดจัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ที่เกษียณ อายุราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในวันพฤหัสบดี ที่ 16 ก.ย. 2564 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีฯ

สำหรับพิธีดังกล่าวฯ จัดขึ้นเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติแก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เสียสละทั้งแรงกายและแรงใจ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่พี่น้องประชาชนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่อยมาจนครบเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ มีข้าราชการตำรวจที่จะเข้ารับประกาศเกียรติคุณ ทั้งสิ้นจำนวน 32 นาย

โดยเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่

1. พล.ต.อ. มนู  เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

2. พล.ต.อ. ชนสิษฎ์  วัฒนวรางกูร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

3. พล.ต.อ.ณัฐธร  เพราะสุนทร ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

4. พล.ต.อ. วิรุฬ  เอี่ยมไพจิตร์ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

5. พล.ต.อ. เพิ่มพูน  ชิดชอบ  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

6. พล.ต.อ. อดิศร์  งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

7. พล.ต.อ. จารุวัฒน์  ไวศยะ  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

8. พล.ต.อ. พงษ์วุฒิ  พงษ์ศรี  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

9. พล.ต.อ. กิตติพงษ์  เงามุข  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

10. พล.ต.อ. สุรพล  อยู่นุช  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ยึดหลักการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด  จึงสั่งการให้หน่วยต่างๆ ในสังกัด กำหนดให้มีการจัดพิธีฯแก่ข้าราชการตำรวจผู้ที่เกษียณอายุราชการ ณ ที่ตั้งของแต่ละหน่วยงาน  พร้อมทั้งได้เน้นย้ำถึงการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และกำชับการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดของทางราชการ และมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอขอบคุณที่กรุณาเผยแพร่ข่าวสาร

'หมอธีระ' วอนชะลอเปิดท่องเที่ยว-เปิดประเทศ ชี้!! ไทยยังไม่พร้อม หวั่นเชื้อลามหนักอีก

วันที่ 16 กรกฎาคม  2564 รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า สถานการณ์ทั่วโลก 16 กันยายน 2564 ทะลุ 227 ล้านไปแล้ว

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 537,933 คน รวมแล้วตอนนี้ 227,190,094 คน ตายเพิ่มอีก 9,761 คน ยอดตายรวม 4,671,892 คน

5 อันดับแรกที่มีจำนวนติดเชื้อต่อวันสูงสุดคือ อเมริกา สหราชอาณาจักร อินเดีย ตุรกี และอิหร่าน

อเมริกา ติดเชื้อเพิ่ม 149,288 คน รวม 42,457,468 คน ตายเพิ่ม 2,106 คน ยอดเสียชีวิตรวม 684,800 คน อัตราตาย 1.6%

อินเดีย ติดเพิ่ม 30,361 คน รวม 33,345,873 คน ตายเพิ่ม 432 คน ยอดเสียชีวิตรวม 443,960 คน อัตราตาย 1.3%

บราซิล ติดเพิ่ม 14,780 คน รวม 21,034,610 คน ตายเพิ่ม 750 คน ยอดเสียชีวิตรวม 588,597 คน อัตราตาย 2.8%

สหราชอาณาจักร ติดเพิ่ม 30,597 คน ยอดรวม 7,312,683 คน ตายเพิ่ม 201 คน ยอดเสียชีวิตรวม 134,647 คน อัตราตาย 1.9%

รัสเซีย ติดเพิ่ม 18,841 คน รวม 7,194,926 คน ตายเพิ่ม 792 คน ยอดเสียชีวิตรวม 195,041 คน อัตราตาย 2.7%

อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิหร่าน อาร์เจนตินา และโคลอมเบีย ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่น

หากรวมทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ พบว่ามีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 93.31 ของจำนวนติดเชื้อใหม่ทั้งหมดต่อวัน

แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลักร้อยถึงหลักพัน

แถบตะวันออกกลางส่วนใหญ่ยังติดเพิ่มหลักร้อยถึงหลักพัน ยกเว้นอิหร่านติดเพิ่มหลักหมื่นอย่างต่อเนื่อง

ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม ติดเพิ่มกันหลักหมื่น

ส่วนญี่ปุ่น เมียนมาร์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และเกาหลีใต้ ติดกันหลักพัน กัมพูชา และลาว ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนจีน และนิวซีแลนด์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่ฮ่องกง และไต้หวัน ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

สถานการณ์ไทยเรา

เมื่อวานจำนวนติดเชื้อใหม่ที่รายงานนั้นยังคงสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก

แต่หากรวม ATK ด้วย ก็จะขยับแซงบราซิล ขึ้นเป็นอันดับ 9 ของโลก

ถ้าดูเฉพาะในเอเชีย จำนวนติดเชื้อใหม่ของเราเป็นอันดับ 6

ผลลัพธ์ของนโยบายกล่องทรายและ 7+7

พื้นที่ท่องเที่ยวทั้งภูเก็ต กระบี่ และสุราษฎร์ รวมถึงใกล้เคียง เช่น นครศรีธรรมราช ล้วนกำลังเผชิญกับการระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้น

การประเมินผลนโยบายนั้น ไม่ควรทำให้ประชาชนเข้าใจผิดด้วยการนำเสนอเฉพาะจำนวนเคสติดเชื้อที่ตรวจพบจากการเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศเท่านั้น

ขอเน้นย้ำตามหลักวิชาการอีกครั้ง ดัง ๆ ชัด ๆ ว่า นโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยว รวมถึงการเปิดประเทศในจังหวัดต่าง ๆ ที่วางแผนกันมานั้น จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการระบาดหนักตามมา ด้วยปัจจัยเสี่ยง 2 ประการ

หนึ่ง “การที่คนที่เดินทางจากต่างประเทศอาจนำเชื้อเข้ามาในพื้นที่ได้”

การมีกฎระเบียบให้ตรวจคัดกรองโรคมาก่อนเดินทางนั้น ช่วยลดความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง

การกักตัว และตรวจซ้ำระหว่างกักตัวตามมาตรฐาน 14 วัน ก็จะลดความเสี่ยงได้อีกระดับหนึ่ง

ส่วนการฉีดวัคซีนครบโดสมาก่อนเดินทางนั้น คนที่ฉีดวัคซีนมาแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อระหว่างช่วงการเดินทาง ระหว่างพำนักในพื้นที่ และแพร่ให้กับผู้อื่นได้

แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญกว่าอันแรกคือ

สอง “นโยบายเปิดท่องเที่ยวและเปิดประเทศ จะทำให้มีจำนวนคนหมุนเวียนมากขึ้นในพื้นที่ กิจการ กิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น มีการพบปะติดต่อกัน ค้าขาย บริการ ใกล้ชิดกัน ใช้เวลาร่วมกันนานมากขึ้น” นี่คือปัจจัยเสี่ยงหลักที่เกิดขึ้นจากนโยบาย และส่งผลให้เกิดการแพร่เชื้อติดเชื้อในพื้นที่มากขึ้น เพราะมีการติดเชื้อในชุมชนอยู่

ปัจจัยเสี่ยงทั้งสองประการนั้นคือ ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากนโยบาย

และผลลัพธ์คือ จำนวนการติดเชื้อแต่ละพื้นที่ที่สูงขึ้น โดยมักจะเห็นได้ชัดตั้งแต่ 6-8 สัปดาห์เป็นต้นไป

การประเมินผลนโยบายดังกล่าว จึงต้องไม่ประเมินและรายงานให้เข้าใจเพียงว่า มีจำนวนการติดเชื้อจากคนเดินทางมาจากต่างประเทศ แต่ต้องดูจำนวนติดเชื้อทั้งหมดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ เพราะเป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งสองเรื่อง

นี่คือสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการ และควรบอกกล่าวเล่าแจ้งให้ประชาชนได้ทราบ เพื่อให้เกิดตรรกะ การใช้เหตุผล ยืนบนหลักการ และใคร่ครวญทบทวน วางแผนจัดการชีวิตและจัดการปัญหาในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง

แต่ละพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายข้างต้น หน่วยงานและประชาชนก็คงต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำ ชั่งใจให้ดีว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมานั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ และหากดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จะเกิดผลกระทบระยะยาวต่อชีวิต และแหล่งพำนักพักพิง/ที่ทำมาหากิน ของตนเองและลูกหลานอย่างไรบ้าง

ทั้งนี้ขอให้ตระหนักว่า หากการระบาดภายในประเทศยังมีความรุนแรง กระจายไปทั่ว ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากนโยบายเปิดท่องเที่ยว และเปิดประเทศนั้น ย่อมจะทำให้การระบาดในแต่ละพื้นที่รุนแรงขึ้น และเร็วขึ้นแน่นอน

ผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกจากการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น จำนวนคนป่วยมากขึ้น จำนวนคนตายมากขึ้นแล้ว ย่อมส่งผลต่อการเกิดสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ในประเทศซึ่งอาจดื้อต่อยา ต่อวัคซีนที่มี และเกิดผลกระทบต่อเนื่องย้อนเป็นโดมิโน่

ยิ่งไปกว่านั้น ก็ย่อมส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด

และหากเกิดขึ้นในอนาคต โอกาสที่ประชาชนส่วนใหญ่จะยืนระยะสู้กับโรค คงจะลำบากมาก เพราะเราสู้กันมานาน แต่ไม่ตัดวงจรระบาด ทรัพยากรที่มีย่อมลดลงหรือหมดไป

ปัญหาสังคม เช่น อาชญากรรม และความไม่สงบสุขในบ้านเมือง ก็ย่อมตามมาได้

เหล่านี้คือสิ่งที่รัฐควรใคร่ครวญให้ดี เรียนรู้บทเรียนจากกล่องทรายที่เห็นประจักษ์ชัด

ควรใช้เวลาไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จัดหาวัคซีนที่ดี มีประสิทธิภาพ ให้แก่ประชาชนอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่

หากรีบเปิดประเทศ เปิดท่องเที่ยว มองตาไหนบนกระดาน ก็ไม่เห็นตาเดินแห่งชัยชนะ

สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ปลอดภัยต่อการเปิดท่องเที่ยว และเปิดประเทศครับ

ชะลอเถิดครับ

ด้วยรักและห่วงใย

กระแสแรงไม่ตก ตามรอยลิซ่า 'ลูกชิ้นยืนกิน' ยอดขายทะลุหมื่นต่อวัน

พ่อค้าแม่ค้าขายลูกชิ้นยืนกิน จ.บุรีรัมย์ ต่างยิ้มหน้าบาน แค่ชั่วข้ามคืน กระแส ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ทำยอดขายพุ่งวันละเป็นหมื่น จากยอดขายหลักร้อยจากพิษโควิด พ่อค้าแม่ค้าเชิญชวน ‘ลิซ่า’ กินฟรีแทนคำขอบคุณ ขณะที่เหล่าแฟนคลับทั้งในและนอกจังหวัด ไม่พลาดลิ้มลอง ‘ลูกชิ้น-น้ำจิ้ม’ รสเด็ด ตามรอยไอดอล 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ หรือ น.ส.ลลิษา มโนบาล ศิลปินดังระดับโลก ได้ปล่อยโซโล่เดียว MV เพลง LALISA จนมีคนเข้าไปดูมากกว่าร้อยล้านวิว ทั้งยังได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับรายการหนึ่งของไทยว่า ถ้าได้กลับมาบ้านเกิด จ.บุรีรัมย์ สิ่งแรกที่อยากรับประทานคือ ‘ลูกชิ้นยืนกินสูตรน้ำจิ้มพริกเผา’ ซึ่งเป็นอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้เหล่าบรรดาแฟนคลับและประชาชนทั่วไป อยากจะรับประทานลูกชิ้นยืนกินตามรอยลิซ่ากันเลยทีเดียว

บางคนถึงขั้นลงทุนเดินทางมากินถึง จ.บุรีรัมย์ อีกทั้งยังสร้างปรากฏการณ์มีออเดอร์สั่งซื้อผ่านออนไลน์ถล่มทลาย ถึงวันละ 300-400 ชุด ในราคาชุดละ 60-100 บาท จนทำให้บางร้านถึงขั้นแพ็กส่งลูกค้ากันแทบไม่ทัน บางร้านถึงขั้นต้องหยุดทอดขายหน้าร้านชั่วคราว เพื่อแพ็กส่งตามออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งผ่านออนไลน์ ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าที่ขายลูกชิ้นยืนกิน บริเวณสถานีรถไฟบุรีรัมย์มียอดขายวันละมากกว่า 10,000 บาท จากก่อนหน้านี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดระบาด ขายได้เพียงวันละหลักร้อยบาทเท่านั้น

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ขอขอบคุณลิซ่า ที่ทำให้ลูกชิ้นยืนกินกลับมาขายดิบขายดีอีกครั้ง หลังจากที่ซบเซาเพราะพิษโควิดมาเป็นปี ถึงขั้นประกาศเชิญชวนให้ลิซ่า มารับประทานลูกชิ้นยืนกินแบบฟรี ๆ ร้านไหนก็ได้ที่ลิซ่าชอบ เพื่อแทนคำขอบคุณที่ไม่ลืมอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านเกิด

ด้าน น.ส.อรุณศรี กำเนิดกลาง เจ้าของร้านลูกชิ้น ‘ยายภา’ และ น.ส.รักชนก มณีวรรณ เจ้าของร้านลูกชิ้น ‘เจ้นกกอก’ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังจากมีกระแสของลิซ่า ก็ทำให้ลูกชิ้นยืนกินขายดีเป็นประวัติการณ์ แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะมีออเดอร์สั่งผ่านออนไลน์เข้ามาอย่างต่อเนื่องวันละ 300-400 ชุด ตลอดเกือบสัปดาห์แล้ว จนบางวันแพ็กส่งกันแทบไม่ทัน ส่งผลให้ยอดขายพุ่งเพียงชั่วข้ามคืน จากช่วงโควิดขายได้วันละไม่กี่ร้อยบาท แต่พอมีกระแสลิซ่า ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่นบาท พ่อค้าแม่ค้าต่างดีใจและขอขอบคุณน้องลิซ่ามาก เพื่อแทนคำขอบคุณจึงขอเชิญชวนให้น้องลิซ่า มาทานลูกชิ้นยืนกินฟรีเลย ร้านไหนก็ได้ เพราะตอนนี้เกือบทุกร้าน ก็ทำน้ำจิ้มสูตรพริกเผาเหมือนที่น้องอยากกินแล้ว

ขณะที่ น.ส.ถนอมวรรณ สินธุรัตน์ ลูกค้าคนหนึ่ง เปิดเผยว่า ตนอยู่ จ.บุรีรัมย์ พอมีกระแสลิซ่าก็มีเพื่อนจากกรุงเทพฯ และคนรู้จักที่ จ.ชัยภูมิ และภาคใต้ โทรศัพท์มาสอบถามและฝากซื้อให้ช่วยส่งไปให้หลายคน เพราะอยากจะกินตามรอยกระแสลิซ่า สำหรับตนซึ่งเป็นคนบุรีรัมย์ก็มาทานบ่อย ส่วนมากก็จะยืนกินที่ร้านเพราะได้อรรถรสมากกว่า แต่ช่วงโควิดเขามีนโยบายห้ามยืนกินก็จะซื้อไปกินที่บ้านแทน ก็อยากจะเชิญชวนให้มาลองลิ้มรสลูกชิ้นยืนกินของ จ.บุรีรัมย์ ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งลูกชิ้นที่นุ่มอร่อยและน้ำจิ้มรสเด็ด รับรองว่าถ้าได้มาลองทานแล้วจะติดใจ

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัด ด้วยคำพูดเดียว

ทั้งนี้ หลังจากลิซ่า BLACKPINK ให้สัมภาษณ์ว่า อยากกินลูกชิ้นยืนกิน ก็ทำเอาแม่ค้าปลื้ม ขายดิบขายดี จนล่าสุด สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดบุรีรัมย์ การรถไฟแห่งประเทศไทย สาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ แจงร่วมจัดเทศกาลลูกชิ้นยืนกิน 2021 ช่วง 17-23 ก.ย. 64 นี้!


ที่มา : https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2194745

เกษตรฯ สำรวจพื้นที่เกษตรน้ำท่วม แจกพืชพันธุ์ลดผลกระทบ

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการเกษตร เฝ้าสังเกตการณ์ พร้อมลงพื้นที่สำรวจพื้นที่เกษตรที่ได้รับผลกระทบหลังน้ำลดโดยเร็ว รวมทั้งให้จัดเตรียมขยายพืชพันธุ์ดีกว่า 4.5 ล้านต้น และเมล็ดพันธุ์อีก 6 แสนซอง เพื่อให้เพียงพอและพร้อมแจกจ่ายแก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากร่องมรสุมพาดผ่านหลายพื้นที่ในประเทศไทย รวมทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะจังหวัดมุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ รวมทั้งในบางพื้นที่ยังคงมีฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก จนทำให้พื้นที่เกษตรอาจได้รับความเสียหาย

'ญี่ปุ่น' พบสิ่งแปลกปลอมในขวดวัคซีน 'ไฟเซอร์' เร่งบริษัทผู้ผลิตตรวจสอบด่วน

สำนักข่าวเกียวโดนิวส์รายงานอ้างรัฐบาลท้องถิ่นเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (14 ก.ย.) พบสิ่งแปลกปลอมในขวดวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ 5 ขวดที่ยังไม่ได้ใช้งาน ใน 2 เมืองใกล้กรุงโตเกียว และอีกเมืองในจังหวัดโอซากา และได้ร้องขอให้ทางไฟเซอร์วิเคราะห์สารดังกล่าวแล้ว

รายงานข่าวของเกียวโดนิวส์ อ้างเจ้าหน้าที่ของเมืองซางามิฮาระ และเมืองคามาคุระ ในจังหวัดคางากาวะ และเจ้าหน้าที่เมืองซากาอิ ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ระบุว่า วัคซีนที่พบสิ่งแปลกปลอมสีขาวลอยอยู่ในขวดนั้นมาจากล็อตเดียวกันคือ FF5357

ทั้ง 3 เมืองได้ร้องขอให้ไฟเซอร์วิเคราะห์สิ่งแปลกปลอมดังกล่าวแล้ว

เจ้าหน้าที่พบวัคซีนปนเปื้อนในศูนย์ฉีดวัคซีน 3 แห่งในซางามิฮาระ ระหว่างวันเสาร์ (11 ก.ย.) จนถึงวันอังคาร (14 ก.ย.) 1 แห่งในคามาคุระในวันอาทิตย์ (12 ก.ย.) และ 1 แห่งในซากาอิ ในวันอังคาร (14 ก.ย.)

เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 เมืองยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ใช้วัคซีนที่ปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอม แต่ยังคงเดินหน้าฉีดวัคซีนขวดอื่น ๆ ที่มาจากล็อตเดียวกัน ที่ผ่านการยืนยันแล้วว่าไม่ปนเปื้อน

เมื่อเดือนที่แล้ว กระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นเพิ่งระงับใช้วัคซีนโควิด-19 ของโมเดอร์นา อิงค์ ราว ๆ 1.63 ล้านโดส ส่วนหนึ่งในมาตรการป้องกันไว้ก่อน หลังพบสารแปลกปลอมในขวดวัคซีนหลายขวด


(ที่มา: เกียวโดนิวส์)
https://mgronline.com/around/detail/9640000091759

เอาอยู่ “บิ๊กตู่”โพสต์ย้ำเตรียมแผนเผชิญเหตุ รับมือสถานการณ์น้ำอย่างเป็นระบบ “ยัน”สถานการณ์น้ำปีนี้ไม่น่าเป็นห่วง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า วานนี้ (15 ก.ย.) ได้ลงพื้นที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ โดยเฉพาะที่มาจากภาคเหนือ และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคกลางของประเทศ รวมถึง กทม. ซึ่งตนได้รับข้อมูลว่าปัจจัยสำคัญของปริมาณน้ำในช่วงนี้มาจากพายุ 2 ลูก ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ส่งผลกระทบในบางพื้นที่ แต่ในภาพรวมปริมาณน้ำอยู่ในระดับทรงตัวแล้ว และจากการประเมินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานการณ์น้ำในปีนี้ไม่น่าเป็นห่วงเหมือนปี 2554 อย่างไรก็ตาม ก็ได้สั่งการให้มีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องจนหมดหน้าฝน โดยให้หน่วยงานต่างๆ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์จุดเสี่ยงต่างๆ อย่างเต็มที่ ตามแผนเผชิญเหตุ โดยคำนึงเสมอว่านอกจากระบายน้ำลงทะเลเพื่อป้องกันน้ำท่วมแล้ว ยังต้องคำนวณการเก็บกักน้ำไว้ใช้หน้าแล้งด้วย

“ผมขอเรียนว่า รัฐบาลมีแผนการรับมือสถานการณ์น้ำอย่างเป็นระบบ ในแต่ละลุ่มน้ำ แต่ละภูมิภาค ในช่วงมรสุมของทุกๆ ปี ตั้งแต่ระบบติดตามระดับน้ำ พร้อมทั้งพยากรณ์ปริมาณน้ำล่วงหน้า ซึ่งจะกำหนดเกณฑ์ปลอดภัย เกณฑ์ตัดสินใจเพิ่มการระบายน้ำในแต่ละจุด แต่ละพื้นที่ โดยคำนวณผลกระทบล่วงหน้า การเตรียมพื้นที่รองรับน้ำ มีหน่วยงาน ผู้รับผิดชอบตามระดับผลกระทบ มีอนุกรรมการและคณะกรรมการกำกับดูแล มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้งแผนเผชิญเหตุแยกเป็นพื้นที่และเป็นภาพรวม ระบบและช่องทางสื่อสารแจ้งเตือนภัย และการตระเตรียมพื้นที่อพยพและพื้นที่ปลอดภัย เป็นต้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบความแข็งแรงโครงสร้างเขื่อน-ประตูน้ำ ขุดลอกคูคลองสาขา จัดระเบียบที่อยู่อาศัยชุมชนที่รุกล้ำลำคลองสาธารณะ และกำจัดผักตบชวาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 19 จังหวัด ภาคกลางและตะวันออก รวมกำจัดผักตบชวากว่า 5 ล้านตัน ทั้งนี้ หลักการสำคัญที่รัฐบาลเน้นย้ำมาตลอดคือ การแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำอย่างยั่งยืน โดยมีการจัดทำแผนบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน  การปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก การบริหารจัดการพื้นที่รับน้ำนองและพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำหลากสายใหม่ ทั้งคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ที่จะแล้วเสร็จในปี 2566 คลองระบายน้ำหลากชัยนาท-ป่าสัก-อ่าวไทย (เพื่อรองรับน้ำท่วมที่รอบปี 50 ปี) และคลองระบายน้ำควบคู่กับถนนนวงแหวนรอบที่ 3 (เพื่อรองรับน้ำท่วมที่รอบปี 100 ปี) ทั้งนี้เป้าหมายหลัก นอกจากเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของประเทศด้วย

“ผมขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการที่รัฐบาลได้วางแผนไว้แล้ว และขอความร่วมมือในการอุปโภคบริโภคอย่างสมดุล พื้นที่เพาะปลูกก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับทรัพยากรน้ำ และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตามนโยบายตลาดนำการผลิตด้วย ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะเข้าไปส่งเสริมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำของประเทศ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

'เอเวอร์แกรนด์’ อาจเป็น 'เลห์แมน บราเธอร์ส' ของจีน หลังส่อผิดนัดชำระหนี้ ลุกลามซับไพรม์ครั้งใหม่

'เอเวอร์แกรนด์' (Evergrande) ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์จีน ส่อผิดนัดชำระหนี้ จุดชนวนวิกฤตซับไพรม์ระลอกใหม่แห่งเอเชีย (วิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพ) 

เอเวอร์แกรนด์ หรือ 'ไชน่าเอเวอร์แกรนด์' เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลกเลยก็ว่าได้ โดยมีนักธุรกิจวัย 62 ปี อย่าง 'ซูเจี้ยอิน' (Xu Jiayin) ที่ได้รับการจัดอันดับความรวยจากฟอร์บส์เป็นลำดับที่ 31 ของโลก และอันดับ 5 ในประเทศจีนกุมบังเหียนอยู่

โดยบริษัทแห่งนี้ มีการดำเนินธุรกิจโครงการมากกว่า 1,300 โครงการ ในกว่า 280 เมือง เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศจีนและติดอันดับหนึ่งใน 150 บริษัท ชั้นนำของโลกเมื่อพิจารณาจากรายได้ จากข้อมูลของ Fortune 500 บริษัทมีพนักงานมากกว่า 123,000 คน และมีรายได้รวม 7.35 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2020

>> แต่ดูเหมือนตอนนี้ ภาพคู่ขนานของการเติบโตนั้น ค่อย ๆ หลุดออกมาให้เห็นว่า ล้วนเกิดขึ้นจากการขยายตัวจากการ 'ก่อหนี้' ทั้งสิ้น!!

ที่น่ากังวล คือ หนี้เหล่านี้จะได้รับการชำระตามนัดหรือไม่? เพราะข่าวการประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานเอเวอร์แกรนด์เรียลเอสเตทกรุ๊ป (Evergrande Real Estate Group) ของ Xu Jia Yin เมื่อวันอังคารที่ 17 สิงหาคม 64 สะท้อนถึงการสละเรือได้ชัด

สภาพของ เอเวอร์แกรนด์ ในขณะนี้ อยู่ในสภาพเอกชนที่มีเป็นหนี้สินมากที่สุดในโลก หลังมีการไล่ซื้อกิจการต่าง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และหากยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์แห่งนี้ผิดนัดชำระหนี้และก่อให้เกิดความเสี่ยงในวงกว้างต่อระบบการเงินของจีน

โดยหนี้สินของกลุ่มบริษัทที่ถูกประเมินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีหนี้สินรวมเพิ่มขึ้นราว 3.56 แสนล้านดอลลาร์ คิดเป็น 1.97 ล้านล้านหยวน (ราว 10 ล้านล้านบาท)

>> เอเวอร์แกรนด์ ทำธุรกิจอะไรบ้าง?

ในขณะที่กิจการส่วนใหญ่ของเอเวอร์แกรนด์เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทได้เริ่มดำเนินการกระจายความเสี่ยงทั้งหมดไปยังกิจการนอกกลุ่ม ตั้งแต่ การเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลกว่างโจว เอฟซี (เดิมคือกวางโจว เอเวอร์แกรนด์)

การเข้าไปในอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม มีทั้งกิจการน้ำแร่และอาหารที่กำลังเฟื่องฟูด้วยแบรนด์ Evergrande Spring

การสร้างสวนสนุกสำหรับเด็ก ซึ่ง 'มโหฬาร' กว่าของค่ายคู่แข่งอย่าง 'ดิสนีย์'

นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนในภาคการท่องเที่ยว ดิจิทัล อินเทอร์เน็ต ธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ และกิจการประกันภัย รวมทั้งลงทุนกิจการรถยนต์ไฟฟ้า (Evergrande Auto) ในปี 2019 (ทั้งที่ไม่ได้เคยทำการตลาดยานพาหนะใด ๆ เลย)

....แล้วการล้มของเอเวอร์แกรนด์จะมีนัยยะสำคัญกับเศรษฐกิจจีนและเชื่อมโยงกับตลาดโลกบ้าง? 

ก่อนหน้านี้บรรดานักวิเคราะห์ในปักกิ่ง ได้ตั้งฉายาเรียกกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีหนี้สินและความเสี่ยงทางการเงินมหาศาล แต่ผู้รับผิดชอบมองไม่เห็นสัญญาณ หรือเห็นแต่คิดว่าไม่สำคัญ ว่าเป็น 'แรดสีเทา' และ 'ไชน่า เอเวอร์แกรนด์' เคยถูกพูดถึงหลายครั้งว่าเป็น 'แรดสีเทาตัวยักษ์ของจีน'

เพราะวิกฤตหนี้สินทั่วโลกของ เอเวอร์แกรนด์ ที่มีมากกว่า 3.56 แสนล้านดอลลาร์นั้น กำลังจะทำให้มูลค่าพันธบัตร ที่บริษัทปั้นออกมาในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นพันธบัตรขยะที่นักลงทุนเพียงไม่กี่รายต้องการถือในตอนนี้

ฮิลลาร์ด แม็คเบธ ผู้เขียน When the Bubble Bursts ได้โพสต์ไว้ในบล็อกของ Richardson Wealth ว่า "ปัจจุบันพันธบัตรเอเวอร์แกรนด์ ที่จะครบกำหนดในปี 2568 นั้น มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 40 เซนต์ ซึ่งหมายความว่า มีโอกาสน้อยมากที่เอเวอร์แกรนด์จะสามารถชำระหนี้ครั้งนี้ได้”

สถานการณ์ของเอเวอร์แกรนด์เริ่มไม่สู้ดีและถูกฟ้องร้องชำระหนี้มาต่อเนื่อง ล่าสุดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 'ธนาคาร ไชน่ากวงฝ่า' (China Guangfa Bank Co) ชนะคดีอายัดเงินฝากของเอเวอร์แกรนด์ได้ราว 20 ล้านดอลลาร์ แต่นั่นเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรหนี้สินของเอเวอร์แกรนด์

ไม่กี่วันต่อมา ซัพพลายเออร์ของเอเวอร์แกรนด์ พากันเริ่มฟ้องร้องคดีเบี้ยวหนี้ ซึ่งรวมถึง Huaibei Mining Holdings Co ที่ฟ้องเรียกหนี้ค้างชำระจากเอเวอร์แกรนด์ 84 ล้านดอลลาร์ ฯลฯ

นอกจากนี้ สำนักงานที่ดิน เมืองหลานโจวยังได้เปิดเผยต่อสาธารณชนว่าเอเวอร์แกรนด์ ก็ค้างหนี้เช่นกัน

>> เลห์แมน บราเธอร์ส ของจีน!! 

สรุปโดยภาพรวมแล้ว มีโอกาสสูงที่ ไชน่าเอเวอร์แกรนด์ จะมีสภาพเหมือน 'เลห์แมน บราเธอร์ส' (Lehman Brother) วาณิชธนกิจระดับโลกที่ได้ประกาศล้มละลายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ก่อวิกฤตซับไพร์ม (15 ก.ย. 2008) จนส่งผลกระทบไปทั่วโลก หลังขาดทุนมหาศาลจากการลงทุนในสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ 

บรรดานักวิเคราะห์มองว่า มีสาเหตุที่คล้าย ๆ กันเกิดขึ้นกับ เอเวอร์แกรนด์ คือ การกู้มาลงทุน ซึ่งเป็นการเติบโตด้วยหนี้ล้วน ๆ โดยทุกอย่างเริ่มต้นในช่วงเวลาตลาดขาขึ้น ความโลภเริ่มเข้าครอบงำ 

การขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ขาดความระมัดระวังต่อแผนการลงทุน ประมาทไปว่าช่วงแรกคือช่วงที่อะไร ๆ ก็ดูดีไปหมด จนเมื่อขาดทุน ขาดสภาพคล่อง เงินสดยังแทบไม่มี 

ฉะนั้นการเติบโตอย่างบ้าคลั่งด้วยหนี้จำนวนมากนี้ ทำให้ เอเวอร์แกรนด์ กลายเป็น 'อาคารที่โยกเยก' ใต้หนี้ 3 แสนล้านเหรียญ ที่พร้อมเป็นหนี้ขยะใต้ดินให้กับคู่สัญญาจีน (และทั่วโลก/อาจรวมถึงตลาดคริปโทเคอร์เรนซี)

...และว่ากันว่าหนี้มหาศาลเช่นนี้ คงมีแต่รัฐบาลจีนเท่านั้น ที่สามารถอุ้มมันได้!! 

จากปัญหาหนี้สินของเอเวอร์แกรนด์และโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูง ได้ทำให้สถานะของบริษัทถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือเป็น 'CC' จาก 'CCC+' จากหน่วยงานจัดอันดับอย่างฟิทช์ เมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา


ที่มา: https://mgronline.com/china/detail/9640000091442

“บิ๊กตู่-คณะทำงาน-ทีม รปภ." ตรวจ หาเชื้อโควิดตามวงรอบ ไม่พบเชื้อโควิด19 หลังพบผู้สื่อข่าวทำเนียบฯติดเชื้อ ขณะที่ ปลัด กลาโหม ,ผบ.ทอ ,ผบ.ทร.คนใหม่ รุดเข้าขอบคุณแต่เช้าหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวเช้าวันเดียวกันนี้ (16 ก.ย.)ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่า นายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าปฎิบัติหน้าที่ บนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยช่วงเช้า พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ว่าที่ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ และพลโท สันติพงษ์ ธรรมปิยะ ว่าที่ เสนาธิการทหารบก นำคณะ เข้าพบนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เพื่อขอบคุณภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งใหม่

ทั้งนี้ มีรายงานจากทำเนียยรัฐบาลด้วยว่า  ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะทำงาน  ทีมรักษาความปลอดภัย ข้าราชการ พนักงาน ภายในตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ได้ทำการตรวจการเชื้อโควิด 19 โดยชุดตรวจ Antigen Test Kit หรือ ATK ตามวงรอบ ซึ่งปรากฎว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ คณะทำงาน ทีมรักษาภาความปลอดภัย พนักงานที่ทำงานใกล้ชิด ไม่มีใครติดเชื้อโควิด 19 ภายหลังต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้สื่อข่าวที่เข้าไปปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลติดเชื้อโควิด 19 อีกทั้งวานนี้ (15 ก.ย.) ระหว่างที่ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำในเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อเตรียมรับน้ำเหนือหลากและวางแผนป้องกันพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง พล.อ.ประยุทธ์ มีอาการไอและจามระหว่างให้สัมภาษณ์

สำหรับภารกิจของนายกรัฐมนตรี วันนี้ เวลา 09.30 น.  เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2564 (ผ่านระบบ Video Conference) ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลและเวลา 14.00 น. เป็นประธานการประชุมร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และกลุ่มศิลปิน เพื่อหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือจากผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านระบบ Video Conferenceจากห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top