Monday, 10 February 2025
NEWS FEED

ยินดีกับปรมาจารย์หุ่นยนต์ ตั๊กม้อแห่งฟีโบ้ ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ผลิต!! ‘ลูกศิษย์’ มารับใช้ประเทศชาติ ‘ครบรอบ 30 ปี’

(9 ก.พ. 68) ในวโรกาส FIBO ครบ 30 ปี ยินดีกับปรมาจารย์หุ่นยนต์ ตั๊กม้อแห่งฟีโบ้ ดร.ชิต เหล่าวัฒนา  ผู้ก่อตั้งสถาบันหุ่นยนต์ แห่งมจธ.และแห่งแรกของประเทศไทย ผลิตลูกศิษย์มารับใช้ประเทศชาติครบรอบ 30 ปีในปีนี้ ได้สร้างชื่อเสียง และความภาคภูมิใจต่อมจธ.เป็นอย่างสูงยิ่ง ความยากลำบากในอดีตที่เจ้าสำนักผู้ก่อตั้งได้แบกไว้ ได้ส่งต่อความสำเร็จให้กับเจ้าสำนักคนใหม่แล้ว แต่ยังคงเป็นปรมาจารย์ต่อสำนักแห่งนี้สืบไปไม่มีวันสิ้นสุด และส่งผลบุญต่อผู้ก่อตั้งนำมาซึ่งความปิติและความภาคภูมิใจในความสำเร็จนี้ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมสร้างสำนักฟีโบ้(อาคาร)อดปลื้มใจด้วยไม่ได้ และมองเห็นความเติบใหญ่ของสำนักฟีโบ้ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ขึ้นไปอีก ด้วยเกิดจากความรู้ ความสามารถ ความสำนึกดี ความตั้งใจดีของผู้เริ่มก่อตั้ง ดร.ชิต เหล่าวัฒนา มจธ.20 นับจากวันนั้นที่ตัดสินใจกลับมาก่อตั้งสำนักฟีโบ้แห่งนี้

‘ม.กรุงเทพ’ ตั้งคณะกรรมการพิจารณาโทษ ตามข้อบังคับทางวินัยของมหาวิทยาลัย พร้อมยกเลิก!! การเพิกถอนรายวิชา ให้นักศึกษาผู้เสียหายเรียนได้ตามปกติ

(9 ก.พ. 68) ‘มหาวิทยาลัยกรุงเทพ’ ออกแถลงการณ์ กรณีนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ถูกทำร้ายร่างกาย

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณชน กรณีนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ถูกทำร้ายร่างกาย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา จนได้รับบาดเจ็บ 

มหาวิทยาลัยกรุงเทพขอแสดงความห่วงใยต่อผู้ได้รับผลกระทบ และขอย้ำจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ รวมทั้งถือว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการละเมิดวินัยนักศึกษาอย่างร้ายแรง 

มหาวิทยาลัย ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยทันทีที่ทราบเรื่อง และได้ทราบตัวผู้ก่อเหตุ พร้อมเก็บรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องทุกกรณี ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการปกครอง เพื่อดำเนินการสอบสวนและพิจารณาโทษตามระเบียบข้อบังคับทางวินัยของมหาวิทยาลัย ควบคู่ไปกับการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษตามกฎหมาย

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการดูแลและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ จึงได้ ดำเนินมาตรการเยียวยาเร่งด่วน ดังนี้

- ยกเลิกการเพิกถอนรายวิชา เพื่อให้นักศึกษาผู้ถูกกระทำสามารถเรียนได้ตามปกติ
- ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่นักศึกษาและผู้ปกครอง พร้อมประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใกล้ชิด
- ให้การรักษาพยาบาลโดยทีมแพทย์และพยาบาลของมหาวิทยาลัย และจัดเตรียมจิตแพทย์/ นักจิตวิทยา เพื่อดูแลสภาพจิตใจในกรณีที่นักศึกษาต้องการคำปรึกษา

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการทั้งหมดด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยและความเป็นธรรมภายในสถาบัน พร้อมทั้งยืนหยัดต่อต้านความรุนแรงในทุกรูปแบบ

‘ชัชชาติ’ แจง!! ป้ายรถเมล์โฉมใหม่ หลังละ ‘2.3 แสน - 3.2 แสน’ เป็นราคากลาง ชี้!! ไม่ได้ทำกันง่ายๆ วีลแชร์ต้องผ่านได้ คนใช้ทางเท้า ต้องเดินสะดวก กันแดดกันฝน

(9 ก.พ. 68) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ชี้แจงกรณีการก่อสร้างศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทางโฉมใหม่ ที่วิจารณ์ว่าค่าก่อสร้างสูงเกินความเป็นจริง ว่า กทม. มีที่หยุดรถประจำทาง 5,601 แห่ง แต่มีศาลาที่พักผู้โดยสารเพียง 2,520 แห่ง คงเหลือเต็นท์ชั่วคราวกว่า 3,000 แห่ง จึงมีความจำเป็นต้องก่อสร้างเพิ่มเติม โดยไม่ได้รื้อศาลาที่มีอยู่เดิม โดยการก่อสร้างต้องรื้อฟุตปาธออก เชื่อมต่อสาธารณูปโภคใต้ดิน เดินสายไฟเพิ่ม และก่อสร้างเฉพาะเวลากลางคืน เพื่อไม่ให้กีดขวางการสัญจร

โดยประเด็นค่าก่อสร้างราคาแพง นายชัชชาติ กล่าวว่า เป็นราคากลาง สามารถตรวจสอบได้ และทำตามระเบียบขั้นตอนของทางราชการ ชี้แจงได้ว่าก่อสร้างอย่างไร ฐานรากเท่าไหร่ มีการประกาศขึ้นเว็บไซต์ให้ผู้เข้าร่วมประมูลแข่งขัน ระหว่างขั้นตอนการจัดทำทีโออาร์ก็ไม่มีผู้ใดร้องเรียน แม้จะเปิดกว้างแต่ไม่ค่อยมีใครมาประมูล เพราะเป็นงานยาก พื้นที่อยู่กระจัดกระจายห่างกัน ซึ่ง กทม.ไม่ได้ปิดกั้น ผู้ประกอบการรายใดที่เคยทำงานก่อสร้างมูลค่าประมาณหลักล้านบาท ไม่ว่าเป็นของส่วนราชการหรือเอกชน ก็สามารถประมูลเข้ามาได้ ตอนนี้ก็เพิ่งทำไปได้ไม่กี่แห่ง ถ้าใครบอกว่าทำราคาได้ถูกกว่าแล้วก็เชิญเลย 6-7 หมื่นบาทก็ดีเลย ช่วยประหยัดได้อีก ตนยิ่งดีใจ เชิญมาร่วมประมูลได้เลย

ขณะที่ประเด็นความสวยงาม นายชัชชาติ กล่าวว่า ศาลาที่พักผู้โดยสารไม่ได้ทำได้ง่าย ต้องไม่เป็นพื้นที่ปิดล้อม วีลแชร์ต้องผ่านได้ คนใช้ทางเท้าเดินสะดวก กันแดดกันฝนได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถปิดกั้นด้านข้างได้ เพราะต้องให้วีลแชร์ผ่านได้ ถ้าความสวยงามก็ยังดีกว่าในจุดเดิมที่ไม่มีร่มเงา หรือเป็นเต็นท์ การออกแบบเกิดจากห้องทดลองเมือง (CITY LAB) มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช มาช่วยออกแบบ มีการจัดทำใน 2 รูปแบบ คือ Type M มี 3 ที่นั่ง และ Type L มี 6 ที่นั่ง ปรับใช้ตามความเหมาะสมของขนาดพื้นที่ เน้นประโยชน์ใช้สอย ไม่บดบังอาคารพาณิชย์ ซึ่งป้ายรถเมล์ทั่วประเทศ ก็พยายามออกแบบมาให้เรียบง่ายที่สุด อย่างไรก็ตาม ยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกคน สามารถแนะนำเรื่องการออกแบบมาได้

ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมไม่ให้เอกชนก่อสร้าง นายชัชชาติ กล่าวว่า หลายปีก่อนหน้านี้มีเอกชนมาทำให้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฟรี บริษัทเอกชนมาช่วยปรับปรุงป้ายรถเมล์ที่มีอยู่เดิม 350 แห่ง และช่วยบำรุงรักษา 341 แห่ง รวม 691 แห่ง ซึ่งเป็นการปรับปรุงดูแล ไม่ได้เป็นการสร้างเพิ่มขึ้นมาใหม่ เอกชนมาทำให้ แต่แลกกับการใช้พื้นทางเท้าติดตั้งป้ายโฆษณารูปแบบป้ายสี่เหลี่ยม (แท่งไอติม) จำนวน 1,170 ป้ายทั่ว กทม. เป็นระยะเวลา 10 ปี ที่บอกว่าทำไมไม่ให้เอกชนทำฟรี ก็ต้องแลกกันกับการติดป้ายโฆษณา เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเก่าแล้ว ไม่อยากพูดอะไร มันมีที่มาที่ไป ถามว่าจะอยากแค่ให้ไปติดป้ายโฆษณาเพิ่ม ตนก็ไม่อยากให้ติดเพิ่ม เพราะจะดูเลอะเทอะมากขึ้นไปอีก

"ถ้าคนที่บอกว่าราคาแพงไป ก็มาช่วยกันทำราคาให้ถูกลงยิ่งดีเลย เราไม่ได้ปิดกั้นอะไร แล้วตอนที่เราให้ทำ ประชาพิจารณ์ก็เสนอแนะมาได้เลย แต่ทุกอย่างก็ได้ทำตามระเบียบอยู่แล้ว ศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สาธารณะ จะต้องมีความแข็งแรงมั่นคง ถ้าเกิดมันล้มทับคนมันก็มีความผิด มันมีเรื่องปัจจัยเสี่ยงในการทำงาน สุดท้ายนี้ขอขอบคุณที่ช่วยกันแนะนำเข้ามา เพราะฉะนั้นอย่างที่บอกแล้ว ป้ายรถเมล์ทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร มีทั้งหมดอยู่ 5,601 แห่ง เป็นป้ายที่เป็นศาลาที่พักฯเพียง 2,520 แห่ง เอกชนรับไปดูแลปรับปรุง 350 แห่ง ไม่ได้สร้างใหม่ ป้ายที่เป็นเต็นท์ชั่วคราว 3,000 แห่ง เราไม่ได้รื้อของเก่าออกไป แต่เราสร้างขึ้นใหม่ ส่วนเรื่องป้ายโกโรโกโส อยู่ที่คนมอง แต่ละคนอาจจะมองไม่เหมือนกัน อาจจะเทียบกับแบบเก่าแบบใหม่ แต่เชื่อว่ามันก็ดีกว่าไม่มี แล้วก็อย่างที่บอกว่าเราไปออกแบบให้มันปิดกั้นไม่ได้ บางทีวีลแชร์ต้องผ่าน ที่นั่งแล้วก็ทำเป็นที่ที่ยาวไม่ได้ เพราะว่าเราก็กลัวคนจะมานอน ก็ต้องทำเป็นที่นั่ง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้กันทั่วโลก ทั้งหมดนี้เราก็ชี้แจงให้รับทราบถึงการปรับปรุงศาลาที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง" นายชัชชาติ กล่าว

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ก่อนหน้านี้ สำนักการจราจรและขนส่ง กทม. ได้ติดตั้งศาลาที่พักผู้โดยสารรูปแบบใหม่ มี 2 รูปแบบ คือ Type M ขนาด 2.3 x 3 เมตร มีจำนวน 3 ที่นั่ง และ Type L ขนาด 2.3 x 6 เมตร มีจำนวน 6 ที่นั่ง โดยในปีงบประมาณ 2566 ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ 30 หลัง ปีงบประมาณ 2567 ก่อสร้างแล้วเสร็จ 60 หลัง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 29 หลัง และปีงบประมาณ 2568 ได้รับงบประมาณในการก่อสร้าง 300 หลัง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ กลายเป็นที่วิจารณ์ว่าแม้จะดูดีแต่ใช้ประโยชน์หลบแดดหลบฝนไม่ได้ ไม่เหมาะกับภูมิอากาศประเทศไทย สู้ศาลาริมทางแบบเดิมไม่ได้ อีกทั้งที่นั่งมีจำนวนน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับคนรอรถเมล์เยอะ

ทำให้นายสิทธิพร สมคิดสรรพ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง กทม. เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กทม. ได้ดำเนินการ 2 รูปแบบ คือ Type M แบบ 3 ที่นั่ง ราคาประมาณหลังละ 230,000 บาท และ Type L แบบ 6 ที่นั่ง ราคาประมาณหลังละ 320,000 บาท งบประมาณที่ใช้ดำเนินการก่อสร้างครอบคลุมงานรื้อย้ายระบบสาธารณูปโภค งานฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก งานเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็ก งานหลังคา Metal sheet งานรางน้ำ งานม้านั่ง งานระบบไฟฟ้าแสงสว่างภายใน และงานบรรจบไฟฟ้าสาธารณะกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เป็นต้น ราคาค่าก่อสร้างศาลารถโดยสารรูปแบบใหม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเมื่อประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ราคาจึงต่ำลงอีก

นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทุกกลุ่มทั้งผู้รอรถโดยสาธารณะและผู้ใช้งานทางเท้า ด้วยแนวคิด ‘ศาลารอรถเมล์ใหม่สำหรับทุกคน’ จึงออกแบบใหม่รองรับการใช้งานของผู้พิการ (Universal Design) มีความมั่นคงแข็งแรง สามารถบังแดดบังฝนด้วยหลังคาขนาดใหญ่และแผ่นอะคริลิกใสด้านหลัง มีพื้นที่นั่งคอยเหมาะสม สวยงามกลมกลืน ไม่บดบังทัศนียภาพ ไม่สร้างจุดอับสายตา ที่สำคัญ คำนึงถึงการประหยัดพื้นที่ทางเท้า ไม่กีดขวางทางเดิน กระทบผู้ใช้งานทางเท้า การก่อสร้างแต่ละจุดจึงจำเป็นต้องรัดกุมเกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภคใต้ดินและแนวหน้าร้านของเอกชน ซึ่งล้วนมีรายละเอียดและข้อจำกัดที่แตกต่างกันและต้องใส่ใจอย่างมาก

“รถโดยสารสาธารณะเป็นรูปแบบการเดินทางหลักของคนกรุงเทพมหานคร รวมถึงผู้มีรายได้น้อยและนักเรียน-นักศึกษา ปัจจุบันมีการใช้งานมากกว่า 7-9 แสนเที่ยวต่อวัน การพัฒนาศาลารอรถเมล์เป็นหนึ่งในหัวใจในการดึงดูดให้ประชาชนใช้รถโดยสารสาธารณะ ควบคู่การเพิ่มป้ายหยุดรถโดยสารในจุดที่ขาด และการบอกข้อมูลการเดินทางและระยะเวลารอรถโดยสาร ซึ่งอยู่ระหว่างการขอข้อมูล GPS รถโดยสารสาธารณะจากกรมการขนส่งทางบกอีกด้วย” นายสิทธิพร กล่าว

เปิดคำพิพากษา จำคุก 2 ปี ‘ดร.พิรงรอง’ อดีตกรรมการ กสทช. ผิด!! ‘อาญา 157’ ฐานรายงานประชุมเท็จ ทำเอกชนเสียหาย

(9 ก.พ. 68) เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง’ ได้มีคำพิพากษาในคดีสำคัญ ซึ่งถือเป็นกรณีตัวอย่างในการยกระดับมาตรฐานของคณะกรรมการกำกับดูแล หรือ Regulator ของประเทศไทย ในการใช้อำนาจทางกฎหมายอย่างระมัดระวัง โดยจะต้องดำเนินการตามหลักความโปร่งใส ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตใจ หลีกเลี่ยงผลประโยชน์ที่ทับซ้อน 

โดย ‘ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง’ ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ ‘บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด’ เป็นโจทก์ ฟ้อง!! ‘นางสาวพิรงรอง รามสูต’ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ในฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 

การกระทำของ ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต อดีตกรรมการ กสทช. ในการออกหนังสือแจ้งไปยังผู้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ ทำให้ผู้ได้รับอนุญาตเข้าใจว่า โจทก์เป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้รับอนุญาตอาจระงับเนื้อหารายการต่าง ๆ ที่บริษัทส่งไปออกอากาศ ส่อแสดงเจตนากลั่นแกล้งให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหาย 

โดยศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่สั่งการให้ส่งหนังสือไปยังผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ 127 ราย เพื่อชะลอหรือขยายระยะเวลาเข้าทำนิติกรรมกับโจทก์นั้น เป็นการกระทำโดยมิชอบ ไม่ผ่านมติที่ประชุม  และมีการแก้ไขรายงานการประชุมเพื่อปกปิดความจริง  รวมถึงการใช้ถ้อยคำที่สื่อความหมายถึงการต้องการให้ธุรกิจของโจทก์ได้รับความเสียหาย เช่น  ‘ต้องเตรียมตัวจะล้มยักษ์’ ซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่า คำว่า ‘ยักษ์’ นั้นหมายความถึงโจทก์ ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการสื่อความหมายชัดเจนว่า ประสงค์ให้กิจการของโจทก์ได้รับความเสียหาย ศาลจึงเห็นว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์

ประเด็นสำคัญที่ศาลได้ยกขึ้นพิจารณาก็คือ ‘กสทช.’ ไม่เคยกำหนดให้ผู้ให้บริการแอปพลิเคชันประเภท ‘โอทีที’ ต้องขอใบอนุญาต  และการกระทำของจำเลยถือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด  ส่งผลให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จากการที่ผู้ประกอบการหลายรายชะลอการทำนิติกรรมกับโจทก์

คำตัดสินของศาล

พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ โดยมีเจตนามุ่งประสงค์กลั่นแกล้งโจทก์ และใช้อำนาจหน้าที่ของตนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย 

เพราะภายหลังจากมีหนังสือดังกล่าวแจ้งไปยังผู้ประกอบการรวม 127 รายแล้ว มีผู้ประกอบกิจการหลายรายได้ชะลอหรือขยายระยะเวลา ในการเข้าทำนิติกรรมกับโจทก์ 

เมื่อศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของ ‘จำเลย’ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของ ‘โจทก์’ ได้  

ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่า ศ.ดร. พิรงรอง รามสูต อดีตกรรมการ กสทช. ได้กระทำความผิดจริงตามที่โจทก์ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด (ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน True ID) ได้ยื่นฟ้อง 

จึงได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก จำเลย ‘นางสาวพิรงรอง’ เป็นเวลา 2 ปี ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 

นอกจากนี้ศาลได้อนุญาตให้ประกันตัวด้วยวงเงิน 120,000 บาท และมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

คดีนี้ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ ในการใช้อำนาจของทางภาครัฐ ผิดก็ว่ากันไปตามผิด ถูกก็ว่ากันไปตามถูก พิจารณากันอย่างเป็นธรรม    

ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย!! 

‘ผบช.ไซเบอร์’ เผยเตรียมปิดตาย!! FiveM หลังทาง Rockstar Game ให้ความร่วมมือ พบมี!! ‘เซิร์ฟเวอร์’ หลายแห่ง สนับสนุนความรุนแรงออนไลน์ กิจกรรมผิดกฎหมาย

(8 ก.พ. 68) ที่กองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท.พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าว เตรียมปิดตาย FiveM ซึ่งทาง Rockstar Game รับลูกไม่ร่วมสนับสนุนความรุนแรง หลัง บช.สอท. ส่งคำร้องไปขอความร่วมมือกับ Take-Two Interactive Software, Inc. บริษัทแม่ของ Rockstar Game และ FiveM ให้พิจารณาปิดกั้นเนื้อหาที่มีความรุนแรงเกินขอบเขตและการล่วงละเมิดในเกมออนไลน์ โดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่ใน Grand Theft Auto V (GTA V) และใน FiveM ซึ่งพบว่ามีบาง Server หรือ บาง Community ได้มีการทำผิดกฎ

ล่าสุด Rockstar Game พร้อมดำเนินการตามการร้องขอของ บช.สอท. โดยมีนโยบายชัดเจนที่จะไม่อนุญาตให้มีการล่วงละเมิด กลั่นแกล้ง ข่มขู่ หรือโจมตีระหว่างผู้เล่นต่อผู้เล่นนอกเกม โดยเฉพาะผู้ที่ทำผิดกฎ 4 ข้อนี้ ได้แก่

1. การล่วงละเมิดหรือมุ่งเป้าทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เสียชื่อเสียง การข่มขู่ หรือการสะกดรอยตามนอกเกม

2. การสร้างความเกลียดชังและเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานอัตลักษณ์ เชิดชูหรือส่งเสริมกลุ่มที่มีแนวคิดเกลียดชัง หรือการโจมตีบุคคลโดยอิงจากลักษณะที่ได้รับการคุ้มครอง เช่น เชื้อชาติหรือชาติพันธุ์ เพศ อัตลักษณ์ทางเพศ หรือการแสดงออกทางเพศ รสนิยมทางเพศ สถานะความพิการ สัญชาติ อายุ ศาสนา สถานะทางครอบครัว ฯลฯ

3. เนื้อหาความรุนแรงร้ายแรงและความโหดร้าย เผยแพร่ภาพหรือกราฟิกที่รุนแรง รวมถึงภาพการทารุณกรรมสัตว์

4. ภาพโป๊เปลือยของผู้ใหญ่และกิจกรรมทางเพศ เผยแพร่ภาพที่มีเนื้อหาทางเพศอย่างโจ่งแจ้ง หรือใช้แพลตฟอร์มของเราเพื่อเรียกร้องหรือแสวงหาความพึงพอใจทางเพศ

ทั้งนี้จากการสืบสวนของ บช.สอท. พบว่า มีเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งที่สนับสนุนความรุนแรงทางออนไลน์ การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่งละเมิดข้อกำหนดการให้บริการของ Take-Two ซึ่งกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อ Take-Two ให้ดำเนินการลบเนื้อหาดังกล่าวและบังคับใช้นโยบายของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ

การ take down ครั้งนี้เป็นการสร้างช่องทางความร่วมมือระหว่างกัน พร้อมกับร้องขอให้ Take-Two ลบเซิร์ฟเวอร์ที่สนับสนุนความรุนแรง การข่มขู่ และการล่วงละเมิด แบนผู้ใช้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่เป็นอันตราย เสริมสร้างระบบการตรวจสอบและรายงานเพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต ซึ่งเป็นสิ่งที่ Rockstar เคยปิดเซิร์ฟเวอร์ในไทยมาแล้วที่ทำผิดกฎ

จึงขอให้ชุมชนคนเกมออนไลน์ ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบธุรกิจในไทย Influencer หรือเกมเมอร์ ทั้งหลายช่วยกันสอดส่องดูแล และมีบทบาทในการรักษาความปลอดภัยในโลกออนไลน์ร่วมกัน โดยการรายงานกรณีการล่วงละเมิดหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมผ่านช่องทางที่กำหนดในเกม หรือแจ้งให้ทางตำรวจไซเบอร์ได้ทราบ เพื่อดำเนินการประสานงานกับบริษัทในต่างประเทศ ช่วยสร้างสังคมนอกเกมที่สวยงามในสังคมไทย

เดินหน้าร่วมมือจีน!! ‘แพทองธาร’ กระชับ!! มิตรภาพสองชาติ เปิดบทใหม่ สร้างสายสัมพันธ์อันดี

(8 ก.พ. 68) "จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่สวยงาม คนไทยไม่น้อยอยากมาเที่ยว ตัวดิฉันเคยมาปักกิ่งหลายครั้งและชอบที่นี่เช่นกัน นอกจากรู้สึกเหมือนบ้านแล้วยังสัมผัสได้ถึงมิตรไมตรี" 

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันพฤหัสบดี (6 ก.พ.) ที่ผ่านมา

ปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซึ่งระหว่างการสัมภาษณ์ แพทองธารได้แสดงเข็มกลัดที่ระลึกเนื่องในวาระดังกล่าว พร้อมเอ่ยวลี "จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" หลายครั้ง เน้นย้ำหลายหนว่าไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับจีน และกล่าวถึงความเป็นมาการแลกเปลี่ยนฉันมิตรระหว่างสองฝ่ายหลายครั้ง

แพทองธารกล่าวว่าการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนชาวไทยกับชาวจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมิตรภาพระหว่างสองประเทศก้าวสู่ 50 ปีทอง โดยทั้งสองฝ่ายร่วมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากกรุงปักกิ่งมาประดิษฐานในไทย ซึ่งชาวไทยสนใจอย่างมาก และมีการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสานต่อมิตรภาพดั้งเดิมระหว่างสองประเทศ

สำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า แพทองธารเริ่มต้นด้วยการชื่นชมการพัฒนาอันรวดเร็วของจีนและผลการดำเนินงานอันโดดเด่นของกลุ่มบริษัทจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยการพัฒนาอันรวดเร็วของจีนดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก และหลายแนวคิดที่เสนอโดยผู้นำจีนเป็นที่จับตามองกันอย่างมาก

เมื่อวันที่ 4 ม.ค. แพทองธารได้เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีและอนุมัติโครงการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 2 พร้อมระบุว่าจะเดินหน้าส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าภายใต้กรอบการทำงานตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (BRI) ต่อไป

นอกจากนั้นไทยจะส่งเสริมการก่อสร้างทางรถไฟไทย-จีน เพื่อให้ทางรถไฟสายนี้ที่เชื่อมต่อไทย ลาว และจีน กลายเป็นเส้นทางขนส่งข้ามชาติที่สำคัญสำหรับการขนส่งผู้คนและสินค้าโดยเร็วที่สุด โดยแพทองธารแสดงความเชื่อมั่นว่าการเชื่อมโครงสร้างพื้นฐานจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและประชาชนยิ่งขึ้น

แพทองธารยังกล่าวถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในไทย ระบุว่าปี 2024 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเยือนไทยราว 6.7 ล้านคน แม้ยังไม่แตะระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยไทยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนทุกคนเป็นอย่างยิ่ง และเธอได้หารือกับตำรวจท่องเที่ยวและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ อยู่หลายครั้งเกี่ยวกับการปกป้องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีน

ขณะเดียวกันแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรีแสดงความจริงจังในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม กล่าวว่าไทยได้ตัดกระแสไฟฟ้าที่จ่ายแก่เมียนมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. ซึ่งทราบว่าช่วยลดจำนวนสายโทรศัพท์หลอกลวงลง และจะประเมินผลลัพธ์ของการตัดไฟหลังจากครบหนึ่งสัปดาห์

แพทองธารกล่าวว่าไทยจะทำงานร่วมกับจีนในอนาคต เพื่อศึกษาการจัดตั้งกลไกคณะทำงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล ปฏิบัติงานร่วมกัน และร่วมแก้ไขปัญหานี้

สำหรับการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ในเมืองฮาร์บิน มณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน แพทองธารกล่าวว่าแม้ไทยไม่มีหิมะ แต่ชาวไทยสนใจกีฬาน้ำแข็งและหิมะอยู่ไม่น้อย โดยเธอจะเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันครั้งนี้ พร้อมส่งกำลังใจแก่นักกีฬาไทยและนักกีฬาจากประเทศอื่น ๆ ที่เข้าร่วมด้วย

แพทองธารกล่าวว่ากีฬาเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรม เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ (soft power) ของประเทศ และเป็นส่วนสำคัญของมิตรภาพระหว่างไทยกับจีน ซึ่งเธอวางแผนจะประชาสัมพันธ์กีฬาไทยเดิมอย่างมวยไทยระหว่างเดินทางเยือนเมืองฮาร์บินด้วย

ทั้งนี้ แพทองธารทิ้งท้ายว่าชาวไทยและชาวจีนเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน มีการไปมาหาสู่และติดต่อสื่อสารใกล้ชิด วัฒนธรรมประเพณีคล้ายคลึงกัน การช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน สามารถเข้าใจและไว้วางใจกันและกันเสมอมา โดยไทยพร้อมทำงานร่วมกับจีนเพื่อเปิดบทใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-จีน

‘ม็อบเมียวดี’ ปลุกปิด!! ‘สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา’ งดใช้!! สินค้าไทย หลังถูกตัด ‘ไฟฟ้า-น้ำมัน’ เข้าสู่วันที่ 4

(8 ก.พ. 68) หลังจากที่รัฐบาลไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้หยุดส่งกระแสไฟฟ้าให้กับประเทศเมียนมา ตามมติของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 5 ก.พ. ทำให้มีประชาชนชาวเมียนมา เริ่มได้รับผลกระทบ จนทำให้มีกลุ่มประชาชนชาวเมียนมา และผู้ได้รับผลกระทบจากการตัดกระแสไฟฟ้าและการงดส่งน้ำมัน จะรวมตัวกันที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และ แห่งที่ 2 (ฝั่งเมียนมา) 

สถานการณ์ล่าสุด การจัดการชุมนุม ของ ประชาชนชาวเมียนมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมา ประสานงานกับรัฐบาลไทย ให้ช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการการตัดไฟฟ้า และการงดส่งน้ำมัน 

นายอูตู่เหร่งมินทุน อายุ 44 ปี และ นายอูจ่อจ่อ อายุ 45 ปี แกนนำจัดชุมนุมเดินขบวนแสดงความคิดเห็นอย่างสันติของประชาชนในตัวเมืองเมียวดี โดยได้ไปรวมตัวกันที่ สวนสาธารณะส่วยเมียะสั่นดี่ หมู่ 4 เมืองเมียวดี และเริ่มเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปทางสะพานมิตรภาพไทย เมียนมาแห่งที่ 1 โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวน 30-40 คน ต่างตะโกนว่า

“จงปิดสะพานการค้าชายแดนไทย-เมียนมา 1 และ 2”

จงปิดท่าต่าง ๆ ผิดกฎหมายพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา จงอย่าใช้สินค้าไทย” 

ทั้งสถานการณ์การชุมนุมฝนพื้นสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่ง ที่ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

โดยมี นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เจ้าหน้าที่จากหน่วยเฉพาะกิจราชมนู เจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้ามาร่วมสังเกตการณ์

‘สนธิ’ เผย!! ‘บิ๊กโจ๊ก’ ถอนฟ้อง คดีหมิ่นประมาท ให้แล้วทุกคดี ชี้!! ทำพลาดที่สุดในชีวิตที่ไปฟ้อง อ้อน!! ขอให้เมตตาเหมือนเดิม

(8 ก.พ. 68) นายสนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนอาวุโส ประธานที่ปรึกษาสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ เป็นผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ ได้จัดรายการ SONDHITALK ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep : 279 และได้กล่าวถึง ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีใจความว่า ...

ผมโดน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ฟ้องคดีหมิ่นประมาท ทั้งหมด 8 คดี 7 คดี ฟ้อง ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ใน 7 คดีนั้นมีอยู่ 6 คดี ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ชี้ว่ามีมูล แล้ว 6 คดี ก็มีคำสั่งมาจากท่านอธิบดีว่า ให้จบภายใน 6 เดือน แล้วเขาก็ใช้คุณมินนี่ ฟ้อง อีกคดีที่จังหวัดเลย เป็นคดีหมิ่นประมาทเช่นเดียวกัน 

ซึ่งผม นายสนธิ ลิ้มทองกุล เข้าสู้คดีอย่างสุดฤทธิ์ โดยที่ไม่เกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น ปรากฏว่า บิ๊กโจ๊ก ถอนฟ้องคดีทุกคดี โดยระบุว่าโจทก์และจำเลย ตกลงกันได้ แต่เนื่องจากเขาถอนฟ้อง โดยไม่ได้คุยอะไรกัน ก็กลายเป็นว่า โจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย จนกระทั่ง ‘ทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ’ ได้มาแจ้งว่า บิ๊กโจ๊ก ได้ถอนฟ้องหมดแล้ว ถอนฟ้องโดยไม่มีเงื่อนไข สรุปแล้วทั้ง 8 คดี ถอนฟ้องหมดเลย

และสิ่งที่ บิ๊กโจ๊กพูด สิ่งที่เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็คือ การมาฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล

และบิ๊กโจ๊ก ก็ได้มีโอกาสมาเข้าพบ ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ถอนฟ้องแล้ว ก็มาบอกว่า ขอโทษ และให้ช่วยเมตตาเหมือนเดิม ซึ่งคำว่าเมตตานั้น ถ้าผมเห็นว่าคุณทำผิด แล้วผมจะพูดผิด ให้กลายเป็นถูกนั้น ผมทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าคุณทำอะไรแล้ว มันก้ำกึ่ง ผมจะให้ความยุติธรรมกับคุณ

'อิ๊งค์' ปลื้ม!! เยี่ยมคารวะ 'ปธน.สี จิ้นผิง’ ยังได้พบผู้นำระดับสูงของจีนอีก 2 คน นายกรัฐมนตรี ‘หลี่ เฉียง’ ประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีน ‘จ้าว เล่อจี้’

(8 ก.พ. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กว่า … 

นอกเหนือจากการเข้าเยี่ยมคารวะประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผลสำเร็จจากการเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ดิฉันยังได้พบหารือกับผู้นำระดับสูงของจีนอีกสองท่านที่กรุงปักกิ่งด้วย คือ

1. ประชุมหารือกับท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ซึ่งดิฉันได้ขอบคุณท่านนายกหลี่ฯ ที่เชิญเยือนและต้อนรับอย่างอบอุ่น ทั้งสองฝ่ายพร้อมกระชับความร่วมมือในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและดิจิทัล เช่น EV AI เซมิคอนดักเตอร์ พลังงานทางเลือก การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน การยกระดับมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า เชื่อมโยงนวัตกรรมทางการเงินและตลาดทุน การพัฒนาความเชื่อมโยงในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนหารือแนวทางร่วมมือแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่สำคัญเราจะยกระดับความร่วมมือแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะปัญหาคอลเซ็นเตอร์

ดิฉันยังได้เชิญท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ฯ เยือนไทยในโอกาสปีทองแห่งมิตรภาพไทย - จีน ซึ่งท่านได้ตอบรับด้วยความยินดี

ดิฉันได้ร่วมกับท่านนายกหลี่ฯ เป็นสักขีพยานการลงนามเอกสารความร่วมมือ

สองฝ่ายรวม 13 ฉบับ ครอบคลุมผลประโยชน์หลายสาขา เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยีนิวเคลียร์ อวกาศ และ AI

2. พบหารือท่านจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีน ซึ่งเราเห็นพ้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น และส่งเสริมความเข้าใจระหว่างประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ด้วยทุนการศึกษา วัฒนธรรม และ soft power

ทั้งหมดนี้ดิฉันได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและเร่งรัดการดำเนินผลให้เป็นรูปธรรมในโอกาสแรก เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน และการดำเนินความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งในอนาคต 50 ปีข้างหน้าต่อไปค่ะ

เครือข่ายหยุดพนันบุกกฤษฎีกา ยื่น 4 ข้อหนุนความเห็นกฤษฎีกาแยกกาสิโนออกจากสถานบันเทิงครบวงจร ชงควรอยู่ภายใต้ พรบ.พนัน พร้อมขอเวลาให้ภาคีรวบรวมรายชื่อประชาชนเสนอทำประชามติกาสิโนก่อน ไม่ควรรีบทำตามใบสั่งการเมือง ต้องรอบคอบเพราะผลกระทบกว้างขวา

เมื่อวานนี้ (7 ก.พ.68) เวลา 10.00 น. หน้าอาคารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ถนนพระอาทิตย์ นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน พร้อมด้วยตัวแทนมูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายนักศึกษานิติศาสตร์ และเครือชุมชนลดปัจจัยเสี่ยงกว่า 50 คน เข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อแสดงจุดยืนให้ฟังเสียงประชาชน มากกว่ารับคำสั่งฝ่ายการเมือง โดยเครือข่ายได้แสดงละครล้อเลียน คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เปรียบเสมือนพ่อครัวอย่าแต่มุ่งทำอาหารประเคนฝ่ายการเมือง โดยไม่ให้ความสำคัญกับเสียงสะท้อนความต้องการของประชาชน พร้อมชูป้ายข้อความอาทิ กฤษฎีกาต้องอิสระไม่ถูกควบคุมสั่งการจากการเมือง  รัฐบาลต้องเป็นผุ้ควบคุมไม่ใช่เปิดทางสร้างผีพนัน กาสิโนต้องอยู่ภายใต้ พรบ.พนัน เป็นต้น

​นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รับดำเนินการตรวจและปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อพร้อมนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในลำดับถัดไป โดยก่อนหน้านั้นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือแสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา มูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและภาคีเครือข่าย ใคร่ขอแสดงความเห็นและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. มูลนิธิรณรงค์หยุดพนันและเครือข่ายฯ เห็นด้วยกับข้อเสนอของเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า กิจการสถานบันเทิงครบวงจรกับกิจการสถานเล่นพนัน ควรแยกการพิจารณาออกจากกัน เพราะกิจการหนึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่อีกกิจการหนึ่งมีวัตถุประสงค์ในการแก้ปัญหาการพนัน ด้วยแต่ละกิจการต่างมีกฎหมายเฉพาะที่ควบคุมอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายในเรื่องนั้น ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก เพราะจะเป็นความซ้ำซ้อน และควรใช้มาตรการบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสำคัญ  

นายธนากรกล่าวอีกว่า  2. การออกกฎหมายใหม่นี้ จึงดูมีเจตนาอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้อำนาจออกใบอนุญาต และผู้ประกอบธุรกิจ ในลักษณะจอดจุดเดียวจบ หรือ one-stop service ซึ่งไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้มากเช่นนี้ และอาจขัดกับกฎหมายเดิมเมื่อถึงคราวปฏิบัติจริง การออกกฎหมายใหม่เพื่อการนี้จึงเปรียบเสมือนการพยายาม 'สวมเสื้อตัวใหญ่' ที่จะก่อให้เกิดความรุ่มร่าม จนสุดท้ายเป็นอุปสรรคต่อผู้ใช้งานเอง 3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 77 บัญญัติว่า “รัฐพึงมีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น” และในเมื่อสถานกาสิโนคือแหล่งเล่นพนันขนาดใหญ่ กิจการนี้ก็พึงอยู่ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว คือ พระราชบัญญัติการพนัน เป็นการเข้าตามตรอกออกตามประตูที่พึงกระทำ มิใช่การใช้วิธีสร้างทางลัดหรือทางลอดของตนเอง โดยใช้วิธีการออกกฎหมายพิเศษหรือกฎหมายเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทำในสิ่งที่ตนอยากทำได้ ที่สำคัญยิ่งคือ รัฐพึงเป็นผู้ควบคุมการพนัน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สามารถก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อภาวะเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิต สุขภาพกายและจิต และความมั่นคงของมนุษย์ รัฐจึงไม่พึงอยู่ในฐานะผู้ส่งเสริมหรือสนับสนุนการเพิ่มแหล่งพนันด้วยนโยบายของรัฐบาลเอง เพราะรัฐเปรียบเสมือนอัศวินผู้ปราบยักษ์มาร มิใช่ผู้เปิดประตูเมืองให้ยักษ์มารย่างกรายเข้ามาอย่างสง่างามโดยการออกกฎหมายใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบธุรกิจการพนัน และหากเอกชนรายใดต้องการประกอบกิจการจำพวกนี้ ก็พีงเสนอขออนุญาตตามช่องทางของกฎหมายที่มีอยู่

“3. มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน และภาคีเครือข่ายขอเป็นกำลังใจให้คณะกรรมการกฤษฎีกายืนหยัดในความถูกต้อง โดยยึดมั่นว่า “ลูกค้าที่แท้จริงของท่านคือประชาชน” และดำรงความเป็นอิสระจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง เพื่อดำรงศรัทธาและความเชื่อถือของอนุชนคนรุ่นใหม่ และประชาชนต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาสืบไป และ 4. ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาสนับสนุนการขอใช้สิทธิของประชาชนในการเข้าชื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีจัดทำประชามติ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ จึงขอให้รัฐบาลเคารพสิทธิของประชาชน และให้โอกาสเครือข่ายในการดำเนินการรวรวมรายชื่ออย่างน้อย 60 วัน โดยไม่เร่งรัดจะให้ออกกฎหมายนี้โดยเร็วตามความต้องการของฝ่ายการเมือง” นายธนากร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top