Monday, 20 January 2025
ECONBIZ NEWS

‘อลงกรณ์’ เสนอแนวคิด ‘ธีม พาร์ค คอมเพล็กซ์’ ทางเลือกใหม่ของไทย ในการพัฒนาอย่างยั่งยืน

(19 ม.ค. 68) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์
(FKII Thailand) และอดีตประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้นำเสนอแนวคิด การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของประเทศไทย โดยได้ระบุว่า ...

ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังมองหาวิธีในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งการพัฒนาธีม พาร์ค (Theme Park)ระดับโลก เช่น ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland)ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ(Universal Studios) ซีเวิลด์(Sea World)หรือ ธีม พาร์คอื่นผสมผสานกับเอนเตอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์(Entertainment Complex)ที่มีหลากหลายกิจกรรมสันทนาการ เป็นแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์(Creative Economy)ที่น่าสนใจและมีศักยภาพมากกว่าแนวทางอื่น

เหตุผลที่ควรพิจารณาการพัฒนา Theme Park ร่วมกับ Entertainment Complex ในประเทศไทย

1. จุดขายใหม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนสร้างรายได้ให้ประเทศและประชาชน
การมี Theme Park ขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเต็มไปด้วยกิจกรรมและเครื่องเล่นที่ไม่เพียงแต่สนุกสนาน แต่ยังสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร ผู้เข้าชมจะมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศที่หลากหลาย และทำให้การมาเยือนประเทศไทยน่าจดจำยิ่งขึ้น

2. การมอบประสบการณ์ที่หลากหลาย
Entertainment Complex ที่รวม Theme Park ที่มีธีมจากวัฒนธรรมและภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียง สามารถเพิ่มกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ เช่น โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร บาร์ และพื้นที่สำหรับการแสดงดนตรี ทำให้ผู้เข้าชมมีตัวเลือกที่หลากหลายในการใช้เวลาในสถานที่เดียวกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและการเข้ามาของนักท่องเที่ยว

3. สร้างงานและพัฒนาเศรษฐกิจของชาติและท้องถิ่น
การพัฒนา Theme Park และ Entertainment Complex จะสร้างงานใหม่ให้กับคนในชุมชน ทั้งในด้านการดำเนินงาน การบริการ การตลาด การออกแบบ และการก่อสร้าง นอกจากนี้ ธุรกิจขนาดเล็กในพื้นที่ เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า และบริการท่องเที่ยว จะได้รับประโยชน์จากการมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น

4. ส่งเสริมการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรม
การออกแบบ Theme Park โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น สามารถสร้างโอกาสในการจัดแสดงวัฒนธรรมไทย เช่น การแสดงศิลปะการแสดงพื้นบ้าน โครงการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การมีพื้นที่การศึกษาภายใน Entertainment Complex จะช่วยให้ผู้เข้าชมสามารถเรียนรู้และมีประสบการณ์ที่มีคุณค่า

5. เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวและนักท่องเที่ยวคุณภาพ
Theme Park และ Entertainment Complex สามารถออกแบบมาเพื่อให้เข้ากับทุกกลุ่มวัย มีการจัดกิจกรรมและสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ซึ่งทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ครอบครัวสามารถร่วมใช้เวลาและสร้างความทรงจำดี ๆ ร่วมกันได้

6. ปลอดภัยและสร้างสังคมที่มีสุขภาพดี
การพัฒนา Theme Park และ Entertainment Complex พลิกโฉมสังคมในทางที่ดี โดยมีคุณค่าประสบการณ์และความสนุกสนาน เปิดโอกาสให้เกิดกิจกรรมที่มีความคิดสร้างสรรค์และปลอดภัยมากขึ้น

ตัวอย่างธีม พาร์คในประเทศต่างๆ

1. Disneyland  & DisneySea
Magic Kingdom (ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา)
สวนสนุกในรูปแบบของเทพนิยาย มีตัวละคร Disney ที่เป็นที่รู้จักและเครื่องเล่นที่หลากหลาย
Disneyland (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา)
สวนสนุกแห่งแรกที่เปิดในปี 1955 ที่มีโซนธีมต่าง ๆ เช่น Adventureland, Tomorrowland, Fantasyland
Tokyo Disneyland & Tokyo DisneySea (ญี่ปุ่น)
มีการออกแบบที่แตกต่างและเสริมสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ
Shanghai Disneyland (จีน)
สวนสนุกที่ใหม่และทันสมัย มีธีมที่แตกต่างให้สำรวจ

 2. Universal Studios
Universal Studios Orlando (ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา)มีทั้งสวนสนุก Universal Studios และ Islands of Adventure มีเครื่องเล่นและฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่อิงจากภาพยนตร์และโชว์
Universal Studios Hollywood (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา)รวมเอาสวนสนุกและการท่องเที่ยวในสตูดิโอภาพยนตร์
Universal Studios Singapore มีเครื่องเล่นที่เป็นเอกลักษณ์และธีมที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์

3. SeaWorld
SeaWorld San Diego (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา)
สวนสนุกที่เน้นการศึกษาและอนุรักษ์สัตว์น้ำ พร้อมทั้งมีการแสดงสัตว์น้ำต่าง ๆ
SeaWorld Orlando (ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา) มีเครื่องเล่นและสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับสัตว์น้ำ

4. Legoland
Legoland California (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา)
สวนสนุกที่สร้างขึ้นจาก LEGO มีเครื่องเล่นที่เน้นการสร้างสรรค์
Legoland Billund (เดนมาร์ก)
สวนสนุกแห่งแรกที่เปิดในปี 1968 โดยมีความน่าสนใจจากเลโก้เป็นหลักที่มาเลเซียก็มี

 5. Europa-Park (เยอรมนี)
เป็นหนึ่งในสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีโซนธีมประเทศต่าง ๆ และเครื่องเล่นที่ยอดเยี่ยม

6. Alton Towers (สหราชอาณาจักร)
สวนสนุกที่มีเครื่องเล่นที่ขึ้นชื่อ โดยเฉพาะการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ที่มีบรรยากาศที่สวยงาม

7. Six Flags
Six Flags Magic Mountain (แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา) มีเครื่องเล่นที่รวดเร็วและเร้าใจ
 มีสวนสนุกในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกาที่เน้นการผจญภัยและเครื่องเล่นที่มีความสูง

8. Busch Gardens
Busch Gardens Williamsburg (เวอร์จิเนีย, สหรัฐอเมริกา) สวนสนุกที่ผสมผสานระหว่างสวนสัตว์และเครื่องเล่น
Busch Gardens Tampa Bay (ฟลอริดา, สหรัฐอเมริกา) มีการแสดงทางวัฒนธรรมและเครื่องเล่นที่ยอดเยี่ยม

9. Everland (เกาหลีใต้)
สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี มีเครื่องเล่นที่น่าตื่นเต้นและสวนดอกไม้ที่สวยงาม

10. Studio Ghibli Museum (ญี่ปุ่น)
แม้ว่าจะไม่ใช่สวนสนุกแบบดั้งเดิม แต่เป็นสถานที่ที่เน้นการทำความเข้าใจโลกแห่งการ์ตูนและอนิเมชั่นของ Studio Ghibli

สรุป
ในฐานะที่ผมเป็นประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์
(FKII Thailand)และเคยเป็นประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผมคิดว่า

การมี Theme Park เช่น ดิสนีย์แลนด์ ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ หรือธีม พาร์คอื่นๆผสมผสานกับ Entertainment Complexในประเทศไทย เป็นแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์และเป็นทางเลือกของการพัฒนาประเทศที่สามารถสร้างประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ทั้งยังทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถเป็นไปในทางที่ดีขึ้น โดยสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีความสุขและเหมาะสมกับทุกกลุ่มวัย จึงเป็นแนวทางที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทยและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

‘ทักษิณ’ เตรียมคุย!! ‘นาโอมิ แคมป์เบลล์’ ร่วมปั้น!! นางแบบไทยให้ ‘โกอินเตอร์’

เมื่อวานนี้ (18 ม.ค. 68) ที่หอประชุมอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยนครพนม จ.นครพนม นายทักษิณเดินทางมาถึงเพื่อปราศรัยเป็นเวทีที่สอง โดยมีประชาชนมารอรับฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก นายทักษิณ ปราศรัยว่า พี่น้องมากันหลาย พี่น้องชาวนครพนมมากันเยอะมาก ตนปลื้มมาก ย้ำว่าไม่ได้มานครพนมเกือบ 20 ปีแล้ว มหาวิทยาลัยแห่งนี้เกิดในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ตอนนั้นเราเห็นว่ามีแต่วิทยาลัยกระจัดกระจายกันไป จึงเอามารวมเป็นมหาวิทยาลัยดีกว่า ซึ่งตอนนั้นมีสองมหาวิทยาลัยคือนราธิวาสและนครพนม ที่ถูกอนุมัติให้เป็นมหาลัยตอนที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้ได้กลับมาชื่นชม มากันเยอะแยะอยากเจอตนหรือไม่ ทุกครั้งที่ออกมาเจอพี่น้องโดยเฉพาะพี่น้องชาวอีสานก็มีความปลื้มใจ พลังของคนอีสานและคนเหนือส่วนใหญ่ทำให้ตนสู้และได้กลับมาประเทศ

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า พี่น้องไม่เคยลืมตน แม้ว่าเด็กรุ่นหลังอาจจะไม่รู้จักตน แต่พ่อแม่ก็พยายามจะเล่าให้ฟังว่าระหว่างที่ตนอยู่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้รู้ว่าพี่น้องเอามือล้วงเข้ากระเป๋าจะเจอแต่ตั๋วจำนำใช่หรือไม่ แต่สมัยที่ตนอยู่เอามือล้วงไปปุ๊บก็เจอแต่สตางค์ ตอนนี้เงินหายหมดเจอแต่ตั๋วจำนำ ตนบอกกับพี่น้องที่ธาตุพนมว่าปีนี้ล้วงไปถึงปลายปีล้วงไปจะไม่เจอตั๋วจำนำแล้ว และปีหน้าล้วงไปจะเจอสตางค์แล้ว พอปี 70 รัฐบาลเพื่อไทยมาล้วงไปจะดันไม่เข้า เพราะเจอแต่สตางค์

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า ตนกลับมาแล้วเศรษฐกิจไทยต้องดีขึ้น ตนทนเห็นพี่น้องลำบากไม่ได้ เพราะพี่น้องไม่เคยลืมตน ตนจึงขอทำงาน สทร. เสือกทุกเรื่อง ขอเสือกให้พี่น้องมีความสุขและสบายขึ้น พ้นหนี้ มีสตางค์ใช้ ตนเป็นคนที่มีความกตัญญูถือว่าพี่น้องมีบุญคุณกับตน ไม่เคยลืมตน ตนกลับมาแล้วก็ต้องชดใช้หนี้ และขอกตัญญูด้วยการช่วยเหลือให้ประเทศดีขึ้น รู้ว่าพี่น้องลำบากหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด ฉะนั้น จึงขอให้กลับไปบอกพ่อค้ายาแถวบ้านว่าทักษิณกลับมาแล้ว หากอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นขอให้เลิกอาชีพค้ายา ทักษิณเกลียดพ่อค้ายาและจะเอาตาย ถ้าอยากให้รักกันก็เลิกดีกว่า ฉะนั้น สิ้นปีนี้เอายาเสพติดให้เกลี้ยงเลย

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ขนาดน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยังถูกหลอก มีการโทรไปหานายกรัฐมนตรี แล้วใช้เอไอทำเสียงเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ให้โอนเงินไปที่ฮ่องกง มันเล่นทุกรูปแบบ วันนี้กระบวนการใหญ่อยู่ที่พม่ากับที่เขมร เขมรให้ความร่วมมือดี เดี๋ยวจะเบาบางลง พม่าก็น่าจะจบ เพื่อนบ้านจะไม่มีพวกที่ทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฉะนั้น ปีนี้ต้องเอาให้จบเหมือนกัน

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ย้ำว่าวันที่ 27 ม.ค.นี้ เงินหมื่นจะเข้าบัญชีคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ที่เหลือต้องรอให้เทคโนโลยีดิจิทัลวอลเล็ตเสร็จในเดือนมี.ค. เมื่อเสร็จแล้วก็จะทำให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เม็ดเงินอยู่ในพื้นที่ วันนี้เราต้องหาเงินกลับเข้ามาอยู่ในต่างจังหวัดหรือไม่ให้ออกไปซึ่งตอนนี้กำลังคิดสูตรอยู่เพื่อให้เงินอยู่กับพี่น้องล้วงไปจะได้เจอเงินบ้าง ไม่ใช่ล้วงไปเจอแต่ตั๋วจำนำ

“วันนี้นายกอิ๊งค์กับผม พ่อลูกคุยกันทุกวัน ปรึกษาหารือกันตลอด ผมมีประสบการณ์แนะนำ นายกอิ๊งค์เอาความเป็นคนรุ่นใหม่มาประกอบกันและพัฒนาประเทศเรา เรื่องเอไอนายกอิ๊งค์ตั้งใจอย่างเต็มที่อยากให้เด็กรุ่นใหม่ได้เรียนรู้การใช้เอไอสั่งการให้ทำงาน และในเรื่องของการศึกษา เข้าใจว่าจะมีการแจกแท็บเล็ตอีกรอบ เพื่อนำมาใช้สำหรับการศึกษา นายกอิ๊งค์อยากนำเงินที่กองฉลากจัดสรรให้ทำโรงเรียนหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝันอีกครั้ง เป็นโรงเรียนต้นแบบเอาคนที่ได้ที่หนึ่ง ส่งไปเรียนเมืองนอก จัดซัมเมอร์แคมป์ให้เด็กไทยได้ไปเรียนเมืองนอก เอาครูต่างประเทศมาจัดแคมป์ในเมืองไทย ปิดเทอมปีการศึกษาหน้า คงมีอะไรสนุกๆ อีกแน่“ นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ต่อไปนี้จะจริงจังในการคัดเลือกคน โดยจะให้มหาวิทยาลัยเป็นแกนนำร่วม อบจ. เพื่อคัดคนที่อยากเพิ่มความชำนาญให้ตนเองเพื่อเป็นอาชีพและมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าแรงงานขั้นต่ำ เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ประชุมกับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอน์แห่งชาติ ว่าจะคัดคนสวยแบบธรรมชาติไม่ต้องศัลยกรรม เพื่อให้มีโอกาสเท่าเทียมกัน ใครอยากเป็นนางแบบระดับโลกก็จะคัดมาฝึก ซึ่งนพ.สรุพงษ์ บอกว่าอยากได้งบกลาง 20 ล้านบาท ตนเลยบอกว่าเดียวตนออกให้เอง เดียวหาสปอนเซอร์มาช่วย แต่ทุกคนต้องเปนแมวมอง ผ่านกองทุนหมู่บ้าน ไม่จำกัดเพศจะเป็น ชาย หญิง หรือเพศที่ 3 หากดูแล้วเหมาะที่จะเดินแบบได้ ก็คัดไปเอามาฝึก แต่อย่าพึ่งทำศัลยกรรม

“เราอยากได้คนที่มีความงามแบบไทยแท้ ปนเจ็ก ปบแขก ปนลาวก็ได้ ไม่ว่ากัน แต่ต้องงามแบบออริจินัล แบบที่ออกมาจากท้องแม่ เพราะในโลกคงอยากเห็นคนไทยแท้เป็นอย่างไร ถ้าบุคลิกดีเดินแบบได้ แปบเดียว ก็มีโอกาสทำเงินได้เป็นล้านๆ เรียนหนังสือไม่เก่งไม่เป็นไร แต่ขอคนที่ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน นายกฯบอกปีนี้เป็นปีแห่งโอกาส ก็อยากจะสร้างโอกาสในทุกมิติ” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 8-10 ก.พ. นาโอมิ แคมเบล นางแบบระดับโลกจะเดินทางมาที่ประเทศไทย ก็จะมาคุยกับตนว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยได้เป็นนางแบบระดับโลกได้ ทั้งนี้ ตนนั่งผ่านริมแม่น้ำโขง บรรยากาศโรแมนติก ประชากร จ.นครพนม เพิ่มขึ้น ทั้งที่หลายจังหวัดเริ่มไม่ผลิต คนน้อยลง แสดงว่าบรรยากาศช่วยเหลือ ตนนั่งดูยังมองว่าริมโขงโรแมนติกไว้ผลิตลูก

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องรถไฟรางคู่เขาขยายไปทั่ว รถไฟเก่าช้าวิ่งแบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างจึงเกิดความรู้สึกว่ารถไฟช้านานๆ มาที วันหนึ่งมีคนขึ้นรถไฟแค่ 8 หมื่นกว่าคน คนใช้ก็บอกว่าให้ลงทุนแล้วทำให้รถไฟมาเร็วขึ้น แต่รถไฟก็บอกว่าพวกคุณก็ขึ้นก่อนเราจะได้มีเงินมาทำ ฉะนั้นเราจะทดลอง 20 บาทตลอดในกรุงเทพฯ แต่ปรากฏว่าคนยังใช้น้อยเพราะต่อลำบากตั๋วร่วมก็ไม่มีแล้วก็เก็บแพง ตนจึงบอกว่าเรารัฐบาลซื้อคืนมาให้หมดแล้วจัดการให้เก็บตั๋ว 20 บาทตลอดสาย แล้วบอกว่ามีรถไฟถี่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ขึ้นไม่ต้องรอรถไฟ รถจะได้ติดน้อยลง อากาศเสียน้อยลง ประชาชนจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้นเพราะใช้เวลาน้อยในการที่จะเดินทางไปทำงาน และจะทำรถไฟเช่นนี้ทั่วประเทศไทยเพื่อให้มีความเร็วดีขึ้น ส่วนรถไฟจากลาวถึงหนองคายจะถึงกรุงเทพฯ แน่นอน และจากกรุงเทพฯ ไปถึงคุณหมิงได้แน่

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ตอนแรกตนยังไม่แก่ แต่พอนั่งปุ๊บ ลุกขึ้นแก่แล้วนี่หว่า กระดูกกระเดี้ยวเริ่มเคลื่อน แต่ตนมีของดีและว่าอีกสักปีหน้าตนจะหนุ่มกว่าเดิมกว่าเดิม เพราะเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ที่เขาให้คนแก่หนุ่มขึ้น มีวิธีรักษาอวัยวะข้างในโดยการเติมสเต็มเซลล์ที่เป็นสเต็มเซลล์ของตัวเราเอาไปทำเอาให้เป็นสเต็มเซลเหมือนตอนเกิด และใส่เข้าไปจะซ่อมสิ่งที่สึกหรอในร่างกายร่างกาย ซึ่งตนกำลังเจรจากันอยู่ว่าเราจะทดลองที่ใดที่หนึ่งให้เป็นศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆได้หรือไม่ เช่นเทคโนโลยีทางด้านสเต็มเซล หรือด้านตัดต่อพันธุกรรม ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ว่าทำได้แค่ไหน ถ้าทำได้ประเทศไทยจะนำสมัยมาก และตนเป็นคนชอบเรื่องใหม่ๆ ไม่งั้นประเทศไทยจะช้ากว่าประเทศอื่น

“วันนี้ที่ผมต้องมาช่วยหาเสียงให้อบจ. เพราะผมอยากได้กำลังภาคพื้นดิน ภาคจังหวัดที่จะต้องช่วยกันดูค้นหาคนมาร่วมกับมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ของนายกอิ๊งค์ก็ดี การหานางแบบนายแบบระดับโลกก็ดี เราต้องอาศัยอบจ.ช่วยกัน ฉะนั้น จึงอยากได้นายกอบจ.ของพรรคเพื่อไทยเยอะๆ เพื่อจะได้ดูแลกันอย่างทั่วถึง วันนี้จึงต้องมาฝากนายอนุชิตเบอร์แปดให้เป็นนายกอบจ. ต้องเอาคนหนุ่มมาใช้งานเพราะผมใช้งานหนัก ผมเป็นคนที่ชอบให้คนทำงาน และจึงขอให้นายอนุชิตมาเป็นมือไม้ในการทำงานช่วยผม และอย่าลืมหามือไม้ให้นายอนุชิตโดยการเลือกอบจ.ด้วย เอาทั้งทีมไม่งั้นจะทำงานไม่ได้” นายทักษิณ กล่าว

‘แพทองธาร’ นำคณะ!! บินดาวอส ประชุม ‘World Economic Forum’ โชว์!! วิสัยทัศน์รัฐบาล ย้ำ!! ศักยภาพประเทศไทย ขับเคลื่อนไปสู่ยุคดิจิทัล

(19 ม.ค. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ประจำปี 2568 (WEF Annual Meeting 2025: WEF AM25) ระหว่างวันที่ 20-25 ม.ค. 2568 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส

โดยมีผู้แทนรัฐบาลไทยที่ได้รับเชิญและร่วมคณะ ได้แก่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นางนลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย และนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ

การประชุม WEF AM25 จะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 55 ภายใต้หัวข้อหลัก “Collaboration for the Intelligent Age” เพื่อหารือเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูงให้เกิดคุณประโยชน์สูงสุดในการสนับสนุนการค้าการลงทุน ซึ่งจะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ในบริบทของสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันที่สลับซับซ้อนและท้าทาย

โดยนายกฯ จะใช้เวที WEF แสดงวิสัยทัศน์และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ย้ำศักยภาพและความพร้อมของไทยที่จะขับเคลื่อนไปสู่ยุคดิจิทัล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และขยายโอกาสของภาคเอกชนไทยในตลาดโลก

เนื่องจากการประชุม WEF นับเป็นเวทีที่มีอิทธิพลสูงมากต่อความตระหนักรู้ของสาธารณชนและสื่อมวลชนชั้นนำระดับโลก ทั้งยังจะมีการพบหารือทวิภาคีกับระหว่างผู้แทนระดับสูงจากภาครัฐ องค์การระหว่างประเทศ และผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของโลก โดยเฉพาะจากภูมิภาคยุโรป

ทั้งนี้นายกฯ จะเดินทางจากไทย ในวันที่20 ม.ค.นี้ ถึงท่าอากาศยานนครซูริก สมาพันธรัฐสวิส ในจันทร์ที่ 20 ม.ค. เวลา 14.45 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ซึ่งเวลาที่นครซูริกช้ากว่ากรุงเทพฯ 6 ชั่วโมง) และจะปฏิบัติภารกิจตั้งแต่วันที่ 20-25 ม.ค. 2568 และจะเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันเสาร์ที่ 25 ม.ค.

‘สุชาติ’ เผย!! 'อาเซียน - แคนาดา’ เร่งขับเคลื่อนเจรจา FTA ตั้งเป้า!! ปิดดีล ขยายโอกาสทางการค้า ภายในปี 2568

(18 ม.ค. 68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า แคนาดาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการเจรจาความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-แคนาดา (ACAFTA TNC) รอบที่ 11 ระหว่างวันที่ 15-17 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ณ กรุงเทพฯ เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาในประเด็นต่างๆ โดยมีเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2568 สำหรับการประชุม ACAFTA TNC ในรอบนี้ยังได้มีการจัดการประชุมของคณะทำงานเจรจาอีก 7 กลุ่ม ได้แก่ มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า แนวปฏิบัติที่ดีด้านการออกกฎ การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา และกฎหมายและสถาบันควบคู่ไปด้วย  

"ไทยพร้อมสนับสนุน FTA อาเซียน-แคนาดา ให้บรรลุผลสำเร็จในปี 2568 ซึ่งจะเป็น FTA แรกของไทยกับประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคธุรกิจ รวมถึงขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนที่เชื่อมโยงทั้งสองภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน แคนาดาก็ให้ความสำคัญกับการสรุปผลการเจรจา ACAFTA โดยเร็ว เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองฝ่าย โดยเฉพาะการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มพูนโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน" นายสุชาติ กล่าว 

ด้านนางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับการประชุมครั้งนี้ว่า ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการติดตามความคืบหน้าการเจรจาของคณะทำงานภายใต้ ACAFTA ทั้ง 19 กลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังมีความล่าช้าและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งรวมถึงเรื่องการค้าสินค้าที่จะต้องเร่งเจรจารูปแบบการลดภาษี (modality) ระหว่างประเทศสมาชิก การค้าบริการและการลงทุนที่จะต้องเร่งสรุปเรื่องโครงสร้างของข้อบทและรูปแบบการเปิดตลาด และเรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งอาเซียนจะต้องพิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าแบบเฉพาะ (Product Specific Rule: PSR) ที่แคนาดาเสนอมาทั้งหมด 5,612 รายการ รวมทั้งเรื่องการค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืนที่อาเซียนจะต้องเร่งสรุปร่างข้อเสนอของอาเซียนให้แคนาดาพิจารณาเพื่อจัดทำร่างข้อบทร่วมในการเจรจาต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ให้แนวทางขับเคลื่อนการเจรจากับคณะทำงานกลุ่มต่างๆ อาทิ เร่งหาข้อสรุปในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นที่คล้ายคลึงกัน สำหรับประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นที่แตกต่างกันมาก ให้เน้นการหารืออย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและแสดงความยืดหยุ่นเพื่อหาแนวทางที่ยอมรับร่วมกันได้ และหยิบยกประเด็นที่ติดขัดให้คณะกรรมการ TNC ให้แนวทางแก้ไข พร้อมทั้งผลักดันให้มีการประชุมทั้งในรูปแบบออนไลน์ และ in-person เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้ทันตามเป้าที่กำหนดไว้ 

สำหรับในปี 2566 การค้ารวมของไทยและแคนาดา มีมูลค่า 2,933.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 10.41 โดยไทยส่งออกไปยังแคนาดา มูลค่า 1,903.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 10.07 สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขณะที่ไทยนำเข้าจากแคนาดา มูลค่า 1,030.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2565 ร้อยละ 11.03 สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเยื่อกระดาษและเศษกระดาษ

ทั้งนี้ ในช่วง 11 เดือน (ม.ค. –พ.ย.) ของปี 2567 การค้ารวมของไทยและแคนาดา มีมูลค่า 2,955.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการส่งออก 1,946.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นการนำเข้า 1,008.98 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้า 937.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

‘รสนา’ ชื่นชม!! ‘กกพ.’ ชงลดค่าไฟฟ้า แนะ!! เจรจาลด ‘ค่าความพร้อมจ่าย’ ด้วย

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 68) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า …

มาช้าดีกว่าไม่มา กกพ.จ่อชงนายกฯทบทวนค่าแอดเดอร์พลังงานหมุนเวียน หั่นค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท

ข่าวสื่อมวลชนวันนี้ระบุว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนนโยบายรัฐที่ให้เงินส่วนเพิ่มไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่เรียกว่า แอดเดอร์ (Adder) ทำให้ราคารับซื้อเพิ่มสูง และมีการต่อสัญญาแบบอัตโนมัติทำให้ค่าไฟมีราคาสูงกว่าราคาที่เป็นจริงในปัจจุบันมาก หากมีการทบทวนราคารับซื้อตามต้นทุนจริง จะลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาท คาดประหยัดค่าไฟได้ 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

ในการรับฟังความเห็นประชาชนเรื่องการปรับค่าFt ของกกพ.งวด มกราคม -เมษายน 2568 ระหว่างวันที่ 8-22 พฤศจิกายน 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)ได้เสนอแนวทางการปรับลดราคาค่าไฟไปทั้งหมด 6 ข้อ

หนึ่งใน6 ข้อเสนอของสภาผู้บริโภค ก็คือเสนอให้ยกเลิกนโยบายมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่สูงเกินสมควรจนมีผลกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าทั้งระบบ ซึ่งกกพ. ควรเสนอให้ทบทวนนานแล้ว เอกชนได้ค่าไฟฟ้าส่วนเกินที่ไม่ควรได้รับปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นค่ารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ที่หมดอายุ 8-10 ปีไปแล้ว แต่กกพ.ก็ยังปล่อยให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติในราคาสูง โดยประชาชนตาดำๆ ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ให้เอกชนผ่านค่าไฟฟ้า เป็นภาระค่าไฟแพงของประชาชน แต่ไม่ปรากฎว่ากกพ.จะได้นำข้อเสนอนี้ของสภาผู้บริโภคไปพิจารณาเพื่อลดค่าไฟในงวด มกราคม- เมษายน 2568 แต่ประการใด

อย่างไรก็ตาม มาช้าดีกว่าไม่มา ก็ต้องชื่นชมที่ กกพ.ตัดสินใจทำข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนการให้เงินส่วนเพิ่ม(Adder)ว่าควรยกเลิกได้แล้วเพราะปัจจุบันราคาพลังงานหมุนเวียนมีราคาลดลงมากแล้ว ซึ่งบริษัทเหล่านั้นได้คืนทุนและมีกำไรคุ้มไปนานแล้ว การต่อสัญญาอัตโนมัติจึงควรยกเลิก ซึ่งจะทำให้สามารถลดค่าไฟลงได้ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย จากที่กำหนดไว้เดิมที่ 4.15บาท/หน่วย และทำให้ประชาชนได้ปลดแอกบนบ่าถึงปีละ 3.3 หมื่นล้านบาทได้สักที

สิ่งที่กกพ.ควรเสนอนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีกอย่างน้อย 1 ข้อ คือให้เจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายสำหรับโรงไฟฟ้าที่ได้คืนทุนและมีกำไรพอสมควรแล้ว จากเอกสารของกกพ. ในงวด มกราคม-เมษายน 2568 ค่าความพร้อมจ่ายสูงถึง 19,875 ล้านบาท หากคำนวณทั้งปี จะเป็นเงิน 59,625 ล้านบาท/ปี หากนำมาเฉลี่ยกับหน่วยไฟที่ใช้ทั้งประเทศประมาณ 200,000 ล้านหน่วย/ปี เท่ากับจะลดลงได้ 29-30 สต./หน่วย หากตัดค่าความพร้อมจ่ายส่วนนี้ไปได้ น่าจะลดได้ค่าไฟลงไปได้อีกเกือบ30 สตางค์/หน่วย (ตัวเลขที่นำมาคำนวณจากเอกสารที่เผยแพร่โดย กกพ.ในการรับฟังความเห็นค่า Ft)

แม้ตามสัญญาค่าความพร้อมจ่ายอาจจะตัดไม่ได้ แต่รัฐบาลสามารถใช้ประเด็น ‘เหตุสุดวิสัย’ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐเพื่อลดค่าไฟ เปิดให้มีการเจรจาลดค่าความพร้อมจ่ายในโรงไฟฟ้าที่คืนทุนแล้ว หรือไม่มีการผลิตแต่ยังได้ค่าความพร้อมจ่าย โดยแลกกับการขยายสัญญารับซื้อไฟต่อให้อีกสัก1-2ปีหลังหมดสัญญา และโรงไฟฟ้าใหม่ไม่ควรมีค่าความพร้อมจ่ายอีกแล้ว

กกพ.จึงควรถือเป็นหน้าที่ในการรีดไขมันที่ทำให้ค่าไฟแพงอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชน ซึ่งยังมีอีกหลายรายการที่สมควรพิจารณาต่อไปอย่างจริงจัง จะเป็นการช่วยลดภาระที่ประชาชนแบกจนหลังแอ่นมายาวนานมาก และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่มีราคาค่าไฟเหมาะสมจูงใจให้ธุรกิจต่างชาติสนใจจะมาลงทุน

รัฐบาลหัดคิดนโยบายประชานิยมเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรมบ้าง ประชาชนจะได้เงยหน้าอ้าปากอย่างยั่งยืน เลิกใช้วิธีกู้เงินมาหว่านแจกซื้อเสียงแบบฉาบฉวยได้แล้ว!!

กฟผ. ผนึกกำลัง ททท. ชวนสัมผัสที่พัก 8 เขื่อนทั่วไทย ตอบโจทย์เทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ - กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

กฟผ. จับมือ ททท. สานต่อโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 สนับสนุนเทรนด์การทำงานรูปแบบใหม่ที่ผสานการทำงานและการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน ชวนสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติที่เขื่อน 8 แห่งของ กฟผ. ทั่วประเทศ พร้อมมอบส่วนลดที่พัก 30% ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนอย่างยั่งยืน

(17 ม.ค.68) นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า เทรนด์ Workation หรือการทำงานพร้อมการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลังการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานจาก Work from Home สู่ Work from Anywhere ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 กฟผ. จึงร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เดินหน้าสานต่อโครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์การทำงานในบรรยากาศอันเงียบสงบและงดงามที่เขื่อน 8 แห่งทั่วประเทศ ของ กฟผ. ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี และเขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ และเขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม - 30 มีนาคม 2568

นายชวลิต กันคำ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฟผ. ได้ร่วมสนับสนุนโครงการ Workation ของ ททท. มาตั้งแต่ปี 2563 โดยเริ่มจากการมอบส่วนลดค่าที่พัก และยกระดับคุณภาพบ้านพักรับรองด้วยมาตรฐาน SHA Plus ในพื้นที่เขื่อนและโรงไฟฟ้าเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักท่องเที่ยว รวมทั้งมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย โครงการ Workation Paradise Throughout Thailand Season 2 สะท้อนถึงความตั้งใจของ กฟผ. ในการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของ ททท. เพื่อผลักดันการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยมีหัวใจสำคัญคือชุมชนและธรรมชาติ ทุกการเดินทางไม่เพียงแต่สร้างความสุข แต่ยังช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“เขื่อนของ กฟผ. ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตไฟฟ้าสำคัญของประเทศ แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่งดงาม ลองมาสัมผัสทิวทัศน์อันตระการตาของเขื่อนทั้ง 8 แห่ง ซึ่งมีเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว พร้อมเติมเต็มพลังชีวิต และดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติที่เงียบสงบ การท่องเที่ยวในพื้นที่เขื่อนของ กฟผ. จะไม่เพียงเปลี่ยนบรรยากาศการทํางาน แต่ยังช่วยเติมเต็มเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตไปด้วยกัน กฟผ. ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน” นายชวลิต กล่าวเชิญชวน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและจองสิทธิ์ได้ที่ www.tourismthailand.org/workationthailand โดยใส่คำค้นหา 'บ้านพักรับรองเขื่อน'

OPPO ขอโทษ ออกอัปเดตลบแอปเงินกู้บนมือถือแล้ว 4 รุ่น ยืนยันลบข้อมูลส่วนตัวลูกค้าทั้งหมด

(17 ม.ค.68) OPPO ประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนครั้งแรก หลังเกิดเหตุการณ์การติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy และ สินเชื่อความสุข ในสมาร์ทโฟน OPPO และ realme โดยไม่ได้รับการยินยอม  

โดยนายชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร OPPO ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขโดยทันทีผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้เริ่มการอัปเดตระบบ (OTA) เพื่อลบแอปพลิเคชันดังกล่าวแล้ว ซึ่งครอบคลุมถึงรุ่น Find X8 Series, Reno13 Series, Reno12 Series และ OPPO A3 ทั้งตั้งเป้าให้มีการอัปเดตเพื่อการติดตั้งแอปฯ ดังกล่าวภายใน 27 มกราคม 2025 

นายชานนท์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานเก็บบนคลาวด์ได้ถูกลบอย่างสมบูรณ์แล้ว ส่วนข้อมูลที่อยู่ในอุปกรณ์ ผู้ใช้งานสามารถลบได้ด้วยตัวเองทันที  

ด้านนายธงชัย ม่วงใหม่ ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของโพสเซฟี่ กรุ๊ป ได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของ OPPO ประเทศไทยในการปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัว โดยไม่เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของผู้ใช้งานหากไม่ได้รับอนุญาต พร้อมเสริมว่าบริษัทได้ดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล  

นอกจากนี้ OPPO ประเทศไทยได้ชี้แจงว่า การติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าวมาจากบุคคลภายนอก และยืนยันว่าไม่มีการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน โดยบริษัทได้เริ่มปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย พร้อมประสานงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต  

"เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเรา เราขอโทษผู้ใช้งานอย่างสุดซึ้ง และขอให้คำมั่นว่าจะไม่มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก" นายชานนท์กล่าว  

OPPO ประเทศไทยยังแสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือเฉพาะกับพันธมิตรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และจะไม่ติดตั้งแอปพลิเคชันสินเชื่อที่ไม่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานธนาคารแห่งประเทศไทยอีก  

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ OPPO ประเทศไทยได้จัดตั้งสายด่วนที่หมายเลข 1800-019-097 เพื่อให้บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง

‘สุชาติ ชมกลิ่น’ เดินหน้าผลักดันโครงการ ITD ส่ง SMEs เกษตรไทยสู่โลกยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาสศึกษาดูงานที่ญี่ปุ่น

เมื่อวันที่ (16 ม.ค.68) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าในการผลักดันโครงการ 'Smart AgriTech to the Sustainability Business' เพื่อยกระดับ SMEs เกษตรไทย ให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกอย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนให้สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา หรือ ITD ซึ่งโครงการนี้มุ่งเน้นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบการเกษตร ที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรรวมถึงเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

โดยในโครงการได้คัดเลือกผู้ประกอบการภาคเกษตรที่มีศักยภาพสูงจาก 4 ภูมิภาคของประเทศไทย ได้แก่ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และ ภาคกลาง รวมทั้งหมด 8 ราย ที่จะได้รับโอกาสพิเศษในการศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 14-17 มกราคม 2568 เพื่อเรียนรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร ที่ทันสมัยจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรและการรักษาสิ่งแวดล้อม ให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้เติบโตและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งช่วยขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั่วโลก 

นายสุชาติ กล่าวว่า “ความสำคัญของการศึกษาดูงานครั้งนี้ว่า จะเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการทั้ง 8 ราย ในการเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรที่ทันสมัยจากญี่ปุ่น พร้อมทั้งนำความรู้ที่ได้กลับมาปรับใช้ในการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปยังประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั่วโลก

โดยโครงการนี้ไม่เพียงแค่ยกระดับ SMEs เกษตรไทยให้แข่งขันในตลาดโลกได้ แต่ยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจเกษตรและขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปยังประเทศต่างๆ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว”

“โดยโครงการ 'Smart AgriTech to the Sustainability Business' นอกจากจะช่วยยกระดับ SMEs เกษตรไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจเกษตรและการขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปสู่ประเทศคู่ค้าทั่วโลก โดยถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาและสนับสนุนธุรกิจเกษตรไทยเพื่อให้สามารถยืนหยัดได้ในตลาดโลกและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในระดับชาติอย่างยั่งยืน” นายสุชาติ กล่าว

‘เอกนัฏ’ เยือน ซาอุดีอาระเบีย ร่วมเสวนาโต๊ะกลม รับการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมแร่สู่พลังงานสะอาด

เมื่อวันที่ (14 ม.ค.68) กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย - นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการเสวนาโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีในงาน Future Minerals Forum 2025 (FMF 2025) เพื่อร่วมกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมแร่พลังงานสะอาด พร้อมด้วยรัฐมนตรีและผู้แทนรัฐบาลจากประเทศต่าง ๆ กว่า 86 ประเทศ

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการเสวนาโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีในงาน Future Minerals Forum 2025 (FMF 2025) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย ในระหว่างวันที่ 14-16 มกราคม 2568 ว่า การจัดประชุมโต๊ะกลม FMF 2025 ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือถึงทิศทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่และโลหะเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด โดยการขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดมีความจำเป็นต้องใช้แร่เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าความต้องการใช้แร่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก (Critical minerals) มีแนวโน้มเพิ่มสูงอย่างน้อย 2 เท่าในปี 2573 (ค.ศ. 2030) ในขณะที่ประเทศไทยมีเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค (Regional Hub) และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเช่นกัน ไทยจึงมีบทบาทในฐานะผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จากแร่ ในการจัดหาแร่ที่ผลิตอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงการสร้างกลไกรองรับการหมุนเวียนวัสดุกลับมาใช้ใหม่ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยสิ่งที่ประเทศไทยสนับสนุนและยืนยันมาตลอดคือการนำทรัพยากรแร่มาใช้ประโยชน์ โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชนในพื้นที่และการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน

ด้าน ดร.อดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีเรื่องแร่แห่งอนาคต หรือ Future Minerals Forum 2025 ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 โดยมีซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ โดยมีรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจากกว่า 86 ประเทศทั่วโลก อาทิ บราซิล แอฟริกาใต้ คองโก อินเดีย อียิปต์ อิตาลี ไนจีเรีย กาตาร์ ปากีสถาน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน มาเลเซีย ไทย โมร็อกโก อินโดนีเซีย ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร เข้าร่วม ทั้งนี้ การประชุมมีการหารือในประเด็นหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาแนวทางการทำเหมืองแร่อย่างยั่งยืนของภูมิภาค 2) การสร้างเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) เพื่อรองรับการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ด้านแร่ และ 3) การสร้างกรอบการพัฒนาด้านแร่กลุ่ม Critical minerals และพัฒนาโซ่มูลค่าในพหุภูมิภาค เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางดำเนินความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดเกิดขึ้นได้ตามเป้าหมายการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทำให้อุตสาหกรรมเหมืองแร่ซึ่งนับเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวมีความราบรื่น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

กกพ. เสนอรื้อสัญญาทาสคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน ชี้ ลดค่าไฟได้ทันที 17 สตางค์/หน่วย ช่วยประหยัด 3.3 หมื่นลบ.

เมื่อวันที่ (16 ม.ค.68) นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกพ. มีมตินำเสนอทางเลือกให้ภาคนโยบายทบทวนและปรับปรุง เงื่อนไขการสนับสนุนทั้งในรูปแบบส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และอัตรารับซื้อไฟฟ้าคงที่ตลอดอายุโครงการ (Feed in Tariff:FiT) ผ่านการอุดหนุนราคารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) เพื่อให้การอุดหนุน Adder และ FiT สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงทำให้ค่าไฟสามารถปรับลดลงได้ทันทีประมาณหน่วยละ 17 สตางค์ จากค่าไฟฟ้าในปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท เหลือหน่วยละ 3.98 บาท โดยคาดหวังว่าจะสามารถลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ จากประมาณการตลอดทั้งปี 2568 คาดว่าจะมีการใช้ไฟฟ้า 195,000 ล้านหน่วย หากลดได้หน่วยละ 17 สตางค์ จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนได้ 33,150 ล้านบาท

นายพูลพัฒน์ กล่าวต่อว่า หากมีการปรับปรุงราคารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่ม Adder และ FiT ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เช่น ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รับซื้อในอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งหน่วยละ 3.1617 บาท บวกกับค่า Adder หน่วยละ 8 บาท ตลอดอายุโครงการ 10 ปี รวมแล้วเป็นค่าไฟฟ้าหน่วยละ 11.1617 บาท ซึ่งแพงกว่าอัตรารับซื้อที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คำนวณไว้ในโครงการการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ปี 2565-2573

ทั้งนี้ ผู้ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า SPP และ VSPP ผ่านจุดคุ้มทุนแบบ Adder และ FIT ได้รับค่าตอบแทนจากโครงการพอสมควร จึงควรปรับค่าไฟฟ้าให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 533 รายจำนวน 3,400 เมกะวัตต์

การรับซื้อไฟฟ้าในอดีตหน่วยละ 11.1617 บาท เนื่องจากอุปกรณ์การผลิตไฟฟ้าจากแผงพลังงาน แสงอาทิตย์มีต้นทุนสูง แต่ในปัจจุบันราคาอุปกรณ์ดังกล่าวลดลงมาก ราคาไฟฟ้าที่รัฐรับซื้อควรลดลงตามมาด้วย เช่นกัน หรือแม้โครงการผ่าน 10 ปีและเงินอุดหนุน 8 บาทหมดไปแล้ว แต่ราคารับซื้อก็ยังอยู่ที่ 3.1617 บาท ซึ่งแพง กว่าราคาที่ สนพ. คำนวณในปี 2565 หน่วยละ 2.1679 บาท ซึ่งมีส่วนต่างเป็นเงินหน่วยละ 0.9938 บาท ถือเป็น กำไรที่ผู้ประกอบการไม่ควรได้รับ หมายความว่า ไม่มีวันสิ้นสุดสัญญา ประการสำคัญสัญญารับซื้อไฟฟ้าในกลุ่มนี้ระบุว่าให้ต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ หากไม่มีการปรับปรุงอัตราการรับซื้อไฟฟ้าให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ผู้ประกอบ กิจการก็จะได้กำไรเกินควร อันเป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนโดยไม่มีวันสิ้นสุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top