Friday, 18 July 2025
COLUMNIST

“ซินโครตรอน” แสงที่ไขปริศนา...คดีฆาตกรรมน้องชมพู่

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คดีการฆาตกรรมน้องชมพู่ เด็ก 3 ขวบ ในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ที่หายตัวออกไปจากบ้าน เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 และหลังจากใช้เวลาตามหา 3 วัน ก็พบว่าเป็นศพเปลือย อยู่ในป่าบนภูเขาเหล็กไฟ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านที่น้องอาศัยอยู่เป็นระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร กลับเป็นข่าวดังอีกครั้ง หลังจากตำรวจใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีจำนวนมาก เป็นระยะเวลากว่า 1 ปี เต็ม 

จากระยะเวลาที่ยาวนาน ฝ่ายตำรวจกับอัยการคงต้องทำงานหนักในเรื่องการส่งฟ้องศาล เพราะทุกความเชื่อมโยงต้องไม่ให้เกิดความน่าสงสัยในพยานหลักฐาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตัวจำเลยในคดีอาญา เป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้ ตามคำกล่าวที่คนเรียนกฎหมายมักจะได้ยินบ่อย ๆ คือ “ปล่อยคนผิดไป 10 คน ดีกว่าจับผู้บริสุทธิ์มา 1 คน” และมีพยานหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ตำรวจค่อนข้างจะมั่นใจ เนื่องจากเป็นพยานหลักฐานที่ใช้นิติวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์ นั่นก็คือการใช้แสง “ซินโครตอน” ในการพิสูจน์ลักษณะความสอดคล้องกันของพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่เชื่อมโยงกับพยานหลักฐานที่พบในผู้ต้องสงสัย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์จะเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักมากที่สุด เนื่องจากเป็นหลักฐานที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกับพยานบุคคล ที่อาจะเปลี่ยนแปลงคำให้การได้ตลอดเวลา 

สำหรับวันนี้ จะพาทุกท่านมาดูกันว่า แสงซินโครตรอน คืออะไร และทำไมจึงใช้เป็นเครื่องมือในการพิสูจน์ตัวผู้กระทำความผิดได้ครับ 

แสงซินโครตอนคือแสงชนิดหนึ่ง ทั้งนี้โดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน เราจะได้พบเห็นแสงต่าง ๆ มากกมาย เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ แสงจากหลอดไฟ แสงจากดวงจันทร์ หรือแม้กระทั่งแสงจากหิงห้อย เป็นต้น แต่แสงซินโครตรอนที่จะพูดถึงนี้เป็นแสงที่มีลักษณะพิเศษกว่าแสงชนิดอื่น คือมีความเข้ม หรือความสว่างสูงกว่าแสงอื่นเป็นอย่างมาก โดยจะมีความเข้มของแสงมากกว่าแสงจากดวงอาทิตย์เป็นล้านเท่าเลยทีเดียว ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะของแสงจะเป็นลำกรวยขนาดเล็กทำให้มีความเข้มสูง นอกจากนี้แล้ว เนื่องจากแสงซินโครตรอนถูกปลดปล่อยออกมาจากอิเล็กตรอนอิสระ ค่าความยาวคลื่นของแสงจึงครอบคลุมช่วงความยาวคลื่นกว้างตั้งแต่ย่านอินฟราเรดจนถึงรังสีเอกซ์ ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลาย 

สำหรับแหล่งกำเนิดของแสงซินโครตรอนนั้น เกิดจากการกระตุ้นหรือเร่งให้อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง คือความเร็ว 1,080,000,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบังคับให้เลี้ยวโค้งด้วยความเร็วนั้น ในระหว่างที่เลี้ยวโค้งนั้นจะทำให้เกิดลำแสงที่มีลักษณะเป็นรูปทรงกรวยขนาดเล็ก หลุดออกมาในระหว่างโค้ง เปรียบเทียบได้กับการที่เวลามีอะไรวิ่งมาด้วยความเร็วสูง เมื่อเลี้ยวโค้งจะทำให้มีสิ่งของหลุดออกมาได้ในระหว่างที่เลี้ยวโค้ง เนื่องจากเกิดแรงเหวี่ยงขณะเลี้ยวโค้ง ซึ่งเครื่องที่ใช้กระตุ้นหรือเร่งให้อิเล็กตรอนมีความเร็วสูงนี้ เรียกว่าเครื่องซินโครตรอน จึงเรียกแสงที่เกิดจากกรณีนี้ว่าแสงซินโครตรอน นั่นเอง 

เนื่องจากลักษณะสมบัติของแสงซินโครตรอนที่มีความเข้มสูง และมีความยาวคลื่นกว้าง ทำให้สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายอย่าง ได้แก่การศึกษาองค์ประกอบของธาตุที่มีอยู่ในวัสดุ หรือการวิเคราะห์โครงสร้างของวัสดุต่าง ๆ โดย อาศัยหลักการ ทำให้แสงซินโครตรอนวิ่งผ่านเข้าไปกระตุ้นอะตอม ที่อยู่ภายในวัสดุที่จะวิเคราะห์ ทั้งนี้เนื่องจากแสงเป็นคลื่นชนิดหนึ่ง เมื่อแสงวิ่งผ่านวัสดุหรือสิ่งกีดขวาง จะทำให้เกิดการสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน หรือเกิดการกระเจิง และการดูดกลืนคลื่นแสงของวัสดุที่แสงวิ่งผ่าน

นอกจากนั้นการที่เรายิงแสงความเข้มสูงไปกระทบกับวัสดุก็ทำให้มีอิเล็กตรอนหลุดออกมาได้ เป็นไปตามทฤษฎีทางฟิสิกส์ของแสง ส่งผลให้มีการปลดปล่อยรังสีเอกซ์ออกมา ซึ่งสมบัติเหล่านี้จะเป็นลักษณะเฉพาะของวัสดุ หรือสสารแต่ละชนิดที่มีพฤติกรรมต่อสมบัติของแสง และเมื่อนำลักษณะเหล่านี้มาวิเคราะห์ผ่านเครื่องมือจะทำให้ทราบลักษณะโครงสร้าง หรือองค์ประกอบของวัสดุ แต่ละชนิดได้ 

ทั้งนี้ในการใช้แสงซินโครตรอนมาช่วยวิเคราะห์พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ อาศัยหลักการดังกล่าวข้างต้นของแสงซินโครตรอน มาตรวจสอบพยานหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ และพยานหลักฐานที่พบในตัวผู้ต้องสงสัย ว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ โดยในกรณีคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่นั้น เป็นการพิสูจน์พยานหลักฐานคือเส้นผมของน้องชมพู่ที่พบว่าถูกหั่นในที่เกิดเหตุ แล้วนำมาเปรียบเทียบกับเส้นผมที่พบในรถของผู้ต้องสงสัย ทั้งนี้พบว่าเป็นเส้นผมที่มีองค์ประกอบที่เหมือนกัน แสดงว่าเป็นเส้นผมของคนคนเดียวกัน นอกจากนั้นยังวิเคราะห์ได้ว่าลักษณะโครงสร้างของเส้นผมที่พบในทั้งสองจุด มีโครงสร้างที่เหมือนกันย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าเป็นเส้นผมของคนเดียวกัน ที่มาจากจุดที่เกิดเหตุเดียวกันอีกด้วย ทำให้ตำรวจมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนอีกชิ้นหนึ่ง ที่ทำให้ศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องสงสัยได้นั่นเอง 

โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อศึกษา และวิจัย รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากแสงซินโครตรอน คือสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) ซึ่งตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ครับ


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รู้เพื่อตั้งรับ 5+1 รูปแบบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภายหลังวิกฤติโควิด

มาตรการเร่งกระจายวัคซีนโควิด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ภายในประเทศขณะนี้ ทำให้เกิดการคาดการณ์จากหลายฝ่ายถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยที่จะกลับสู่ระดับเดิมเช่นก่อนเกิดวิกฤติ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประสิทธิภาพของนโยบายการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิดแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ นโยบายการเงิน การคลัง ที่ผ่อนปรนต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นำไปสู่การฟื้นตัวของภาคธุรกิจ และกำลังซื้อของภาคครัวเรือน ตลอดจนการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้แนวโน้มการฟื้นตัวยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และคาดเดาได้ยาก 

อย่างไรก็ตาม ตามหลักเศรษฐศาสตร์ได้อธิบายถึง 5 รูปแบบ ของการฟื้นตัวหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ได้แก่  V, U, W, Swoosh และ L-Shape ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากในขณะนี้ 

ที่มา ห้องเรียนนักลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (https://www.set.or.th/set/education/knowledgedetail.do?contentId=7516&type=article)

1.) การฟื้นตัวแบบ V-Shape (V-Shape Rebound) “ลงเร็ว ฟื้นเร็ว”

เป็นรูปแบบที่ถูกคาดหวังอยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด คือ เมื่อประเทศผ่านวิกฤติซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุดไปแล้ว เศรษฐกิจจะพลิกฟื้นกลับสู่ระดับเดิมได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการค้าระหว่างประเทศและรายได้จากการท่องเที่ยวที่ยังอาจไม่กลับมาฟื้นตัวในปีนี้ ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในลักษณะนี้มีความเป็นไปได้ยาก

2.) การฟื้นตัวแบบ U-Shape (U-Shape Rebound) “หดตัวนาน ฟื้นตัวช้า”

เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่อาจเป็นไปได้สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยมีรูปแบบคล้ายกับ V-Shape แต่แตกต่างตรงระยะเวลาของผลกระทบที่อาจนานกว่า ใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า ก่อนที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะกลับเข้าสู่ระดับเดิม ทั้งนี้การออกนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ตลอดจนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญถึงระยะเวลาที่เศรษฐกิจไทยจะสามารถผ่านพ้นช่วงฐานตัว U ไปได้ช้าเร็วเพียงใด

3.) การฟื้นตัวแบบ W-Shape (W-Shape Rebound) “ฟื้นเร็ว ดิ่งลงรอบสอง”

จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด หากเกิดการระบาดในระลอกใหม่อย่างรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ และรัฐบาลเลือกใช้มาตรการล็อกดาวน์ ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจมีรูปแบบ “ดับเบิ้ล ดิป” ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจหรือจุดที่ต่ำที่สุดอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น มาตรการผ่อนปรนที่ถูกใช้ในเวลาหรือสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวในรูปนี้ก็เป็นได้

4.) การฟื้นตัวแบบ Swoosh (Swoosh Rebound) “ไถลลงเร็ว ค่อยๆ ฟื้นตัว” หรือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตามแบบ “รูปเครื่องหมายไนกี้”

เป็นการไถลลงเร็วแบบตัว V และค่อยๆ ฟื้นตัว โดยการฟื้นตัวของนี้จะค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ มีลักษณะคล้ายกับเครื่องหมายถูกหางยาว ที่แสดงถึงการเติบโตอย่างเชื่องช้า แต่สุดท้ายเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้ก็ไปในแนวโน้มที่ดีและพุ่งขึ้นเหมือนเดิม ซึ่งเป็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตามการผ่อนปรนมาตรการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้การค้าทั้งภายในและระหว่างประเทศในช่วงแรกยังคงทำได้อย่างจำกัด

5.) การฟื้นตัวแบบ L-Shape (L-Shape Rebound) “หดตัวยาวนาน ไร้สัญญาณการฟื้นตัว” 

เป็นรูปแบบที่เลวร้ายที่สุด ที่เมื่อเศรษฐกิจปรับลดลงแล้ว อัตราการขยายตัวจะไม่สามารถกระตุ้นให้กลับมาเป็นปกติเท่ากับระดับก่อนหน้าเกิดวิกฤติได้ ทำให้ภาวะเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องยาวนาน และไม่รู้ว่า่จะกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้หรือไม่ ดังเช่น วิกฤติโลก Great Depression ที่ใช้เวลานานกว่า 10 ปี ในการฟื้นตัว ซึ่งการฟื้นตัวในรูปแบบนี้อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ และเกิดภาวะถดถอยในระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง 

นอกจากนี้ มีการกล่าวถึงรูปแบบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอีกรูปแบบหนึ่งเพิ่มเติม คือ รูปแบบ K-Shaped หรือ ตัวอักษร K ซึ่งแสดงถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจกลับสู่ระดับเดิมได้และขยายตัวต่อเนื่องในบางกลุ่ม (แทนหางของตัว K ที่ชี้ขึ้นไปข้างบน) ขณะเดียวกันสำหรับบางกลุ่มอาจยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ และยังคงเผชิญกับภาวะตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ (แทนหางของตัว K ที่ชี้ลงมาด้านล่าง)

ที่มา : บทความการฟื้นตัวแบบรูปตัว K ของเศรษฐกิจไทย: ในวิกฤตยังมีโอกาส ธนาคารแห่งประเทศไทย (https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_31May2021.aspx)

อย่างไรก็ตาม แสงสว่างปลายอุโมงที่อาจเริ่มมองเห็นได้ในขณะนี้ คงเป็นความหวังของทุกคนที่จะร่วมใจผ่านพ้นวิกฤติโควิดของประเทศในครั้งนี้ไปด้วยกัน

 

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.set.or.th/set/education/knowledgedetail.do?contentId=7516&type=article
https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_31May2021.aspx
https://www.prachachat.net/public-relations/news-521654
https://www.terrabkk.com/news/198705/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘Checkpoint Charlie’ (เช็กพอยท์ชาลี) จุดตรวจต่างแดน ตัวแทนการแบ่งแยก ในยุคสงครามเย็น

ในยุคสงครามเย็นมีเรื่องราวของ Checkpoint Charlie มากมายด้วยจุดตรวจผ่านแดนในอดีต ที่กั้นประชาชนชาวเยอรมัน 2 ฝ่าย คือฝั่งเสรีประชาธิปไตย (ฝั่งของเยอรมันตะวันตก) และฝ่ายคอมมิวนิสต์ (ฝั่งของเยอรมันตะวันออก) ซึ่งอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียต ปัจจุบันเมื่อรวมเป็นเยอรมันเดียวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 แล้ว Checkpoint Charlie จึงกลายเป็น Landmark ของกรุง Berlin ที่นักท่องเที่ยวต้องไปเยี่ยมชม เลยขอนำมาเขียนเป็นบทความนี้ครับ

Walter Ulbricht ผู้นำเยอรมันตะวันออกในขณะนั้นได้รับความเห็นชอบจากสหภาพโซเวียต ให้สร้างกำแพงเบอร์ลินในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961)

Checkpoint Charlie เป็นจุดตรวจผ่านแดนที่รู้จักกันดีที่สุดระหว่างเบอร์ลินตะวันออก และเบอร์ลินตะวันตกในช่วงสงครามเย็น (พ.ศ. 2490-2534) ตามที่พันธมิตรตะวันตกตั้งชื่อ Checkpoint Charlie เกิดจากการที่ Walter Ulbricht ผู้นำเยอรมันตะวันออกในขณะนั้นได้รับความเห็นชอบจากสหภาพโซเวียตให้สร้างกำแพงเบอร์ลินในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) เพื่อยุติการอพยพ และการหลบหนีไปเยอรมันตะวันตก เป็นการป้องกันการหลบหนีข้ามพรมแดนจากเบอร์ลินตะวันออกไปยังเบอร์ลินตะวันตก 

Checkpoint Charlie จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็น ซึ่งเป็นตัวแทนของการแบ่งแยกระหว่างเยอรมันตะวันออกกับเยอรมันตะวันตก รถถังโซเวียตและอเมริกันเคยเผชิญหน้ากันในช่วงเวลาสั้น ๆ ณ จุดนี้ในช่วงวิกฤต Berlin ปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) และเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2506 ประธานาธิบดี John F. Kennedy แห่งสหรัฐอเมริกาได้เยี่ยมชม Checkpoint Charlie และมองเข้าไปใน Berlin ตะวันออกจากแท่นบนกำแพง Berlin

ชาวเยอรมันตะวันออกหลบหนีออกจาก Berlin ตะวันออกด้วยวิธีการต่างๆ

ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 วิธีการจำกัดการย้ายถิ่นฐานของสหภาพโซเวียตได้รับการเลียนแบบโดยกลุ่มตะวันออกที่เหลือส่วนใหญ่ รวมทั้งเยอรมนีตะวันออกด้วย อย่างไรก็ตามในเยอรมนีที่ถูกยึดครองจนถึงปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) เส้นแบ่งระหว่างเยอรมนีตะวันออกกับเขตที่ถูกยึดครองทางตะวันตกส่วนใหญ่ยังคงสามารถข้ามไปมาได้อย่างง่ายดาย ต่อมาพรมแดนเยอรมันชั้นในระหว่างสองประเทศในเยอรมนีถูกปิด และมีการสร้างรั้วลวดหนามขึ้น

พรมแดนของเขต Berlin จึงเป็น "ช่องโหว่" ที่ประชาชนเยอรมันตะวันออกยังสามารถใช้หลบหนีได้

แม้หลังจากปิดพรมแดนเยอรมันชั้นในอย่างเป็นทางการในปี ปี พ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952) เขตแดนของเมือง Berlin ตะวันออกและ Berlin ตะวันตกยังคงสามารถข้ามไปมาได้ง่ายกว่าพรมแดนอื่น ๆ ที่เหลือ เนื่องจากถูกปกครองโดยพันธมิตรทั้งสี่ (สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และ สหภาพโซเวียต) ดังนั้น Berlin จึงกลายเป็นเส้นทางหลักที่ชาวเยอรมันตะวันออกออกอพยพเข้าเยอรมันตะวันตก ดังนั้นพรมแดนของเขต Berlin จึงเป็น "ช่องโหว่" ที่ประชาชนเยอรมันตะวันออกยังสามารถใช้หลบหนีได้

ทหารเยอรมันตะวันออก หลบหนีออกจาก Berlin ตะวันออก

ชาวเยอรมันตะวันออก 3.5 ล้านคน ที่อพยพออกมาในปี พ.ศ. 2504 คิดเป็นจำนวนรวมประมาณ 20% ของประชากรชาวเยอรมันตะวันออกทั้งหมด ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นมักเป็นเยาวชนและผู้ที่มีการศึกษาดี ความสูญเสียดังกล่าวเกิดขึ้น ทำให้จำนวนผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร ช่างเทคนิค แพทย์ ครู ทนายความ และช่างฝีมือ ไม่สมส่วนและขาดแคลน สภาวะสมองไหลของผู้เชี่ยวชาญได้ทำลายความน่าเชื่อถือทางการเมืองและความอยู่รอดทางเศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันออกอย่างมาก จำเป็นต้องจัดตั้งด่านและระบบการควบคุมชายแดนตามแบบสหภาพโซเวียต ระหว่างปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949)  ถึง พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) ชาวเยอรมันตะวันออกกว่า 2.5 ล้านคน หลบหนีไปยังเยอรมันตะวันตก และจำนวนเพิ่มขึ้นในช่วงสามปีก่อนที่กำแพง Berlin จะถูกสร้างขึ้น โดยมีจำนวน 144,000 คน ในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959), และ 199,000 คน ในปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) และ 207,000 คน ในช่วงเจ็ดเดือนแรกของปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) เศรษฐกิจของเยอรมันตะวันออกได้รับความเดือดร้อน และเสียหายอย่างมาก

กำแพงลวดหนามกลายเป็นกำแพงที่แยก Berlin ตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน ถูกสร้างขึ้นโดยเยอรมันตะวันออก

วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504 กำแพงลวดหนามกลายเป็นกำแพง ซึ่งแยก Berlin ตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน ถูกสร้างขึ้นโดยเยอรมันตะวันออก สองวันต่อมาวิศวกรของตำรวจและกองทัพเริ่มสร้างกำแพงคอนกรีตถาวรขึ้นตลอดแนวเขตแดนยาว 830 ไมล์ (1336 กม.) ข้างกำแพงนั้นกว้าง 3.5 ไมล์ (5.6 กม.) ทางด้านเยอรมันตะวันออกในบางส่วนของเยอรมนี โดยมีรั้วตาข่ายเหล็กสูงทอดยาวไปตาม "แถบมรณะ" ที่ล้อมรอบด้วยทุ่นระเบิด เช่นเดียวกับช่องทางไถดินเพื่อชะลอการหลบหนี และแสดงรอยเท้าได้ง่ายขึ้น

Checkpoint Charlie เป็นจุดผ่านแดนของกำแพง Berlin ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางแยก Friedrichstraße กับ Zimmerstraße และ Mauerstraße (ซึ่งด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ที่เก่ากว่านั้นบังเอิญหมายถึง 'Wall Street') อยู่ในย่าน Friedrichstadt โดย Checkpoint Charlie ถูกกำหนดให้เป็นจุดข้ามแห่งเดียว (ด้วยการเดินเท้าหรือโดยรถยนต์) สำหรับชาวต่างชาติและสมาชิกของกองกำลังพันธมิตร (สมาชิกของกองกำลังพันธมิตรไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้จุดผ่านแดนจุดอื่น ๆ ที่กำหนดไว้สำหรับใช้โดยชาวต่างชาติ เช่น สถานีรถไฟ Friedrichstraße)

ชื่อ Charlie มาจากตัวอักษร C ตามอักษรรหัสของ NATO ในทำนองเดียวกันสำหรับด่านอื่น ๆ ของฝ่ายสัมพันธมิตรบน Autobahn จากตะวันตก เรียกว่า Checkpoint Alpha ที่ Helmstedt และ Checkpoint Bravo ที่เทียบเท่ากันที่ Drelinden, Wannsee ตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้ของ Berlin และ โซเวียตเรียกว่า จุดผ่านแดน KPP Fridrikhshtr ชาวเยอรมันตะวันออกเรียก Checkpoint Charlie อย่างเป็นทางการว่า Grenzübergangsstelle ("Border Crossing Point") Friedrich-/Zimmerstraße

Cafe Adler ("Eagle Café") ตั้งอยู่ที่จุดตรวจ เป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการชม Berlin ตะวันออกขณะรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่ม

Checkpoint Charlie เป็นจุดตรวจที่กำแพง Berlin ที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด จึงปรากฏในภาพยนตร์และหนังสือ ร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงและจุดชมวิวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสัมพันธมิตร กองกำลังติดอาวุธ และผู้มาเยือน Cafe Adler ("Eagle Café") ตั้งอยู่ที่จุดตรวจ เป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการชม Berlin ตะวันออก ขณะรับประทานอาหารและดื่มเครื่องดื่ม

Checkpoint Charlie มีความไม่สมดุลอย่างน่าประหลาด ในช่วงที่ใช้งาน 28 ปี โครงสร้างพื้นฐานทางฝั่งตะวันออก ได้ขยายให้ครอบคลุมไม่เพียงแค่กำแพง หอสังเกตการณ์ และแนวซิกแซกเท่านั้น แต่ยังมีโรงจอดรถหลายช่องทางสำหรับตรวจสอบรถยนต์และผู้โดยสาร อย่างไรก็ตามผู้มีอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรไม่เคยสร้างอาคารถาวรใด ๆ เลย และสร้างขึ้นเป็นเพิงไม้ที่มีชื่อเสียง ซึ่งถูกแทนที่ในช่วงทศวรรษ 1980 ด้วยโครงสร้างโลหะที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พันธมิตรใน Berlin เหตุผลของพวกเขา คือพวกเขาไม่ได้ถือว่าเขตแดนของ Berlin ชั้นในเป็นพรมแดนระหว่างประเทศ

รถถังโซเวียตและอเมริกันเคยเผชิญหน้ากันในช่วงเวลาสั้น ๆ ณ จุดนี้ในช่วงวิกฤต Berlin ปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961)

ไม่นานหลังจากการก่อสร้างกำแพง Berlin ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2504 เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างรถถังสหรัฐและโซเวียตที่ด่านชาร์ลีทั้งสองด้าน เริ่มเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม จากข้อโต้แย้งว่า เจ้าหน้าที่รักษาชายแดนของเยอรมันตะวันออกได้รับอนุญาตให้ตรวจสอบเอกสารการเดินทางของนักการทูตสหรัฐฯ ที่อยู่ใน Berlin ตะวันตกชื่อ Allan Lightner มุ่งหน้าไปยัง Berlin ตะวันออกเพื่อชมการแสดงโอเปร่าที่นั่นหรือไม่ เนื่องจากตามข้อตกลงระหว่างทุกฝ่าย สี่มหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรที่ยึดครองเยอรมนี จะต้องอนุญาตให้กองกำลังพันธมิตรในกรุง Berlin เดินทางได้อย่างอิสระเสรี และไม่มีกองกำลังทหารเยอรมัน จากทั้งเยอรมนีตะวันตกหรือเยอรมนีตะวันออกมาประจำการในตัวเมือง และยิ่งไปกว่านั้นสหรัฐอเมริกา (ในขั้นต้น) ไม่ได้ยอมรับความเป็นรัฐตะวันออกของเยอรมนี และสิทธิที่จะคงอยู่ในเมืองหลวง Berlin ตะวันออกที่ประกาศตนเอง ในทางกลับกัน ชาวอเมริกันยอมรับเพียงอำนาจของโซเวียตเหนือเบอร์ลินตะวันออก มากกว่าความเป็นเยอรมันตะวันออก 

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2504 รถถังโซเวียตสิบคันและรถถังอเมริกันจำนวนเท่ากันจอดห่างกัน 100 หลา ณ จุดตรวจทั้งสองฝั่ง การเผชิญหน้าครั้งนี้สิ้นสุดลงด้วยความสงบในวันที่ 28 ตุลาคม หลังจากการทำความเข้าใจระหว่างสหรัฐฯ-โซเวียตในการถอนรถถังและลดความตึงเครียด การเจรจาระหว่างรัฐมนตรียุติธรรม (อัยการสูงสุด) ของสหรัฐอเมริกา Robert F. Kennedy และหัวหน้า KGB Georgi Bolshakov มีส่วนอย่างสำคัญในการบรรลุข้อตกลงนี้โดยปริยาย

พลเมืองของเยอรมันตะวันออกได้ขับรถฝ่าสิ่งกีดขวางด้วยรถเปิดประทุน โดยถอดกระจกบังลมออกก่อน และพุ่งลอดใต้ที่กั้น

กำแพง Berlin ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วโดยรัฐบาลเยอรมันตะวันออกในปี พ.ศ. 2504 แต่มีวิธีการหลบหนีมากมายที่ไม่คาดคิด ตัวอย่างเช่น Checkpoint Charlie ในขั้นต้นถูกปิดกั้นโดยประตูเท่านั้น และพลเมืองของเยอรมันตะวันออกได้ขับรถฝ่าผ่านเข้าไปเพื่อหลบหนี จึงมีการสร้างเสาที่แข็งแรงมั่นคง ผู้หลบหนีอีกคนหนึ่งพยายามฝ่าสิ่งกีดขวางด้วยรถเปิดประทุน โดยถอดกระจกบังลมออกก่อน และพุ่งลอดใต้ที่กั้น สิ่งนี้ถูกทำซ้ำในอีกสองสัปดาห์ต่อมา ดังนั้นเยอรมันตะวันออกจึงลดความสูงของเครื่องกั้น และเพิ่มเสากั้นให้มากขึ้น

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2505 Peter Fechter วัยรุ่นชาวเยอรมันตะวันออกถูกยิงที่กระดูกเชิงกรานโดยทหารเยอรมันตะวันออกขณะพยายามหลบหนีจาก Berlin ตะวันออก ร่างของเขาติดอยู่ในรั้วลวดหนาม และเลือดออกจนตาย ในมุมมองของสื่อทั่วโลกทหารอเมริกันไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ เพราะเขาอยู่ในเขตโซเวียตไม่กี่เมตร ทหารรักษาการณ์ชายแดนของเยอรมันตะวันออกไม่เต็มใจที่จะเข้าไปช่วยเขา เพราะเกรงว่าจะเป็นการยั่วยุทหารฝั่งตะวันตก ซึ่งหนึ่งในนั้นได้ยิงตำรวจชายแดนของเยอรมันตะวันออกเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมาร่างของ Fechter ก็ถูกทหารเยอรมันตะวันออกนำออกมา การประท้วงเกิดขึ้นเองที่จุดตรวจฝั่งอเมริกัน เป็นการประท้วงต่อต้านการกระทำของตะวันออกและความเฉยเมยของตะวันตก

อนุสรณ์สถานสงครามโซเวียต ซึ่งตั้งอยู่ใน Tiergarten ในเขตของอังกฤษ (ในขณะนั้น)

สองสามวันต่อมา ฝูงชนขว้างก้อนหินใส่รถบัสของสหภาพโซเวียตที่ขับไปยังอนุสรณ์สถานสงครามโซเวียต ซึ่งตั้งอยู่ใน Tiergarten ในเขตของอังกฤษ โซเวียตซึ่งพยายามคุ้มกันรถบัสด้วยรถหุ้มเกราะ (APCs) หลังจากนั้น โซเวียตได้รับอนุญาตให้ข้ามได้เฉพาะทางข้ามสะพาน Sandkrug (ซึ่งใกล้ Tiergarten ที่สุด) และห้ามมิให้นำรถหุ้มเกราะ (APCs) เข้ามา หน่วยทหารเยอรมันตะวันตกถูกส่งไปปฏิบัติการในตอนกลางดึกของต้นเดือนกันยายน พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์และยานพาหนะเพื่อบังคับใช้คำสั่งห้าม

คืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ส่วนหนึ่งของกำแพง Berlin ถูกเปิดออก

ในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) ส่วนหนึ่งของกำแพง Berlin ถูกเปิดออก แม้ว่ากำแพง Berlin จะถูกรื้อทุบในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2532 และ ส่วนที่กำบังของ Checkpoint Charlie ถูกรื้อออกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2533 เพิงตรวจของ Checkpoint Charlie ยังคงเป็นจุดผ่านแดนอย่างเป็นทางการสำหรับชาวต่างชาติและนักการทูต จนกระทั่งการรวมชาติเยอรมันสำเร็จในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2533 Checkpoint Charlie ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของกรุง Berlin ที่ซึ่งเศษชิ้นส่วนของจุดผ่านแดนดั้งเดิมบางส่วนผสมกับชิ้นส่วนที่สร้างขึ้นใหม่ เป็นอนุสรณ์สถานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว อาคารหลังที่สองในฝั่งอเมริกันถูกย้ายออกไปในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) 

เพิงตรวจปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ของพิพิธภัณฑ์พันธมิตรใน Berlin-Zehlendorf ป้อมยามจำลองและป้ายที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดผ่านแดนถูกสร้างใหม่ในภายหลัง ในขนาดเดียวกันโดยคร่าว ๆ คล้ายกับเรือนยามหลังแรกที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2504 โดยอยู่หลังแนวกั้นกระสอบทราย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ป้อมนี้ถูกแทนที่หลายครั้งด้วยป้อมยามที่มีขนาดและรูปแบบต่างกัน ที่ถูกรื้อออกระหว่างปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) มีขนาดใหญ่กว่าอันแรกมาก และไม่มีกระสอบทราย นักท่องเที่ยวเคยสามารถถ่ายรูปได้โดยเสียค่าธรรมเนียม โดยมีนักแสดงที่แต่งตัวเป็น ตำรวจ ทหารฝ่ายพันธมิตรยืนอยู่หน้าป้อม แต่ทางการ Berlin ได้สั่งห้ามในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) โดยระบุว่านักแสดงได้เอาเปรียบนักท่องเที่ยวด้วยการเรียกร้องเงินเพื่อถ่ายรูป

ชิ้นส่วนและเศษซากของกำแพง Berlin ถูกนำมาตั้งแสดง

เส้นทางของกำแพงและชายแดนเดิม ตอนนี้ถูกทำเครื่องหมายไว้ที่ถนนด้วยหินปูถนน การจัดแสดงกลางแจ้งเปิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี พ.ศ. 2549 ผนังห้องแสดงภาพตามถนน Friedrichstraße และ Zimmerstraße แสดงข้อมูลเกี่ยวกับความพยายามในการหลบหนี การขยายจุดตรวจ และความสำคัญในช่วงสงครามเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้าของรถถังโซเวียตและอเมริกาในปี พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) นอกจากนี้ยังมี Gallery รวมภาพของอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการแบ่งประเทศเยอรมนีและกำแพง Berlin

Checkpoint Charlie ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000)

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้มีการรื้อถอนหอสังเกตการณ์ของเยอรมันตะวันออกในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) เพื่อเปิดทางสำหรับสำนักงานและร้านค้าต่าง ๆ หอสังเกตการณ์เป็นอาคารสุดท้ายของ Checkpoint Charlie ดั้งเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ เทศบาลกรุง Berlin พยายามรักษาหอคอยไว้แต่ล้มเหลว เนื่องจากไม่ได้ถูกจัดให้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ กระนั้น โครงการพัฒนานั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงจนถึงทุกวันนี้ พื้นที่ระหว่าง Zimmerstraße และ Mauerstraße/Schützenstraße (จุดผ่านแดนทางฝั่งเยอรมันตะวันออก) ยังคงว่างอยู่ทำให้มีพื้นที่สำหรับนักท่องเที่ยวและอนุสรณ์สถานชั่วคราวจำนวนมาก แผนใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 บนเว็บไซต์สำหรับโครงการโรงแรมทำให้เกิดการถกเถียงทางการเมืองเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่อย่างเหมาะสม หลังจากการขึ้นทะเบียนสถานที่สุดท้ายให้เป็นพื้นที่มรดกที่ได้รับการคุ้มครองในปี พ.ศ. 2561 แผนต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปในแนวทางที่เป็นมิตรต่อความเป็นมรดกที่ได้รับการคุ้มครองมากขึ้น

นิทรรศการ “BlackBox Cold War”

นิทรรศการ “BlackBox Cold War” ได้จุดประกายให้กับรัฐบาลเยอรมันและนคร Berlin ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 การจัดแสดงกลางแจ้งฟรี นำเสนอส่วนกำแพง Berlin ดั้งเดิม และข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ทางประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม การจัดแสดงในร่มแสดงให้เห็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของ Berlin ด้วยสถานีสื่อ 16 แห่ง โรงภาพยนตร์ วัตถุสิ่งของ และเอกสารต้นฉบับ (ซึ่งต้องเสียค่าเข้าชม) ดำเนินการโดย NGO Berliner Forum fuer Geschichte und Gegenwart e.V.

พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie

พิพิธภัณฑ์ Checkpoint Charlie ใกล้กับที่ตั้งของป้อมยามคือ Haus am Checkpoint Charlie " พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie" เปิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2506 ใกล้กับกำแพง Berlin แสดงให้เห็นภาพถ่าย และเรื่องราวของการแบ่งแยกเยอรมนี ป้อมชายแดนและ "ความช่วยเหลือของผู้มีอำนาจที่ปกป้อง" แสดงไว้ นอกจากภาพถ่ายและเอกสารประกอบความพยายามในการหลบหนีที่ประสบความสำเร็จแล้ว ยังมีการจัดแสดงอุปกรณ์หลบหนี เช่น บอลลูนลมร้อน รถหนีภัย ลิฟต์เก้าอี้ และเรือดำน้ำขนาดเล็ก ตั้งแต่ตุลาคม พ.ศ. 2547 ถึงกรกฎาคม พ.ศ. 2548 มีอนุสรณ์สถานเสรีภาพ (The Freedom Memorial) ซึ่งประกอบด้วยส่วนผนังดั้งเดิมและไม้กางเขนที่ระลึก 1,067 อันตั้งอยู่บนพื้นที่ (เช่า) พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie ดำเนินการโดยสมาคม Arbeitsgemeinschaft 13 สิงหาคม สมาคมจดทะเบียนก่อตั้งโดย Dr. Rainer Hildebrandt ผู้จัดการคือ Alexandra Hildebrandt ภรรยาม่ายของผู้ก่อตั้ง พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในอาคาร "House at Checkpoint Charlie" โดยสถาปนิก Peter Eisenman ด้วยผู้เข้าชม 850,000 คนในปี พ.ศ. 2550 พิพิธภัณฑ์ Haus am Checkpoint Charlie จึงเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดของนคร Berlin และเยอรมนี 

ไม้กางเขนที่ระลึก 1,067 อัน ใน The Freedom Memorial

Checkpoint Charlie มีบทบาทในการจารกรรมในยุคสงครามเย็นและนวนิยายและภาพยนตร์ทางการเมือง ตัวอย่างบางส่วน ได้แก่ 

James Bond (แสดงโดย Roger Moore) กับ Checkpoint Charlie

- James Bond (แสดงโดย Roger Moore) เดินผ่าน Checkpoint Charlie ในภาพยนตร์ 007 ตอน Octopussy (1983) จากเยอรมันตะวันตกไปเยอรมันตะวันออก

- Checkpoint Charlie เป็นจุดเด่นในฉากเปิดของภาพยนตร์ปี 1965 เรื่อง The Spy Who Came in from the Cold (นำแสดงโดย Richard Burton และ Claire Bloom) ซึ่งสร้างจากนวนิยายของ John le Carré ที่มีชื่อเดียวกัน

Francis Gary Powers (ซ้าย) กับ Rudolf Abel (ขวา)

- ในภาพยนตร์ Bridge of Spies นักศึกษาชาวอเมริกัน Frederic Pryor ที่ถูกคุมขังได้รับการปล่อยตัวที่ Checkpoint Charlie โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อแลกเปลี่ยนตัว Francis Gary Powers นักบินของ U-2 กับ Frederic Pryor โดยแลกกับ Rudolf Abel สายลับโซเวียตที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด การปล่อยตัวไพรเออร์เกิดขึ้นนอกจอในขณะที่การแลกเปลี่ยน Francis Gary Powers กับ Rudolf Abel เกิดขึ้นที่สะพาน Glienicke

เกมอินดี้ Papers Please โดย Lucas Pope

- Checkpoint Charlie เป็นแรงบันดาลใจให้กับเกมอินดี้ Papers Please โดย Lucas Pope ที่ซึ่งผู้เล่นทำหน้าที่ของหน่วยยามชายแดนสำหรับเวอร์ชั่นสมมติของ Berlin ตะวันออก

ฉากเปิดตัวของ The Man from U.N.C.L.E ณ Checkpoint Charlie

- นอกจากนี้ยังปรากฎในฉากเปิดตัวของ The Man from U.N.C.L.E ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) อีกด้วย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เกร็ดกฎหมายจากคดีน้องชมพู่

สัปดาห์ที่ผ่านมา คดีการเสียชีวิตปริศนาของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายตัวจากบ้าน ในหมู่บ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งเมื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการออกหมายจับ “นายไชย์พล วิภา” หรือ “ลุงพล” ลุงเขยของน้องชมพู่หลังจากที่ได้มีการลงพื้นที่เก็บหลักฐาน และสอบปากคำพยานมานานกว่า 1 ปี 

โดยเจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อหาลุงพล 3 ข้อหาด้วยกัน คือ

1.) พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร

2.) ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และ

3.) กระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

ผมคงไม่สามารถฟันธงได้ว่าลุงพลจะผิดตามข้อกล่าวหาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับหรือไม่ เพราะผมไม่ได้มีส่วนร่วมในคดีนี้แต่อย่างใด

แต่ที่จะนำมาเล่าให้ฟัง คือ เกร็ดความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย เพื่อที่จะให้ผู้ที่ติดตามคดีนี้ได้เข้าใจมากขึ้นถึงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ มาลองติดตามอ่านกันไปทีละประเด็นนะครับ

ตอนนี้ลุงพลมีสถานะเป็น “ผู้ต้องหา” หรือ “จำเลย” ในคดีน้องชมพู่

ความแตกต่างระหว่าง ผู้ต้องหา กับ จำเลย คือ ผู้ต้องหา หมายถึง บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด แต่ยังไม่ได้ดำเนินการฟ้องศาล ส่วนจำเลย หมายถึงบุคคลซึ่งถูกฟ้องศาลว่าได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหานั้นแล้ว

ดังนั้น ตอนนี้ลุงพลจึงมีสถานะเป็นเพียงผู้ต้องหา เนื่องจากคดีนี้ลุงพลยังไม่ถูกฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งกว่าคดีจะไปสู่ศาลนั้น ลุงพลยังมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหาทั้งในชั้นเจ้าพนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการ ซึ่งอาจจะมีคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องก็ได้

ทำไมลุงพลถึงถูกออกหมายจับ

ตามปกติแล้ว หากไม่ใช่กรณีที่เป็นความผิดซึ่งหน้า ตำรวจจะต้องไปขอศาลเพื่อออกหมายจับเสียก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าศาลจะออกหมายจับให้ในทุกกรณี 

โดยศาลจะพิจารณาออกหมายจับให้ก็ต่อเมื่อมีเหตุตามที่กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดไว้ ดังนี้
(1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หรือ

(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญา และมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น

ซึ่งในกรณีของลุงพลนี้ ศาลคงได้พิจารณาจากพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วเชื่อว่าลุงพลน่าจะได้กระทำความผิด และโทษตามข้อกล่าวหานั้นก็มีอัตราโทษสูงเกิน 3 ปี

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ลุงพลถูกออกหมายจับ ก็ไม่ได้หมายความว่าลุงพลมีความผิดตามข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด 

ลุงพลเป็นผู้ต้องหาและถูกออกหมายจับแล้ว ทำไมถึงบอกว่าลุงพลยังไม่มีความผิด

ที่บอกว่าลุงพลยังไม่มีความผิดนั้น เป็นเพราะ ตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศบัญญัติเอาไว้ว่า 

“ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษา อันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้”

ดังนั้น เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าลุงพลเป็นผู้กระทำผิด เราจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าตอนนี้ลุงพลยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่นั่นเอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะปฏิบัติต่อลุงพลเสมือนว่าเป็นผู้กระทำความผิดแล้วไม่ได้

ทำไมลุงพลถึงไม่ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา 

มีหลายคนสงสัยว่า การที่ตำรวจดำเนินคดีกับลุงพล 3 ข้อหา โดยไม่มีการตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตนั้นเป็นเพราะอะไร 

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ในการดำเนินคดีนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำไปตามพยานหลักฐานที่มี แม้ว่าจะน้องชมพู่จะเสียชีวิตจริง แต่ถ้าไม่มีพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงได้ว่าลุงพลเป็นผู้ลงมือทำ หากคดีขึ้นสู่ชั้นศาล ข้อกล่าวหานั้นก็จะถูกหักล้างได้โดยง่าย

เนื่องจากในการดำเนินคดีอาญานั้น หากมีเหตุอันควรสงสัย ศาลจะต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้กับจำเลย ซึ่งเป็นไปตามหลักการของกฎหมายที่ว่า 

“ปล่อยคนผิดสิบคน ดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์หนึ่งคน”


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เยือน ‘อิสตันบูล’ (Istanbul) เมืองคูลๆ ที่ผสมผสานมหานคร ทั้ง 2 ทวีป อย่างมีเสน่ห์

ทั้งที่ยังไม่เคยได้ไปเยือนซานฟรานซิสโก แต่ความคิดแว้บแรกเมื่อไปถึงอิสตันบูล ผมรู้สึกว่าคล้ายเมืองริมทะเลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียนี้มาก อาจจะเพราะเคยดูหนังที่มีฉากเมืองซานฟรานซึ่งมีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน เช่นเป็นเมืองใหญ่ติดทะเล บ้านเรือนปลูกสร้างลดหลั่นกันไปตามเนินเขา ถนนหนทางคดเคี้ยวและบางช่วงชัน มองเห็นวิวทะเลได้แต่ไกลจากหลายมุม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม อิสตันบูลก็คืออิสตันบูล (และซานฟรานซิสโก ก็คือซานฟรานซิสโก) ยังคงมีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดมากขึ้น

คนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าอิสตันบูลคือเมืองหลวงของตุรกี ที่จริงอังการาซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศต่างหากคือศูนย์กลางการเมืองการปกครองของประเทศนี้ แต่ด้วย “ความขลัง” กว่า ในแง่ที่มีประชากรหนาแน่นกว่าสิบห้าล้านคน นับว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังตั้งอยู่ ณ รอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป โดยมีช่องแคบบอสพอรัสกั้นไว้ ทำให้วัฒนธรรมและศาสนาของทั้งโลกตะวันออกและตะวันตก คลุกเคล้ากันผ่านช่วงเวลายาวนาน ถ้าสาวประวัติเมืองย้อนกลับไปก็คงตั้งแต่สมัยสองพันกว่าปีก่อนในยุคที่เรียกว่าไบแซนไทน์ อิสตันบูลในยุคนั้นมีชื่อว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิล จักรวรรดินี้ยืนยงคงกระพันนับพันปีและถือว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่พวกออตโตมันซึ่งเป็นมุสลิม และอิทธิพลอิสลามก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อนำภาพในอดีตมาปะติดปะต่อเข้ากับสภาพเมืองในปัจจุบันก็พบว่าประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยหลักที่สร้างมนต์เสน่ห์ให้กับเมืองนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับภูมิทัศน์สวยงาม สถาปัตยกรรมเก่าแก่ผสมผสานหลายยุคสมัย ยิ่งทำให้ใครก็ตามที่ได้มาเยือนอิสตันบูลตกหลุมรักเมืองนี้อย่างง่ายดายยามแรกพบเลยทีเดียว

อิสตันบูลเป็นเมืองทันสมัย สามารถเดินทางสัญจรภายในเขตต่าง ๆ โดยเลือกใช้ขนส่งมวลชนหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า เรือข้ามฟาก รถราง รถบัส ซึ่งเมื่อซื้อบัตรโดยสารใบเดียวก็สามารถใช้ได้กับทุกระบบขนส่ง หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากกว่าก็ใช้บริการแท็กซี่กับ Grab แต่วิธีดีที่สุดที่จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของสิ่งละอันพันละน้อย ก็คือการเดินนั่นเอง ยิ่งใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปจะรื่นรมย์เดินชมเมืองมาก จะทอดน่องไปตามตรอกซอยน้อยใหญ่ เดินเล่นบนบาทวิถีริมทะเล เดินข้ามสะพานที่เต็มไปด้วยชายนักหย่อนเบ็ดตกปลา หรือเบียดแทรกตัวเองท่ามกลางฝูงคนในย่านช้อปปิ้งล้วนให้ความเพลิดเพลินทั้งนั้น บรรดาแลนด์มาร์กและสถานที่น่าสนใจกระจายตัวในระยะเดินถึง ถ่ายรูปวิวสลับกับการสังเกตการใช้ชีวิตตามปกติของชาวเมือง หรือนั่งพักแล้วสังเกตอากัปกิริยาผู้คนที่เดินผ่านไปมาทั้งหลายก็เพลินดี

ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวมักไม่พลาดการไปชมงานสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นอลังการงานสร้างสองแห่งซึ่งอยู่ในเขตเมืองเก่าสุลต่านอาห์เม็ด ได้แก่สุเหร่าสีน้ำเงินและฮาเกียโซเฟีย แม้ศาสนสถานทั้งสองจะสร้างในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ประกอบพิธีทางศาสนาที่แตกต่างกัน แต่มองผิวเผินแต่ไกลกลับให้ความรู้สึกเหมือนอาคารฝาแฝดเพราะมีรูปทรงค่อนข้างคล้ายคลึงกัน

แต่ละช่วงของวันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายที่แตกต่างกันด้วย ช่วงกลางวันที่แดดจัดจ้าจะเห็นน้ำทะเลใสสีฟ้า ฝูงนกนางนวลโฉบเฉี่ยวร่าเริง แมวจรทั้งหลายต่างย่องขึ้นไปบนหลังคาบ้าน หรือไม่ก็แอบอยู่ตามมุมถนน ส่วนบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำนั้นโรแมนติกกว่ามาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครที่เดินทางคนเดียวจะเกิดอาการเหงาจับใจเวลามองพระอาทิตย์ตกทะเลแต่อย่างใด เพราะแสงเงาบนท้องฟ้าสลับสีตระการตา คล้ายกำลังนั่งมองศิลปินผู้มีฝีมือล้ำเลิศละเลงสีเหลืองแดงชมพูม่วงส้มลงบนผืนผ้าใบชิ้นใหญ่มหาศาล ก็ทำให้หัวใจคับพองและ “อิ่ม” ได้เช่นกัน

ของคาวที่หาทานง่าย มีอยู่แทบทุกมุมเมืองคือเคบับ หิวเมื่อไหร่ก็แวะซื้อแล้วเดินทานไปด้วย เมนูปลาใกล้สะพานกาลาตาก็เด็ดไม่แพ้กัน หรือถ้าต้องการทานอาหารตุรกีที่มีความหลากหลายกว่าก็สามารถเลือกนั่งในร้านอาหารชนิดกินกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ได้ ของหวานขึ้นชื่อเห็นจะเป็นไอศกรีมตุรกี จุดเด่นนอกจากจะเป็นความเหนียวหนึบแล้ว พ่อค้าไอศกรีมยังใช้มุกหลอกลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาว ๆ และเด็ก ๆ (มุกเก่าแต่ใช้ได้ตลอด) 

ในขณะที่ของหวานอันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างคือบักลาวา หาซื้อได้ทั่วไปตามตลาด เปรียบเทียบแล้วน่าจะคล้ายกับใครมาเที่ยวเชียงใหม่ก็มักจะหาซื้อขนมกะละแมไปฝากเพื่อนฝูงญาติมิตรนั่นเอง ในส่วนของเครื่องดื่มยอดนิยมนั้นหนีไม่พ้นชาตุรกีซึ่งเสิร์ฟกันในแก้วทรงคอดตรงกลาง และกาแฟซึ่งต้มในภาชนะโลหะมีด้ามจับที่เรียกว่าอีบริก เสิร์ฟในถ้วยเซรามิกเล็ก เวลาจะจิบชาหรือกาแฟก็มักเติมน้ำตาลลงไปด้วยสักช้อนชาเพื่อตัดความขม และแม้จะเป็นประเทศมุสลิม แต่ก็มีความเป็นเสรีนิยมค่อนข้างสูง ดังนั้น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลายอย่างเหล้าเบียร์หรือไวน์ก็ยังสามารถหาจิบได้โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

ที่พักหาไม่ยากและมีทุกระดับตั้งแต่ดาวเดียวถึงทะลุห้าดาว ในสมัยที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟู นักเดินทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกทุนต่ำแบกเป้ มักพกโลนลี่แพลเน็ต เสมือนคัมภีร์นำทาง เพราะมีข้อมูลที่จำเป็นแทบทุกอย่าง แต่ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวแทบทั้งหมดหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ที่พักก็จองผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ จะพักที่ไหนจะกินอะไรก็ดูรีวิวเอา ร้านไหนสถานที่อะไรคนนิยมมาก ๆ ก็ต้องไปเช็คอินเมื่อไปถึง นักท่องเที่ยววัยรุ่นขาโจ๋ผู้นิยมสังสรรค์ปาร์ตี้จนดึกดื่น มักเลือกพักโฮสเทลในย่านทักซิม ซึ่งเต็มไปด้วยร้านรวงสมัยใหม่และผับบาร์อึกทึก มีถนนคนเดินเหมาะสำหรับคนเสพติดการช้อปปิ้งเป็นที่สุด ในขณะที่ย่านสุลต่านอาห์เม็ดนั้นเหมาะสำหรับคนชอบความสงบ พวกผู้ใหญ่ คนสูงวัย นักเดินทางผู้รักความสันโดษ หรือคู่รักฮันนีมูนน่าจะชอบย่านเมืองเก่านี้มากกว่า 

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นเพียง “น้ำจิ้มชิมลาง” เท่านั้น เพราะยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่น่าสนใจ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นฉันใด อยากรู้ว่าอิสตันบูลมีเสน่ห์มากแค่ไหนก็ต้องมาให้เห็นด้วยตัวเองนะครับ 


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ส่อง 'เวียดนาม' ตลาดเงินดิจิทัลสุดร้อนแรง แห่งย่านอาเซียน

จากปรากฏการณ์ตื่นเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ โดยเฉพาะ บิทคอยน์ที่มูลค่าสูงขึ้นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา ดึงกระแสนักลงทุนที่ต่างพร้อมใจถลกแขนเสื้อ กระโดดลงมาเล่นในตลาดเงินดิจิตอลกันอย่างคึกคัก ไม่เว้นแม้แต่บ้านเราที่มีการพูดคุยกันถึงทิศทางการลงทุนในตลาดเงินคริปโตกันแบบรายวันไม่แพ้ตลาดหุ้น 

แต่ใครจะคาดคิดว่า ตลาดในประเทศเพื่อนบ้านย่านอาเซียนของเรากลับจริงจังในการลงทุนในคลังคริปโตเคอร์เรนซียิ่งกว่า จนมีสัดส่วนการถือครองเงินดิจิตอลที่มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก 

ประเทศที่กำลังพูดถึงนี้ก็คือ เวียดนาม 

จากการสำรวจของ Statista Global Consumer Survey ในปี 2020 พบว่าประเทศที่มีสัดส่วนประชาชนที่ถือครอง หรือใช้เงินคริปโตเคอร์เรนซี่ในการแลกเปลี่ยน ซื้อขายจริง ๆ ในโลก อันดับ 1 คือ ไนจีเรีย อยู่ที่ 32%  ส่วนอันดับ 2 ตกเป็นของเวียดนาม 21% และที่ 3 ก็ยังเป็นประเทศในย่านอาเซียน คือ ฟิลิปปินส์ 20%  ซึ่งห่างจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างมาก ที่มีสัดส่วนผู้ถือเงินดิจิตอลเพียง 6% 

นับว่าเวียดนาม และฟิลิปปินส์ มีการใช้สกุลเงินดิจิตอล นอกเหนือจากเงินประจำชาติของตนแพร่หลายมากกว่าใคร ๆ ในอาเซียน

แต่หากเทียบกันระหว่าง เวียดนาม กับ ฟิลิปปินส์ กับนโยบายด้านการเงิน การธนาคารของทั้ง 2 ประเทศ ก็พบว่ามีความแตกต่างกันตรงที่ รัฐบาลฟิลิปปินส์เปิดกว้างในการใช้เงินคริปโตในระบบการเงินมากกว่าเวียดนามอย่างมาก 

ธนาคารกลางของฟิลิปปินส์อนุมัติการซื้อ - ขายเงิน

คริปโตเคอร์เรนซีหลากหลายสกุลได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย แถมรัฐบาลยังลงมาร่วมเป็นเจ้ามือเองด้วยการพัฒนาระบบบล็อคเชนของตัวเอง ที่เรียกว่า bonds.ph ร่วมกับธนาคาร Unionbank และนำพันธบัตรรัฐบาลออกขายผ่านระบบบล็อคเชนนี้ด้วย และยังมีการติดตั้ง Bitcoin ATM ในใจกลางกรุงมะนิลาอีกต่างหาก

แต่สำหรับรัฐบาลสังคมนิยมแบบเวียดนาม ไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนทิ้งเงินดอง ไปถือครองเงินดิจิตอลขนาดนั้น แถมในช่วงแรก ๆ ที่มีกระแสเงินบิทคอยน์ในเวียดนาม รัฐบาลยังออกมาเตือนถึงความเสี่ยง และยังไม่อนุญาตให้ใช้คริปโตซื้อขายสินค้าได้ในตลาดจริง แต่ทำไมตลาดเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ในเวียดนาม ยังคงคึกคัก แซงหน้าเป็นเบอร์ 1 ในอาเซียนได้อย่างไร

ถึงแม้ว่ารัฐบาลเวียดนามจะห้ามใช้คริปโตเคอร์เรนซี ในระบบเงินสดดั้งเดิม แต่ก็ไม่ได้ห้ามให้ "ขุด" ชาวเวียดนามก็สามารถเปิดเหมืองขุดคริปโตกันได้อย่างเต็มที่เท่าที่อยากจะขุด ดังนั้นจุดเริ่มต้นของกระแสคริปโตบูมในเวียดนาม จึงมาจากสายขุด ไม่ใช่สายเทรด ที่ทำให้มียอดการสั่งซื้อเครื่องขุดเงินดิจิตอล หรือในบ้านเราเรียกว่าเครื่อง "เสียบปลั๊กรับตังค์" ในเวียดนามเป็นจำนวนมาก

ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา มียอดนำเข้าเครื่องขุดเหรียญคริปโต ไม่ต่ำกว่า 7,000 เครื่อง และสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่นอกเหนือจากการตั้งหน้า ตั้งตาขุดเพื่อเก็งกำไรแล้วยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวเวียดนามมีทักษะคติในแง่ดีกับการมีอยู่ของเงินคริปโต อาจมาจากระเบียบข้อบังคับด้านการเงินที่เข้มงวดอย่างมากในประเทศ 

เลยทำให้การถือครองเงินดิจิตอลของชาวเวียดนามกลายเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพส่วนบุคคล ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโอนเงิน แลกเปลี่ยนทำธุรกรรมกับต่างประเทศ ที่สามารถทำได้รวดเร็วกว่าผ่านธนาคารที่มีขั้นตอนเยอะ และต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยรัฐบาลเวียดนาม

จนทำให้ทุกวันนี้มีชาวเวียดนามมากกว่า 1 ล้านคนที่ถือบัญชีกระเป๋าเงินคริปโตที่ใช้งานอยู่ประจำ และยังนิยมเทรดเงินคริปโตในแพลตฟอร์มต่างประเทศแม้จะไม่มีภาษาเวียดนามรองรับ เช่น Poloniex และ Bittrex ที่พบชาวเวียดนามล็อคอินเข้าทำการซื้อขายในระบบสูงมากติดอันดับต้นๆของลูกค้าจากหลากหลายประเทศทั่วโลกจนนักวิเคราะห์การเงินมองว่า ตลาดเงินดิจิตอลในเวียดนามจะเติบโตได้อีกมาก และอาจเพิ่มได้อีกถึง 30 เท่าภายในปี 2030  

เหตุที่ทำให้พฤติกรรมของนักลงทุนในเวียดนามเปลี่ยนไปในรูปแบบดิจิตอลอย่างรวดเร็ว มีอยู่หลายปัจจัย 

อย่างแรกคือ เวียดนามมีตลาดของผู้ใช้เงินนอกระบบสูงกว่าทุกชาติในย่านอาเซียน 

จากข้อมูลขององค์การสหประชาติพบว่า มีผู้ใหญ่ชาวเวียดนามทำธุรกรรมผ่านสถาบันผู้ให้บริการด้านการเงินเพียง 30% ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณธุรกรรมในระบบธนาคารของชาวอาเซี่ยนทุกประเทศที่สูงถึง 69% 

ดังนั้นจึงมีชาวเวียดนามที่เข้าไม่ถึงระบบบัญชีธนาคารอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ทำให้ระบบเงินดิจิตอลเข้ามาตอบโจทย์ในการทำธุรกรรมการเงินที่รวดเร็วกว่า เข้าถึงง่าย และมีอิสระกว่า 

แต่ทั้งนี้ แค่การขุด การเทรดเพื่อเก็งกำไร ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เกิดกระแสความนิยมเงินคริปโตได้ถึงระดับนี้ หากขาดการสนับสนุน ผลักดันจากภาครัฐอย่างจริงจัง 

ถึงแม้ว่ารัฐบาลเวียดนามจะยังไม่รับรองการใช้เงิน คริปโตแทนเงินสดจริงในประเทศ แต่สิ่งที่รัฐบาลพยายามผลักดันคือ Fintech หรือ เทคโนโลยีการเงินรูปแบบใหม่

รัฐบาลเวียดนามใช้งบลงทุนในโครงการ Fintech มากเป็นอันดับต้น ๆ ในอาเซียน เป็นรองเพียงสิงคโปรเท่านั้น ทั้งโปรเจคการสร้าง ฮานอย สมาร์ท ซิตี้ ตั้งเป้าหมายในการเป็น Hub ด้าน Fintech ในย่านนี้ หรือการสนับสนุน Start-up รุ่นใหม่ในประเทศที่พัฒนาระบบมาต่อยอดการใช้งานระบบ Fintech สู่คนในสังคม 

มีข้อมูลว่า ในช่วงระหว่างปี 2017 -2020 มีจำนวน Fintech Start-up ในเวียดนามเพิ่มขึ้นถึง 179% ในจำนวน Start-up เกิดใหม่กว่า 30% เป็นผู้ให้บริการด้านการเงิน ระบบจัดการกระเป๋าเงินอิเล็คทรอนิค รวมถึงแอบพลิเคชั่นสำหรับการลงทุนแลกเปลี่ยนเงินคริปโตโดยเฉพาะ 

การขยายตัวของธุรกิจ Fintech ในเวียดนามก็สร้าง Start-up ระดับยูนิคอร์น ที่มีมูลค่าธุรกิจเกิน 1 พันล้านเหรียญได้เป็นตัวที่ 2 ของประเทศได้ในที่สุด นั่นก็คือ VNPay 

แต่รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าไกลกว่านั้น นอกจากการบรรลุเป้าหมายโครงการ ฮานอย สมาร์ทซิตี้ ศูนย์กลางเทคโนโลยีการเงินใหม่ในย่านอาเซียนแล้ว เวียดนามจะต้องมี Fintech Start-up ระดับยูนิคอร์นให้ได้ถึง 10 บริษัทภายในปี 2030 

นั่นจึงเป็นเหตุให้เทคโนโลยีบล็อคเชน และความนิยมเงินดิจิตอลในเวียดนามเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงตลอด 5 ปีที่ผ่านมา บวกกับทัศนคติของชาวเวียดนามรุ่นใหม่ ที่เรียนรู้เทคโนโลยีได้เร็ว มีความมุ่งมั่นในเป็นผู้ประกอบการ และกล้าลงทุน 

ปัจจุบัน เวียดนามมีประชากรราว ๆ 96.5 ล้านคน และมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกว่า 7% ในแต่ละปี แต่มีเพียง 4 ล้านคนที่มีกระเป๋าเงินดิจิตอลทั่วไปที่ใช้ในประเทศ จึงยังมีกลุ่มตลาดอีกมากมายให้บริษัท Fintech รุ่นใหม่ได้เติบโต และอาจมีการพิจารณาแก้ไขกฏหมายเรื่องการถือครองสินทรัพย์ ดิจิตอลในเร็วๆ นี้ 

แต่ทั้งนี้ ก็ยังคงต้องเตือนประชาชนถึงความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดเงินคริปโต และด้วยโครงสร้างการเมือง การปกครอง รัฐบาลเวียดนามยังไม่อาจปล่อยให้เงินคริปโตไหลเวียนในระบบการเงินในประเทศได้อย่างอิสระ 

ถึงอย่างนั้นก็ดี สิ่งที่น่าสนใจคือ กระแสคริปโตเคอร์เรนซีในเวียดนามจะบูมจนทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาสับสวิทช์ หรือคิดใหม่อีกครั้งหรือไม่ และ โครงการ ฮานอย สมาร์ทซิตี้ จะกลายเป็นโมเดลเมือง Fintech ของหลายประเทศในย่านอาเซียนได้มากน้อยแค่ไหน คงต้องจับตาดูกัน

 

ข้อมูลอ้างอิง

https://m.sggpnews.org.vn/business/vietnam-has-second-highest-rate-of-cryptocurrency-use-91737.html

https://www.asiablockchainreview.com/outlook-for-vietnams-blockchain-and-crypto-industries-in-2020/

https://www.citypassguide.com/blog/the-rise-of-cryptocurrency-in-vietnam

https://vietnaminsider.vn/why-vietnam-ranked-top-among-countries-use-cryptocurrency-the-most/

https://www.businesstimes.com.sg/asean-business/cryptocurrencies-have-driven-vietnams-fintech-boom-white-paper

https://news.bitcoin.com/vietnam-plans-to-regulate-digital-currencies-after-commissioning-a-crypto-research-group/

https://news.bitcoin.com/cryptocurrency-mining-soars-vietnam-7000-rigs-imported/

https://fintechnews.sg/45354/vietnam/2020-fintech-vietnam-report-and-startup-map/

https://e.vnexpress.net/news/business/companies/digital-payment-firm-vietnam-s-second-startup-unicorn-4199895.html


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“พอเพียงสู่ความยั่งยืน” จากมุมมองของครูบัญชี (ตอนที่2) 'ทางสายกลาง'​ ภูมิคุ้มกัน​ธุรกิจ SME​ ไทย ในมุมมองของครูบัญชี

ตอนที่แล้วผู้เขียนได้พูดถึงแนวทางในการเริ่มต้นการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurs) เพื่อประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-Size Enterprises หรือ MSME) ซึ่งหลาย ๆ ท่านยังมีคำถามในใจว่าควรจะเริ่มต้นประกอบธุรกิจในรูปแบบใดดี ในตอนที่แล้วมีคำตอบให้กับทุกท่านในเบื้องต้น  สำหรับในตอนที่ 2 นี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงประเภทและขนาดของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจในการเลือกประเภทของธุรกิจที่เหมาะสมสำหรับดำเนินงานของแต่ละบุคคล

พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 และกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2562 กำหนดประเภทและลักษณะของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไว้โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

หมายเหตุ วิสาหกิจรายย่อยเป็นส่วนหนึ่งของวิสาหกิจขนาดย่อม

ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
สำหรับการเป็นผู้ประกอบการกิจการผลิตสินค้า การค้าและบริการ ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นั้น เมธสิทธิ์ พูลดี (2562) ได้อธิบายความหมายของประเภทกิจการแต่ละประเภทดังนี้ 

การเป็นผู้ประกอบการกิจการผลิตสินค้าเป็นลักษณะของการประกอบการเปลี่ยนรูปวัตถุให้เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ด้วยเครื่องจักรกลหรือเคมีภัณฑ์โดยไม่คำนึงว่างานนั้นทำโดยเครื่องจักรหรือด้วยมือ ทั้งนี้ การประกอบกิจการผลิตสินค้ารวมถึงการแปรรูปผลิตผลการเกษตรอย่างง่ายที่มีลักษณะเป็นการอุตสาหกรรม การผลิตที่มีลักษณะเป็นวิสาหกิจชุมชนและการผลิตที่เป็นการประกอบอุตสาหกรรมในครัวเรือน

การเป็นผู้ประกอบการกิจการการค้า ที่ประกอบด้วยกิจการค้าส่งและค้าปลีก หมายถึง การให้บริการเกี่ยวกับการค้าโดยที่การค้าส่ง หมายถึง การขายสินค้าใหม่และสินค้าใช้แล้วให้แก่ผู้ค้าปลีก ผู้ใช้ในงานอุตสาหกรรม ผู้ใช้งานวิชาชีพ งานพาณิชยกรรม สถาบัน และรวมถึงการขายให้แก่ผู้ค้าส่งด้วยกันเอง ส่วนการค้าปลีก หมายถึง การขายโดยไม่มีการเปลี่ยนรูปสินค้าทั้งสินค้าใหม่และสินค้าใช้แล้วให้กับประชาชนทั่วไปเพื่อการบริโภคหรือการใช้ประโยชน์เฉพาะส่วนบุคคลในครัวเรือน รวมถึงการเป็นนายหน้าหรือตัวแทนการซื้อขาย สถานีบริการน้ำมัน และสหกรณ์ผู้บริโภค เป็นต้น

การเป็นผู้ประกอบการกิจการการบริการ หมายความครอบคลุมถึง การศึกษา การสุขภาพ การบันเทิง การขนส่ง การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ การโรงแรมและหอพัก การภัตตาคาร การขายอาหาร การขายเครื่องดื่มของภัตตาคารและร้านอาหาร การให้บริการเช่าสิ่งบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ การให้บริการส่วนบุคคล บริการในครัวเรือน บริการที่ให้ธุรกิจ การซ่อมแซมทุกชนิด การท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว

หลายท่านคงมีข้อมูลประเภทของธุรกิจในใจแล้วว่าจะเลือกดำเนินธุรกิจประเภทใดดี แนวโน้มของธุรกิจที่เลือกจะเติบโตในอนาคตหรือไม่ ผู้เขียนมีข้อมูลบางส่วนจากรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ปี 2562 รายงานโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งรายงานบทบาทของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.3 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) รวมทั้งประเทศ หากมีการพิจารณาตามขนาดวิสาหกิจพบว่าวิสาหกิจรายย่อย (Micro) คิดเป็นร้อยละ 2.9 วิสาหกิจขนาดย่อม (SE) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.3 และวิสาหกิจขนาดกลาง (ME) คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.1 

สังเกตรายละเอียดได้จากรูปที่ 1 ที่แสดงโครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามขนาดวิสาหกิจ

รูปที่ 1 โครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามขนาดวิสาหกิจ
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

สำหรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ในปี 2562 ภาคบริการยังคงเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญสูงสุด ลำดับถัดมาคือภาคการค้าปลีกและค้าส่ง และภาคการผลิต คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.8  31.1 และ 20.3 ตามลำดับ 

รายละเอียดตามตารางที่ 1 ภาพรวมของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

ตารางที่ 1 ภาพรวมของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศปี 2562 จำแนกตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

คิดว่า ณ จุดนี้ผู้อ่านคงได้แนวความคิดในการเลือกประเภทของธุรกิจในการเริ่มต้นที่จะเป็นผู้ประกอบการได้แล้ว แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกประเภทธุรกิจใดก็ตามผู้เขียนมีข้อเสนอแนะว่าการสร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจมีการเติบโตแบบยั่งยืนนั้นปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) ซึ่งเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทย ก็ยังมีประโยชน์มากมายสำหรับการประกอบธุรกิจไม่ว่าในระดับใดก็ตาม เนื่องจากเป็นปรัชญาที่ยึดหลักสายกลางที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนทุกระดับให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำต่าง ๆ 

ดังรูปที่ 2 แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

รูปที่ 2 แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่พอประมาณ เป็นต้น

ความมีเหตุผล หมายถึง การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ

การมีภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องอาศัยความรู้และคุณธรรมเป็นเงื่อนไขพื้นฐาน 

ความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน

คุณธรรม หมายถึง การยึดถือคุณธรรมต่าง ๆ เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง 

จะเห็นได้ว่าพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ที่ทรงมอบให้ประชาชนชาวไทยในเรื่องของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) เป็นประโยชน์อันมหาศาลต่อชนชาวไทยทุกกลุ่มในการนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการในยุคใหม่ ๆ ที่ตลาดการค้าในปัจจุบันมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง อย่างน้อยในเริ่มแรกของการเป็นผู้ประกอบการจะช่วยสร้างให้องค์การมีภูมิคุ้มกันต่อผลกระทบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

 

ข้อมูลอ้างอิง

- เมธสิทธิ์ พูลดี. (2562).  ตัวแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในประเทศไทย (ปริญญานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต).  กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีปทุม
- สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ.  (2559).  เศรษฐกิจพอเพียง.  กรุงเทพฯ : สำนักงาน
- สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม.  (2563).  รายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ปี 2563.  กรุงเทพฯ : สำนักงาน


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โลจิสติกส์...หัวหอกสำคัญ สู่ความสำเร็จของ JD.com

ท่านผู้อ่านน่าจะเคยได้ยินชื่อ JD.com ผู้ให้บริการขายสินค้าออนไลน์จากจีนที่ได้เข้ามาในไทยไม่กี่ปีที่ผ่านมา การที่ JD Group ได้ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งทางด้านการค้าออนไลน์ในจีนนั้น ปัจจัยสำคัญมาจากระบบที่โลจิสติกส์ที่เข้มแข็ง

ปี 2003 ประเทศจีนเกิดการแพร่ระบาดของโรคซาร์สส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่กล้าออกมาซื้อของนอกบ้าน ริชาร์ด หลิว (Richard Liu) ที่เคยเปิดร้านขายอุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์จึงมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจออนไลน์ และเริ่มก่อตั้ง JD.com ในปี 2004

แต่เดิม JD.com ได้ว่าจ้างผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภายนอก (third party logistics) เป็นผู้กระจายสินค้าให้แก่ตน และทางบริษัทเห็นว่าการที่จะชนะคู่แข่งที่อยู่ในตลาดมาก่อนอย่าง Alibaba ได้ต้องมีระบบโลจิสติส์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ผู้ให้บริการที่มีอยู่ในขณะนั้นยังไม่สามารถตอบสนองได้ตามต้องการ จึงได้ก่อต้อง JD logistics ขึ้นในปี 2007 โดยเป้าหมายคือส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า และคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่าง Amazon ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอีคอมเมิร์ซระดับโลก 

ในปี 2010 เป็นผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายแรกที่ให้บริการการจัดส่งแบบภายในวันและการจัดส่งในวันถัดไป (same-day and next-day delivery)  ในขณะที่ Amazon ยังให้บริการจัดส่งภายใน 2 วัน และเริ่มให้บริการจัดส่งภายในวันเดียวในอีก 9 ปีต่อมา

ในปี 2016 JD.com เป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายแรกที่เริ่มให้บริการส่งสินค้าด้วยโดรน โดยมองเห็นปัญหาว่าชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล เส้นทางทุรกันดาร มีทางเลือกในการซื้อสินค้าน้อย เพราะผู้ให้บริการจัดส่งสินค้าเข้าไม่ถึงเนื่องจากต้นทุนการขนส่งที่สูงและไม่คุ้มกับค่าเดินทาง  JD Logistics จึงใช้โดรนที่พัฒนาขึ้นโดย JD-X หน่วยธุรกิจใน JD Group ที่ทำหน้าวิจัยและพัฒนาระบบ Smart logistics ในการจัดส่งสินค้า ขั้นตอนการทำงาน คือ โดรนพร้อมสินค้าถูกส่งออกจากสถานีขนส่งในแต่ละเมืองและบินไปส่งสินค้าในแต่ละหมู่บ้านตามจุดกำหนด ต่อจากนั้นผู้ประสานงาน JD Logistics แต่ละชุมชนนำสินค้าไปส่งมอบให้ถึงบ้านลูกค้า โดยวิธีการนี้จากเดิมที่ต้องใช้ระยะเวลาหลายชั่วโมงในการขับรถอ้อมเขา หรือต้องต่อเรือเพื่อไปยังเกาะต่าง ๆ เหลือเพียงไม่กี่นาทีสินค้าก็ถูกส่งถึงมือลูกค้าที่อยู่ห่างไกลด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าวิธีการเดิม 

ปี 2019 JD logistics ได้เปิดตัวรถส่งสินค้าอัตโนมัติมีหน้าที่นำสินค้าไปส่งให้ยังลูกค้าตามสถานที่ต่าง ๆ ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากสถานีขนส่ง โดยรถ 3 คัน สามารถทำงานทดแทนพนักงานขนส่งสินค้าได้ถึง 2 คน จึงสามารถช่วยลดต้นทุนในการจ้างงาน และยิ่งมีประโยชน์ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัจจุบันให้บริการใน 20 เมืองในจีน

และในปี 2020 JD Logistics เปิดให้บริการจัดส่งด่วนภายในหนึ่งชั่วโมง และขยายศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะ ที่ทำการคัดแยกสินค้าด้วยระบบอัตโนมัติที่เรียกว่า ”Asia No.1 logistics park” ไปยัง 28 แห่งทั่วประเทศจีน เพื่อเพิ่มพื้นที่การให้บริการจัดส่งสินค้าแบบภายในวันและการจัดส่งในวันถัดไป โดยเพิ่มจาก 6 เมืองเมื่อสิบปีที่แล้วเป็น 200 เมือง ในส่วนเมืองขนาดเล็กที่ไม่คุ้มกับการสร้างศูนย์กระจายสินค้าของตนเอง ได้มีความร่วมมือกับผู้ประกอบการขนส่งในท้องถิ่นให้ทำการจัดเก็บและกระจายสินค้าให้ผ่านระบบของ JD Logistics จนในปัจจุบันมีเครือข่ายคลังสินค้าถึง 1,000 แห่ง และมีพื้นที่รวมกันมากถึง 21 ล้านตารางเมตร

จากตัวอย่างที่เล่ามาเห็นได้ว่า JD.com ได้มุ่งเน้นกลยุทธ์สร้างความสามารถในการแข่งขันทางด้านการตอบสนองที่รวดเร็ว เพื่อให้ได้ผลตามกลยุทธ์ที่ตั้งไว้จึงได้มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ทางด้านโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้เป็นที่หนึ่งทางด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซของจีน

 

ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.chinadaily.com.cn/a/202012/25/WS5fe54b99a31024ad0ba9e7f6.html

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/autonomous-delivery-vehicles-deployed-in-chinese-cities-amid-the-covid-19-pandemic

https://www.businessinsider.com/how-chinese-ecommerce-giant-jd-logistics-built-up-to-34-billion-ipo-2021-5

https://corporate.jd.com/ourBusiness#jdLogistics


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

7 เทคนิคจัดฟัน เร่งให้เข้าที่ จัดเสร็จอย่างไว 

การจัดฟัน เป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ช่วยให้การเคี้ยวอาหารดีขึ้น ฟันเรียงเรียบสวย มีบุคลิกภาพดี รู้สึกมั่นใจมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การมีเครื่องมือจัดฟันอยู่ในปากนานเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี และมีความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น แปรงฟันทำความสะอาดยาก เกิดฟันผุ หินปูน เหงือกอักเสบ และเครื่องมือบาดกระพุ้งแก้มเป็นแผล เป็นต้น เพราะฉะนั้นวันนี้หมอมี 7 วิธี ที่ช่วยให้การจัดฟันเสร็จไวขึ้น 

1.) หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารที่มีลักษณะแข็ง เช่น ห้ามเคี้ยวน้ำแข็งเด็ดขาด ส่วนของทอดกรอบ เมล็ดถั่วต่าง ๆ ถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง หรือให้เคี้ยวเบา ๆ เพราะการเคี้ยวอาหารที่มีลักษณะแข็งมีโอกาสทำให้เครื่องมือจัดฟันหลุดหรือทำให้ลวดจัดฟันงอและบิดเบี้ยว ส่งผลให้ฟันเคลื่อนที่ผิดทางหรือล้มเอียงตามลวดที่บิดงอ ทำให้ทันตแพทย์จัดฟันต้องเสียเวลาแก้ไขความผิดปกติมากขึ้นและเพิ่มระยะเวลาในการจัดฟันนานขึ้นได้

2.) หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง ลูกอม ของหวาน และน้ำอัดลม เพราะมีโอกาสทำให้เกิดฟันผุในระหว่างจัดฟันได้

3.) ควรทำความสะอาดฟันอย่างถูกวิธี ด้วยการแปรงฟันให้สะอาด การใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ หรือใช้อุปกรณ์เสริมตามคำแนะนำของทันตแพทย์จัดฟัน เช่น แปรงซอกฟัน จะช่วยป้องกันการเกิดฟันผุและหินปูนที่ตัวฟัน ลดโอกาสเหงือกอักเสบระหว่างจัดฟัน และการมีเครื่องมือจัดฟันที่สะอาด ไม่มีหินปูนมาเกาะบนเครื่องมือจัดฟัน จะทำให้ฟันสามารถเคลื่อนไปบนลวดจัดฟันได้ไวขึ้น 

4.) คล้องยางจัดฟันสม่ำเสมอตามคำแนะนำของทันตแพทย์จัดฟัน ในบางขั้นตอนของการจัดฟัน ทันตแพทย์จัดฟันจำเป็นต้องให้คนไข้คล้องยางดึงฟัน หากคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือในคล้องยางดึงฟัน ฟันก็จะไม่เคลื่อนไปในตำแหน่งที่ทันตแพทย์จัดฟันวางแผนไว้ โดยทั่วไปการคล้องยางดึงฟันนั้น ทันตแพทย์จัดฟันมักแนะนำให้คนไข้คล้องยางดึงฟันตลอดเวลา ยกเว้นช่วงทานอาหารและแปรงฟันเท่านั้น หมายความว่าใน 1 วันหรือ 24 ชั่วโมง คนไข้จำเป็นจะต้องใส่ยางดึงฟันอย่างน้อย 20 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเพียงพอที่ทำให้ฟันเคลื่อนที่ไปได้และจำเป็นต้องเปลี่ยนยางวงใหม่วันละ 1 ครั้ง 

5.) มารักษาตามนัดหมายเป็นประจำเพราะการจัดฟันจำเป็นจะต้องมาตรวจเช็ค ปรับเครื่องมือ และดึงฟัน หากไม่มาทำการรักษาตามนัดหมาย จะทำให้ระยะเวลาการรักษานานขึ้น อีกทั้งมีความเสี่ยงที่จะทำให้ฟันเคลื่อนผิดทิศทางหรือเคลื่อนมากเกินไป

6.) เลือกเครื่องมือจัดฟันที่เหมาะสมกับตนเอง โดยปรึกษาทันตแพทย์จัดฟันที่ให้การรักษา เช่น เครื่องมือจัดฟันติดแน่นแบบรัดยาง เครื่องมือจัดฟันติดแน่นแบบไม่รัดยาง หรือเครื่องมือจัดฟันแบบใส เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือแต่ละชนิดมีข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกัน

7.) เลือกคลินิกที่สามารถเดินทางได้สะดวกหรือใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน เพราะถ้าเลือกคลินิกที่ต้องเดินทางไกล คนไข้มักจะเบื่อในการเดินทางมาคลินิก มีโอกาสที่จะขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง

จะเห็นได้ว่า การจัดฟันนั้นจำเป็นอย่างมากที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคนไข้ หากคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาแล้ว มักส่งผลให้การรักษาไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ทันตแพทย์จัดฟันวางแผนการรักษาไว้ได้ และทำให้ระยะเวลาการรักษายาวนานขึ้นได้


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory) กับความเชื่อ 'ลัทธิคอมมิวนิสต์ครองโลก' และการสิ้นสุดที่หยุดลงตรงราชอาณาจักรไทย

คนที่อายุน้อยกว่าสี่สิบปีอาจไม่รู้ว่า โลกเคยผ่านช่วงของสงครามเย็น (Cold war) อันเป็นยุคสมัยที่ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยนำโดยสหรัฐอเมริกากับฟากฝ่ายคอมมิวนิสต์แข่งขันในการเผยแพร่และต่อต้านความเชื่อและลัทธิทางการเมืองอย่างหนัก นับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และสิ้นสุดลงพร้อมกับความล่มสลายของสหภาพโซเวียต จึงขอเล่าเรื่องราวของทฤษฎีโดมิโนให้ทราบพอสังเขปด้วย บทความนี้

ผลกระทบแบบโดมิโน (Domino effect)

ทฤษฎีโดมิโนเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับนโยบายด้านการต่างประเทศ โดยอุปมาขึ้นจากลักษณะของการตั้งเรียงของตัวโดมิโน ซึ่งถ้าตัวโดมิโนตัวแรกล้มลงแล้ว จะทำให้ตัวโดมิโนตัวอื่น ๆ ซึ่งตั้งเรียงถัดมาพลอยล่มด้วยทั้งหมด ทฤษฎีโดมิโนจึงมีความหมายว่า ถ้าประเทศหนึ่งประเทศใดหันไปใช้ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์แล้ว จะส่งผลให้ประเทศรอบข้างก็จะกลายเป็นระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ตามไปด้วย ซึ่งเรียกว่า "ผลกระทบแบบโดมิโน (Domino effect)” 

ทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นในช่วงปี 1950 ถึง 1980 จากการขยายตัวของลัทธิและระบอบคอมมิวนิสต์ในทวีปยุโรปจากกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนในทวีปเอเชีย เมื่อจีน เกาหลีเหนือ และเวียตนามเหนือกลายเป็นคอมมิวนิสต์ จึงมีความเชื่อว่า ประเทศอื่น ๆ ทีเหลือ เช่น ลาว กัมพูชา เวียตนามใต้ ไทย มาเลเซีย ฯลฯ ที่สุดจะถูกครอบงำโดยระบบคอมมิวนิสต์ตามไปด้วย การล้มของแต่ละตัว “โดมิโน” จึงหมายถึงการล่มสลายของระบอบประชาธิปไตยในแต่ละประเทศ ทั้ง ๆ ที่ประเทศเหล่านั้นอาจไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตยเลยก็ตาม เพียงแต่รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ เห็นดีและเห็นด้วยกับนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหรัฐอเมริกา 

ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower

ทฤษฎีโดมิโนได้ถูกใช้โดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่องในช่วงสงครามเย็น เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกของสหรัฐอเมริกา เริ่มต้นจากประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower อธิบายทฤษฎีโดมิโนเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2497 ในการแถลงข่าวเมื่อกล่าวถึงลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า “สุดท้ายเรามีข้อพิจารณาที่กว้างขึ้น ซึ่งอาจเป็นไปตามสิ่งที่เราจะเรียกว่า หลักการล้มของตัว "โดมิโน" เมื่อตัวมีโดมิโนที่ตั้งอยู่อันแรกล้มลง และสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับอันสุดท้ายคือความมั่นใจว่า มันจะเกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงอาจมีจุดเริ่มต้นของการล่มสลายที่จะมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งที่สุด แต่เมื่อเรามาถึงลำดับเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ที่จะมีการสูญเสียอินโดจีน พม่า ไทย คาบสมุทรมาลายา (มาเลเซียและสิงคโปร์) และอินโดนีเซีย ตอนนี้เราพูดถึง…ผู้คนนับล้าน ๆ ๆ” 

พลเอก Douglas MacArthur

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความเชื่ออย่างลึกซึ้งของประธานาธิบดี Eisenhower เกี่ยวกับทฤษฎีโดมิโนในเอเชียทำให้เกิด “ต้นทุนการรับรู้ของสหรัฐอเมริกาในการไล่ตามลัทธิพหุภาคี” เนื่องจากเหตุการณ์ในหลายแง่มุมรวมถึง “ชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี  พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) การบุกเกาหลีใต้ของเกาหลีเหนือในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) วิกฤตการณ์เกาะนอกชายฝั่ง Quemoy ของไต้หวัน ในปี พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) และความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นความท้าทายในวงกว้างไม่เพียงแต่เป็นเพียงแค่เรื่องที่เกี่ยวกับประเทศเดียวหรือสองประเทศ แต่เป็นปัญหาของทั้งทวีปเอเชียและภูมิภาคแปซิฟิก” สิ่งนี้สื่อถึงพลังแม่เหล็กที่แข็งแกร่งที่กำลังจะถูกควบคุมโดยคอมมิวนิสต์ ซึ่งสอดคล้องกับคำอธิบายของพลเอก Douglas MacArthur ที่ว่า “ชัยชนะจะเป็นแม่เหล็กที่แข็งแกร่งในตะวันออก” 

ดร. Victor Cha

นอกเหนือจากคำอธิบายของประธานาธิบดี Eisenhower แล้ว ดร. Victor Cha นักวิชาการชาวอเมริกัน อดีตผู้อำนวยการฝ่ายกิจการเอเชียของสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ยังได้อธิบายทฤษฎีโดมิโนในหนังสือ Powerplay : The Origins of the American Alliance System in Asia ซึ่ง ดร. Cha วิเคราะห์ทฤษฎีโดมิโน โดยอ้างอิงโดยยึดถือเอาภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเขาได้ระบุว่า "การล่มสลายของประเทศเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเอเชีย อาจทำให้เกิดเครือข่ายของประเทศที่จะเข้าสู่ลัทธิคอมมิวนิสต์"

แม้ว่า ทฤษฎีโดมิโนจะเกิดในทศวรรษ 1950 แต่ประเทศเสรีตะวันตก มีความหวาดระแวงเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และด้วยวาระของความเป็นคอมมิวนิสต์สากลซึ่งมีมานานแล้ว ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 ความหวาดระแวงนี้เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นทฤษฎีโดมิโน อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต ซึ่งขณะนั้นนำโดย Josef Stalin ไปยังยุโรปตะวันออก และชัยชนะของลัทธิคอมมิวนิสต์ในจีน ผู้นำตะวันตกเชื่อว่า เมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ตั้งหลักในประเทศหนึ่ง เพื่อนบ้านของประเทศจะถูกแทรกซึม บุกรุก และยึดครองโดยคอมมิวนิสต์อย่างรวดเร็ว เหมือนกับกลุ่มโดมิโนที่ยืนเรียงกันล้มลง คนหนึ่งล้มทับคนถัดไปจนทั้งหมดพังทลาย ไม่ชัดเจนว่าใครเป็นคนแรกที่ใช้การเปรียบเทียบของโดมิโนที่ล้มลงหรือเป็นผู้บัญญัติศัพท์ ทฤษฎีโดมิโน แต่การกล่าวถึงต่อสาธารณะครั้งแรกเกิดขึ้นโดยประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower ในสุนทรพจน์เมื่อปี พ.ศ. 2497 ซึ่งอธิบายว่า ทำไมอเมริกาจึงให้ความช่วยเหลือฝรั่งเศสในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน (เวียดนาม) ตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น

Josef Stalin ผู้นำของสหภาพโซเวียตตลอดสงครามโลกครั้งที่สองและช่วงต้นของสงครามเย็น

สองฟากฝ่ายในสงครามโลกครั้งที่สอง “สัมพันธมิตร (Allies)” และ “อักษะ (Axis)”

ความกลัวของสหรัฐฯ ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ในยุโรปในช่วงทศวรรษที่ 1930 จากการที่ประเทศในยุโรปไม่อาจต้านทาน Adolf Hitler ได้ และสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นในเอเชีย ซึ่งการขยายตัวของจักรวรรดิญี่ปุ่นที่แม้แต่จีนก็ไม่สามารถต้านทานได้ จนกระทั่งกลายเป็นการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นไปทั่วทั้งเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังมีปัจจัยเพิ่มเติมคือความกังวลที่บางประเทศไม่สามารถต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการยึดครองในภูมิภาคของตน ในขณะนั้นประเทศในยุโรปส่วนใหญ่เหนื่อยล้า และอ่อนล้าทางเศรษฐกิจหลังจากสงครามอีกหลายปี รัฐบาลอ่อนแอและประชาชนต่างก็ หดหู่ สิ้นหวัง และหิวโหย สิ่งนี้ทำให้ตกเป็นเหยื่อของการแทรกซึมและการโฆษณาชวนเชื่อของคอมมิวนิสต์ได้โดยง่าย

เอเชียอ่อนแอพอ ๆ กับการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ รัฐบาลและกองกำลังทหารของประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ค่อนข้างอ่อนแอ ประชากรส่วนใหญ่เป็น ชาวไร่ ชาวนา ซึ่งอ่อนไหวต่อการโฆษณาชวนเชื่อ และง่ายต่อการชักจูงให้เป็นแนวร่วมและสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งขบวนการชาตินิยม และการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชในเอเชียถือเป็น "ที่หลบซ่อน" ในอุดมคติสำหรับผู้แทรกซึมของคอมมิวนิสต์ พรมแดนในเอเชียไม่ได้รับการดูแลอย่างดี และส่วนใหญ่ไม่ปลอดภัย ดังนั้นคอมมิวนิสต์จึงสามารถย้ายเข้าและออกจากประเทศเป้าหมายได้โดยแทบจะไม่มีความยากลำบากเลย ทั้งยังมีความเสี่ยงและความอ่อนแอต่อการรับมือของลัทธิคอมมิวนิสต์ในทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกาใต้

การขยายตัวของจีนทำให้ทฤษฎีโดมิโนได้รับแรงหนุนจากสมมติฐานจากการขยายตัวของจีน นักยุทธศาสตร์ตะวันตกเชื่อว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจะกลายเป็นแนวหน้าในการขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย เช่นเดียวกับที่สหภาพโซเวียตเคยทำในยุโรปตะวันออก เหตุการณ์สงครามเกาหลี (พ.ศ. 2493-2496) ดูเหมือนจะเป็นสนับสนุนความเชื่อนี้ จีนสนับสนุนการรุกรานเกาหลีใต้ของคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ และขณะเดียวกันปักกิ่งก็ให้การสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และการขนส่งผ่านจากสหภาพโซเวียตแก่ Ho Chin Minh และขบวนการเวียตมินห์ที่เกิดขึ้นในภาคเหนือของเวียดนามอีกด้วย และเมื่อความสามารถทางเศรษฐกิจและการทหารของจีนเพิ่มมากขึ้น ทางตะวันตกเชื่อว่า ปักกิ่งจะขยายลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อสร้างกันชนระหว่างตัวเองและภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น สิ่งนี้ทำให้หลายประเทศเสี่ยงต่อการรุกรานของคอมมิวนิสต์ ได้แก่ เกาหลีใต้ เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไทย พม่า ทิเบต มาลายา สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย

Harry S. Truman, Dwight D. Eisenhower และ John F. Kennedy / Lyndon B. Johnson (ขวา) และ Richard M. Nixon

จากประธานาธิบดี Henry S. Truman จนถึงประธานาธิบดี Richard M. Nixon ต่างก็สนับสนุนทฤษฎีโดมิโน แม้ว่าประธานาธิบดี Truman จะไม่เคยใช้การกล่าวเปรียบเทียบแบบโดมิโน แต่ก็ยอมรับหลักการทั่วไปของทฤษฏีโดมิโน และใช้เป็นพื้นฐานในหลักการของ Truman (Truman doctrine) ประธานาธิบดี John F. Kennedy ได้กล่าวถึงทฤษฎีโดมิโน และบอกใบ้ถึงทฤษฎีนี้ในสุนทรพจน์เปิดตัวโดยเตือนว่า “ความปลอดภัยของเราอาจสูญหายไปทีละประเทศทีละประเทศ” ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson และประธานาธิบดี Richard Nixon ต่างยอมรับว่า ทฤษฎีโดมิโนเป็นความจริง ซึ่งเป็นจุดยืนในการสนับสนุนความต่อเนื่องและการลุกลามของสงครามเวียดนาม ความพ่ายแพ้ราคาแพงของอเมริกันในเวียดนามทำให้ทฤษฎีโดมิโนเป็นกลายเป็นเรื่องที่น่าอดสูอย่างยิ่ง ซึ่งทุกวันนี้ยังคงเป็นประเด็นความคิดที่มีการถกเถียงกันอยู่ทั่วไป โดยผู้คัดค้านจะมีจำนวนมากกว่าผู้สนับสนุน บางคนอ้างว่า ทฤษฎีโดมิโนนั้นถูกต้อง และได้รับการตรวจสอบ โดยการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย การแทรกแซงของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้เท่านั้นที่สามารถหยุดความคืบหน้า บ้างก็ว่า ทฤษฎีโดมิโนเป็นแนวคิดที่เรียบง่าย แต่ไม่เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของขบวนการปฏิวัติในเอเชีย ซึ่งเป็นพวกชาตินิยมและสังคมนิยมมากกว่าคอมมิวนิสต์หัวรุนแรง

แนวคิดของทฤษฎีโดมิโนในระหว่างสงครามเย็น

1.) ทฤษฎีโดมิโนเป็นความเชื่อที่ว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์จะแพร่กระจายจากประเทศหนึ่งไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เปรียบเหมือนตัวโดมิโนที่ล้มลงไล่เรียงต่อกันไป และเริ่มเป็นที่รู้จักและใช้อ้างอิงในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1950 กระทั่งสงครามเย็นสิ้นสุด

2.) ทฤษฎีดังกล่าวเกิดจากอุดมการณ์ของ Vladimir Lenin ผู้ซึ่งเรียกร้องให้มี “การปฏิวัติระหว่างประเทศ” และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตจะเป็นแกนในการสนับสนุนการปฏิวัติของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในต่างประเทศ

3.) การใช้การเปรียบเทียบแบบโดมิโนครั้งแรกเกิดขึ้นโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ Dwight D. Eisenhower ซึ่งเตือนว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์สามารถแพร่กระจายไปทั่วเอเชีย และเข้าควบคุมครอบงำผู้คนนับล้าน ๆ ได้

4.) ประเทศในเอเชียถูกมองว่า มีความอ่อนแอต่อการรับมือกับลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นพิเศษ ด้วยรัฐบาลและกองทัพอ่อนแอ สังคมไร้การศึกษา และพรมแดนของประเทศเหล่านี้ไม่มีความมั่นคงแข็งแกร่ง

5.) ทฤษฎีโดมิโน ได้รับการยอมรับว่าเป็นความจริง โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯหลายท่าน ด้วยความเชื่อจากการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งสนับสนุนต่อหลักการของ Truman รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ตามนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

หลักการ Truman (Truman doctrine)

นายพล Lon Nol / เจ้าสุวรรณภูมา / นายพล Dương Văn Minh

หลังจากการล่มสลายของรัฐบาลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สหรัฐฯให้การสนับสนุนซึ่งพ่ายแพ้แก้ฝ่ายคอมมิวนิสต์ อันได้แก่ รัฐบาลสาธารณรัฐกัมพูชานำโดยนายพล Lon Nol เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 ต่อกองกำลังเขมรแดง รัฐบาลสาธารณรัฐเวียตนามนำโดยนายพล Dương Văn Minh เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 ต่อกองทัพปลดปล่อยประชาชนเวียตนามและกองลำลังเวียตกง และรัฐบาลราชอาณาจักรลาวนำโดย เจ้าสุวรรณภูมา เมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2518 ต่อกองกำลังของขบวนการปลดปล่อยประเทศลาว ทั่วทั้งโลกต่างจับจ้องมายังราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านของทั้งลาวและกัมพูชา และเวียดนามก็อยู่ถัดไปจากทั้งสองประเทศดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้นแล้วรัฐบาลไทยยังอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ ใช้ฐานทัพในประเทศส่งเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดทำลาย สร้างความเสียหายแก่ทั้งสามประเทศดังกล่าวมากมายจนเหลือคณานับ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและพระบรมวงศานุวงศ์ทรงงานเพื่อพสกนิกรอย่างหนัก

และไทยเองยังคงมีปัญหาความไม่สงบในประเทศจากการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในแทบทุกภาคของประเทศนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 พอปี 2518 เมื่อกัมพูชาถูกเขมรแดงยึดครอง และเวียตนามใต้ก็พ่ายแพ้แก่เวียตนามเหนือและเวียตกง ผู้สังเกตการณ์ต่างชาติจำนวนหนึ่งคิดว่าไทยจะต้องกลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามทฤษฏีโดมิโน แต่คนไทยมีชื่อเสียงในด้านการโอนอ่อนไปตามลมที่พัดผ่าน เช่นเดียวกับไม้ไผ่ที่จะไม่แตก และจะโค้งงอลู่ไปตามแรงของลมพายุ นักธุรกิจต่างชาติบางคนคิดว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาที่เลวร้ายถึงขนาดยอมขายบริษัทของตนในราคาที่ถูกมาก การลงทุนของต่างชาติในไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางทางภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลง ชาวอเมริกันเคยได้รับการบอกเล่าจากเหล่าบรรดาผู้นำของตนว่า ประเทศไทยจะล่มสลายหากเพื่อนบ้านในอินโดจีนกลายเป็นคอมมิวนิสต์ 

โดยที่ผู้นำอเมริกันได้ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงสงครามเวียดนามว่า จีนอยู่เบื้องหลังเวียดนามเหนือ และเรียกร้องให้ทำสงครามต่อไป ดังที่ Lyndon B. Johnson แถลงที่มหาวิทยาลัย John Hopkins ในปี พ.ศ. 2508 ว่า หากจีนและเวียดนามเหนือชนะในเวียดนามใต้ ''การต่อสู้จะเกิดขึ้นใหม่ในประเทศหนึ่งและจากนั้นอีกประเทศหนึ่ง” ทำให้ขณะนั้นเกิดปรากฏการณ์ “ฝันร้ายเกิดซ้ำในทุกวันของทั้งนักลงทุนต่างชาติและเหล่าคหบดีชาวไทยคือ พวกเขาอาจจะต้องต่อสู้แย่งกันเพื่อที่จะขึ้นเฮลิคอปเตอร์อพยพเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากกรุงเทพฯ'' Jeffrey Race, นักวิชาการชาวอเมริกัน จาก Institute of Current World Affairs กล่าวในเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 แต่เขาคาดว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเขาคาดการณ์ได้ถูกต้อง 

ฐานที่มั่นของกองกำลังติดอาวุธพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

การที่ไทยไม่เป็นโดมิโนตัวต่อไป อันเนื่องปัจจัยภายในประเทศดังนี้ : 
(1) เพราะการทรงงานเพื่อพสกนิกรอย่างหนักในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและพระบรมวงศานุวงศ์ “ด้วยในแผ่นดินประเทศไทยนี้ไม่มีจังหวัดใด อำเภอไหน ที่ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยือนอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์” การเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกเชื้อชาติศาสนา ถือเป็นพระบรมราโชบายที่จะได้ทรงทำความรู้จักกับราษฎร ทรงรับฟังความทุกข์ และทอดพระเนตรสภาพปัญหาที่แท้จริงของราษฎรด้วยพระองค์เอง และเมื่อทรงทราบถึงปัญหาแล้วจะพระราชทานความช่วยเหลือ ทั้งพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ หรือพระราชทานพระราชดำริถึงวิธีแก้ปัญหา บางปัญหาทรงทดลองหาทางแก้ไขด้วยพระองค์เอง ก่อนจะพระราชทานเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในด้านต่างๆ 

(2) การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลและกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในแทบทุกภาคของประเทศ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมให้กองกำลังต่างชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือมีบทบาทในการสู้รบ กองทัพไทยได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ และการฝึกฝนอบรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEATO) แต่ไม่อนุญาตหรือยินยอมให้กองทหารหรือเจ้าหน้าที่ต่างชาติใด ๆ เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในปฏิบัติการต่อต้านความไม่สงบในประเทศเลย เช่นเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ได้รับความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ปละการฝึกฝนอบรมจากพรรคคอมมิวนิสต์ต่างชาติ แต่ก็ไม่ยินยอมให้กองกำลังต่างชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการสู้รบกับรัฐบาลไทยด้วยเช่นกัน 

(3) คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 เรื่อง “นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์” คำสั่งนี้ได้วางแนวปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือผู้หลงผิดที่เข้ามอบตัว หรือที่จับได้ อย่างเพื่อนประชาชนร่วมชาติ โดยไม่มีการดำเนินคดีย้อนหลัง ยกเว้นบางคนที่มีคดีอาญาร้ายแรง รวมทั้ง ช่วยเหลือให้ใช้ชีวิตใหม่ร่วมกันต่อไปในสังคมอย่างเหมาะสม อันเป็นแนวคิดของ พล.ต.เปรม (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีต นายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ) ตั้งแต่เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น พล.ท. เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2517-2520 และต้องเผชิญสงครามแย่งชิงมวลชนกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เมื่อท่านเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 พล.อ.เปรม และคณะทำงานคือ พล.ต.ปฐม เสริมสิน, พ.อ.หาญ ลีนานนท์, พ.อ.เลิศ กนิษฐะนาคะ เริ่มตระหนักว่าวิธีการปราบปรามอย่างเดียวไม่น่าจะได้ผล เพราะชาวบ้านก็ไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่ จำเป็นต้องใช้วิธีต่อสู้ทางความคิด และดึงเอาประชาชนมาเป็นฝ่ายเดียวกับราชการ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2523 พล.อ.เปรม ได้รับแต่งตั้งจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก หลังจากนั้น 1 เดือน ในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 จึงมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 หลังจากนั้นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และมวลชนที่เข้าป่าไปจับปืนต่อสู้ทยอยเดินทางออกจากป่าในฐานะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการยึดครองของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการหยุดทฤษฎีโดมิโนไปอย่างถาวร

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีต นายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ผู้ริเริ่มคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 เรื่อง “นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์”

กองกำลังเวียดนามในกัมพูชา

ไม่พียงแต่ปัญหาอันเป็นปัจจัยภายในที่ได้กล่าวมาเท่านั้น ยังมีปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงที่ไทยต้องประสบพบเจอคือ แผนตัดขาดและยึดภาคอีสานของไทยตามยุทธการตัว L (L Operation) และรวมภาคอีสานของไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นสหพันธ์อินโดจีน โดยมีเวียดนามเป็นผู้นำ โดยมีลักษณะภูมิประเทศรูปตัวแอลใหญ่ (L) คือพื้นที่ป่าภูเขาบริเวณรอยต่อจังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย ทอดตัวยาวลงมาทางใต้ตามแนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ มาบรรจบกันบริเวณเขาใหญ่ บริเวณรอยต่อ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครนายก และจังหวัดสระบุรี ซึ่งทอดตัวยาวมาจากทิศตะวันตก ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก เขาบรรทัด เขากำแพง และบรรจบกันที่เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 

ซึ่งต่อมากำลังทหารเวียดนามบุกเข้ากัมพูชาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 เพื่อล้มล้างระบอบเขมรแดง กำลังทหารกัมพูชาส่วนใหญ่ได้อพยพมาอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศที่ติดกับชายแดนไทย โดยมีกลุ่มชาวกัมพูชาที่ต่อต้านการยึดครองของเวียดนามอยู่ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มกัมพูชาประชาธิปไตย (Democratic Kampuchea) หรือกลุ่มเขมรแดงของ พล พต และ เขียว สัมพันธ์ มีสมาชิกประมาณ 40,000 คน มีฐานที่ตั้งอยู่บริเวณพนมกระวันและบริเวณตะวันตกของจังหวัดพระตะบอง กลุ่มแนวร่วมปลดแอกแห่งชาติของประชาชนเขมร (Khmer People’s National Liberation Front - KPNLE) ภายใต้การนำของซอนซาน มีสมาชิกประมาณ 4,000-12,000 คน และกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติเพื่อเอกราช ความเป็นกลาง และสันติภาพในกัมพูชา (Front d"union national pour un Cambodge independant, pacifiaue et cooperatif : FUNCINPEC) ภายใต้การนำของสมเด็จนโรดม สีหนุ การที่กลุ่มต่อต้านทั้งสามกลุ่มนี้มีฐานกองกำลังใกล้กับชายแดนไทยเพื่อเป็นง่ายต่อการหลบหนีเมื่อกำลังเวียดนามบุกเข้ามา กำลังกัมพูชาก็หลบหลีกเข้าสู่ดินแดนไทย ในการนี้เวียดนามเห็นว่าไทยยินยอมให้ชาวกัมพูชาฝ่ายต่อต้าน ใช้พื้นที่เป็นที่หลบหนีและคุ้มกันการโจมตีของกำลังเวียดนามและกำลังของ เฮง สัมริน 

ขณะนั้นกองทัพไทยเมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามแล้วนั้นถือได้ว่าเทียบกันไม่ติด ในขณะนั้นมีการจัดอันดับความเข้มแข็งทางทหารของเวียดนามว่า อยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก ในขณะที่กองทัพไทยไม่ติดอันดับหนึ่งในยี่สิบเลย เนื่องจากกองกำลังทางทหารของฝ่ายไทยไม่เคยผ่านการรบมาก่อนหรือถ้าผ่านก็เป็นการรบแบบสมัยใหม่ ซึ่งมีแนวการรบแบบสหรัฐอเมริกาอันแตกต่างกับเวียดนามซึ่งกองกำลังของเวียดนามมีทักษะในการรบที่ดีกว่าและรู้วิธีการรบแบบกองโจร 

นอกจากนี้ทหารของเวียดนามก็ยังมีประสบการณ์รบจากสงครามเวียดนาม ขณะที่เวียดนามบุกกัมพูชานั้น กองกำลังทางทหารของเวียดนามมีจำนวนมากถึง 875,000 คน โดยที่ยังไม่รวมกำลังทหารของฝ่ายเฮง สัมริน ที่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน ด้วยการรบทั้งแบบกองโจรและการรบแบบสมัยใหม่ ขณะที่ฝ่ายไทยนั้นมีประสบการณ์เพียงเรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และมีกำลังทหารที่ผ่านสงครามในลาวและเวียดนาม ซึ่งชำนาญการรบตามหลักนิยมของกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องมีอำนาจการยิงที่เหนือกว่าจึงจะทำการรบได้ นอกจากนี้เวียดนามยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหลือจากสงครามเวียตนามอยู่มาก รวมทั้งในระหว่างปี พ.ศ. 2521 - 2531 นี้เวียดนามได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหภาพโซเวียตเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อพัฒนากองทัพให้ทันสมัยและเพื่อการปราบปรามฝ่ายต่อต้านในการกัมพูชา จึงกล่าวได้ว่า ขณะนั้นไทยมีขีดความสามารถที่ด้อยกว่าเวียดนามอยู่มาก

การคงอยู่ในกัมพูชาของกองกำลังเวียดนามในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2522–2532 ถือเป็นช่วงวิกฤตของไทยเลยทีเดียว การจัดการกับปัจจัยภายนอกในกรณีนี้ รัฐบาลไทยโดยกระทรวงต่างประเทศได้ทำงานอย่างหนักและได้ผล ด้วยการ 

(1) ใช้สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ดำเนินการกดดันเวียดนามในกรณีนี้ในทุกเวทีนานาชาติ ซึ่งประสบผลสำเร็จโดยเวียดนามถูกโดดเดี่ยวในทางการเมืองและเศรษฐกิจ 

(2) ใช้ความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจที่เป็นคู่ขัดแย้งกับเวียดนามเช่น จีนดำเนินการกดดันเวียดนาม และยอมให้จีนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ผ่านไทยไปสนับสนุนกองกำลังกัมพูชาที่ต่อต้านเวียดนาม (รวมทั้งเขมรแดง) 

(3) สหประชาชาติยังคงให้การรับรองรัฐบาลเขมรสามฝ่าย ซึ่งเป็นฟากฝ่ายที่ต่อต้านเวียดนาม ประกอบกับนโยบายของนานาชาติเกี่ยวกับกัมพูชาส่งผลต่อเศรษฐกิจของเวียดนาม สหรัฐประกาศคว่ำบาตรเวียดนาม และมีหลายประเทศในสหประชาชาติไม่รับรองเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา และมีการปฏิเสธสมาชิกภาพขององค์กรระดับนานาชาติ เช่น ธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ใน พ.ศ. 2522 ญี่ปุ่นได้กดดันโดยลดความช่วยเหลือต่อเวียดนาม ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต และปัญหาเรือมนุษย์ ทำให้สวีเดนที่เคยสนับสนุนเวียดนามถอนการรับรองด้วย การโดดเดี่ยวในระดับนานาชาติ และปัญหาทางเศรษฐกิจทำให้เวียดนามต้องพึ่งสหภาพโซเวียตมากขึ้น 

โดยเฉพาะหลังจากการทำสงครามกับจีนใน พ.ศ. 2522 สหภาพโซเวียตให้ความช่วยเหลือเวียดนาม 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสูงที่สุดใน พ.ศ. 2524 – 2528 ใน พ.ศ. 2529 สหภาพโซเวียตประกาศลดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจต่อเวียดนามลง 20% และลดความช่วยเหลือทางทหารลง 1 ใน 3 ต่อมา ในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 คณะกรรมการโปลิตบูโรของเวียดนามได้ปรับนโยบายการต่างประเทศโดยจะเปิดประเทศรับการลงทุนและความช่วยเหลือจากต่างชาติ เวียดนามยุติการประณามสหรัฐอเมริกา จีน อาเซียน และเริ่มมีการถอนทหารออกจากกัมพูชาโดยลำดับ รัฐบาลเวียดนามได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เพื่อฟื้นฟูสันติภาพในกัมพูชา เวียดนามและจีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 การสิ้นสุดความขัดแย้งในกัมพูชา ทำให้ประเทศในอินโดจีนได้แก่ ลาว และกัมพูชา เข้าร่วมกับอาเซียน ในช่วง พ.ศ. 2534 – 2535 เวียดนามได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศสมาชิกอาเซียน และการลงทุนของประเทศสมาชิกอาเซียนในเวียดนามระหว่าง พ.ศ. 2534 – 2537 คิดเป็น 15% ของการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม 

ต่อมาในวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เวียดนามได้เข้าเป็นสมาชิกอันดับที่ 7 ของอาเซียนอย่างเป็นทางการ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2538 เวียดนามได้ประกาศยกระดับจากตัวแทนจากเป็นสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาหลังจากที่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับปกติต่อกันตั้งแต่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 รวมทั้งการเข้าร่วมองค์การการค้าโลกเมื่อปี พ.ศ. 2550 และการเข้าร่วมลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ทำให้การโดดเดี่ยวเวียดนามออกจากสังคมโลกสิ้นสุดลง และทฤษฎีโดมิโน ซึ่งว่าด้วยความเชื่อที่ว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์จะครองโลก หยุดลงที่ราชอาราจักรไทยโดยสิ้นเชิง


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top