Sunday, 6 October 2024
Hard News Team

‘เอกนัฏ’ ปิดช่องนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน สั่งการ!! สมอ.ร่วมกรมศุลฯ คุมเข้มสินค้า ‘กลุ่ม Exempt 5’

(5 ต.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้ามาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐานภายใต้นโยบายปกป้องอุตสาหกรรมไทย โดยบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดสั่ง สมอ. ร่วมกับกรมศุลกากร ปิดช่องทางการนำเข้าสินค้าที่ สมอ. ควบคุม ที่นำเข้ามาโดยมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการจำหน่ายและไม่เกินจำนวนที่กำหนด หรือ EXEMPT 5 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน 

นอกจากนี้ ได้เร่งรัดให้ สมอ. หารือกับกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายในการป้องกันและปราบปรามสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ตั้งแต่การนำเข้า ผลิต และจำหน่าย ให้ถึงมือประชาชนด้วยความปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่ตนได้มอบให้หน่วยงานในสังกัดเดินหน้าปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย เพื่อรับโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของโลก

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สมอ. ได้ร่วมกับกรมศุลกากร ปิดช่องทาง EXEMPT 5 และเปิดเป็น 'ศูนย์เฉพาะกิจรับแจ้งการนำเข้า' ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเดิม EXEMPT 5 เป็นช่องทางที่อาจมีผู้นำเข้าอาศัยช่องว่างดังกล่าว ลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในประเทศ จึงต้องทำการปิดช่องทางนี้ และเปิดให้มายื่นขอบริการผ่านทางช่องทาง national single window (NSW) แทน ทั้งนี้ หากท่านประสงค์จะนำเข้าสินค้าควบคุมทั้ง 144 รายการ ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์อื่นใด หรือนำเข้ามาจำนวนเพียงไม่กี่ชิ้นก็ตาม จะต้องยื่นคำขอผ่านระบบ NSW เพื่อแจ้งข้อมูลการนำเข้ากับ สมอ. ทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น สำหรับศูนย์เฉพาะกิจฯ มีผู้ประกอบการและประชาชนเข้ามารับบริการแล้วอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อศูนย์เฉพาะกิจฯ ได้ที่ชั้น 1 สมอ. หรือ โทร. 0 2430 6815 ต่อ 3001 – 3003 ในวันและเวลาราชการ

“ฝากถึงผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ลักลอบนำสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่าย ไม่ว่าจะช่องทางใด หากตรวจพบ สมอ. จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน และปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ สำหรับคำแนะนำประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าให้สังเกตที่มีเครื่องหมาย มอก. คู่กับ QR Code ที่แสดงข้อมูลผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง อย่าดูที่ราคาถูกเพียงอย่างเดียวอาจได้สินค้าด้อยคุณภาพ” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

'จตุพร' ยกคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ จุดตาย 'นายกฯอิ๊งค์' เย้ย! คนได้รางวัล 'ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต' ไปทุกราย

‘จตุพร’ ซัดนโยบายรัฐบาล ‘แพทองธาร’ ขายชาติ อ้างประชาชนแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วน ๆ ชี้จุดตาย ‘นายกฯอิ๊งค์’ คือสนามกอล์ฟอัลไพน์ ย้อนถามสื่อไม่เข้าใจอีกหรือ คนได้รางวัลไทม์ 'ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต' ไปทุกราย

(5 ต.ค.67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมรัฐบาลแพทองธาร ว่ารัฐบาลนี้จะล้มได้ จะจุดม็อบติดได้ ไม่ใช่แกนนำม็อบ แต่คือรัฐบาล ที่จะเป็นไม้ขีดไฟ เป็นน้ำมันเสียเอง ที่ผ่านมาคนเข้าใจผิดคิดว่าม็อบจุดไม่ติดอยู่ที่แกนนำหรืออยู่ที่ประชาชนไม่ใช่อยู่ที่รัฐบาล ดังนั้นการอยู่หรือไป ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่ในกระบวนการขององค์กรอิสระ ไม่ว่าประเด็นเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ ที่ดูเหมือนจะรอดยากที่สุด เพราะที่ดินเป็นธรณีสงฆ์ไม่สามารถซื้อขายได้ แม้จะบอกว่าไม่ได้ซื้อตรง เป็นการซื้อต่อมาอีกที แต่ก็กลายเป็นกรณีรับของโจร และมีการโอนหุ้นต่อให้แม่ไม่กี่วันที่ผ่านมา

นายจตุพร กล่าวว่าในคำวินิจฉัยของศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกอดีตปลัดกระทรวง ที่เคยเซ็นอนุญาตให้มีการซื้อขาย สุด ๆ ไปถึง 2 ปี ดังนั้น ที่ดินตรงนี้จะต้องกลายเป็นของวัด เพราะเป็นที่ดินที่ได้รับบริจาคมาไม่สามารถที่จะนำไปทำเป็นสนามกอล์ฟหรือทำการซื้อขายได้ ฉะนั้นนางสาวแพทองธาร ก็ต้องอยู่ภายใต้กลไก ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว 

นายจตุพร กล่าวต่อว่า และประเด็นที่จะทำให้เรื่องนี้เดินเร็วขึ้น อย่างรวดเร็วคือผลพวงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน เพราะการแต่งตั้งรัฐมนตรีนั้นเป็นมติพรรคเพื่อไทย ซึ่งนางสาวแพรทองคำเป็นหัวหน้าพรรค เรื่องนี้อาจจะมี การสั่งให้ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเร็ว นอกจากนี้ อาจถูกดำเนินคดีทางอาญาเพราะผู้สมัคร อบจ.พรรคเพื่อไทยถูกใบเหลือง เนื่องจากจัดมหรสพ ซึ่งภายในงานก็มีแกนนำพรรคเพื่อไทยอยู่กันครบ นี่คือการอยู่หรือไปของนางสาวแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการออกมาขับไล่ของประชาชน

ส่วนเหตุผลที่ภาคประชาชนจะลงท้องถนนได้นั้น เพราะมีการขายแผ่นดิน 99 ปีให้กับต่างชาติ แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าครบ 99 ปีแล้วจะคืนที่ดินให้กับกรมธนารักษ์ ไปสร้างบ้านให้กับคนจน

"ที่วัดคุณ ยังไม่เว้น 99 ปี คนพูดวันนี้ก็ตายแล้ว คนฟังก็ตายแล้ว ลูกคนพูดก็ตายแล้ว ลูกคนฟังก็ตายแล้ว สิ่งที่ประจักษ์ชัดยังโกหก ในอดีตทำไมให้ 30 ปี เพราะรู้ว่านี่กระทบต่อดินแดน ที่มาขยายเป็น 99 ปี ในอดีตทำไมถึงเอา 49% นี่มาขยายเป็น 75% ผลประโยชน์ส่วนตัวล้วน ๆ" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร ยังกล่าวต่อว่าวันนี้การอยู่หรือไปของนางสาวแพทองธาร คือกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์และคุณสมบัติต้องห้ามอย่างอื่น นี่คือการอยู่เรือไปเหมือนกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีการโยกย้ายถวิลเปลี่ยนสี

"การที่ประชาชนออกท้องถนนไปขวาง ถ้าวันหนึ่งเดินไปถึง การขายแผ่นดิน 99 ปี การทำบ่อน ประชาชนต้องออกไปขวางเพราะเท่ากับ รัฐบาลเป็นผู้จุดม็อบเอง ไม่มีแกนนำหน้าไหนประชาชนหน้าไหนในประวัติศาสตร์ ที่จะจุดม็อบติด คนจุดม็อบติดคือรัฐบาล ไม่ว่าตัวนายกรัฐมนตรีหรือพ่อของนายกรัฐมนตรีก็ตาม" นายจตุพรกล่าว

เมื่อถามว่าหากใช้กลไกองค์กรอิสระ อาจจะใช้เวลาค่อนข้างนาน จะทำให้คนต้องลงถนนก่อนหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า มันเป็นรอยต่อ เพราะในบางเรื่องทาง กกต. ก็ทำหน้าที่เหมือนไปรษณีย์ ไม่มีหน้าที่วินิจฉัย นายทะเบียนพรรคการเมืองมีหน้าที่ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ ถึงมือประชาชนถ้าวันนี้ต่างคนต่างทำหน้าที่ก็ไม่ถึงมือประชาชน ใครจะอยากลงถนน แต่เราเห็นว่าถ้ามีการขายชาติ ต้องเสียดินแดนถึง 99 ปี รวมถึงทำบ่อนการพนัน เราก็ยอมไม่ได้ เพราะฉะนั้น หนทางข้างหน้าตัว นายกรัฐมนตรีหรือพ่อนายกรัฐมนตรีที่เงียบหายไปหลายวันคือผู้จุดม็อบ ไม่ใช่ประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่นางสาวแพทองธาร ได้รับกระแสนิยมเป็นอันดับ 1 ของนิด้าโพลรายไตรมาส และติด 1 ใน 100 อันดับ ผู้นำที่ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสารไทม์ จะทำให้คนลืมเรื่องไม่ดีหรือไม่ นายจตุพร ถามกลับสื่อมวลชนทันทีว่า ยังไม่เข้าใจอีกหรือ ว่าใครที่ติดอันดับนิตยสารไทม์ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พร้อมยกตัวอย่าง 3 รายก่อนหน้า ได้แก่ ปี 2019 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หลังจากนั้นก็ถูกยุบพรรคตัดสิทธิ์ทางการเมือง และถูกดำเนินคดี ม.112 เรื่องวัคซีน , ต่อมาปี 2021 นายอานนท์ นำภา ตอนนี้อยู่ที่ไหน , คนที่ 3 ปี 2023 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล วันนี้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี และกำลังถูกดำเนินคดีจาก ป.ป.ช. เรื่องจริยธรรม อาจถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต

"ผู้ที่ได้รับรางวัลทรงอิทธิพลแห่งอนาคตทั้ง 3 คน หลังจากนั้นไม่เหลือในปัจจุบัน แล้วคุณอุ๊งอิ๊งภาคภูมิใจอะไรนักหนา คุณก็คือคิวต่อไป" นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ต่อมาโพลนิด้า ก่อนที่นางสาวแพทองธารได้ ใครได้อันดับ 1 มาก่อน นั่นคือนายพิธา แล้วตอนนี้นายพิธาอยู่ไหน ต้องเขียนจดหมายจากฮาเวิร์ด แล้วนางสาวแพทองธารจะเขียนจดหมายจากไหนมายังประเทศไทย เห็นอยู่แล้วว่าเป็นบันไดเข้าสู่ลานประหาร เมื่อเป็นที่ 1 แล้วก็ถูกจัดการหมด ยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้มีความดีใจ เพราะดีใจกันมาทุกคน หลังจากนั้น ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ถ้าในทางการแพทย์เขาเรียกว่ามะเร็งระยะสุดท้าย ร่างกายจะสวยงาม เปล่งปลั่งเสมอ

‘อัครเดช’ ชี้!! แก้ปัญหาน้ำท่วมสำคัญกว่าแก้รัฐธรรมนูญ พร้อมขอบคุณ รบ.โอนเงินหมื่นเข้าบัตรคนจน ตาม รทสช.เสนอ

'อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์' ย้ำแก้รัฐธรรมนูญมีขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องไปเร่ง ชี้ปัญหาของความเดือดร้อนของประชาชนสำคัญกว่า โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ขอบคุณรัฐบาลใช้ฐานข้อมูลบัตรคนจน โอนเงินหมื่นเข้าระบบช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ตามข้อเสนอพรรครวมไทยสร้างชาติ

(5 ต.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า จากที่มีการรายงานข่าวถึงความเห็นของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นสามารถรอได้ ตนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับความคิดเห็นดังกล่าว เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ทุกภาคส่วนควรเร่งใช้สรรพกำลังในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงเตรียมแนวทางการแก้ไขปัญหาหากเกิดเหตุซ้ำ 

“ขอเน้นย้ำว่าปัญหาทางการเมืองเป็นเรื่องที่สามารถรอได้ แต่ปัญหาของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากภัยพิบัติเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ นอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ หรือเรื่องการเมืองนั้นมีระยะเวลากระบวนการทำงานของการแก้รัฐธรรมนูญอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปเร่งรัดแต่อย่างใด สิ่งที่รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนคือปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม”

พร้อมกันนี้ นายอัครเดช ยังเห็นด้วยกับรัฐบาลที่ได้ดำเนินการจ่ายเงินสด 10,000 บาทต่อหัว ไปยังผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยเสนอไปในสภาผู้แทนราษฎรว่า ควรใช้ฐานข้อมูลของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการจ่ายเงินไปยังกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ และเมื่อจ่ายเป็นเงินสดแล้วยังทำให้กลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินดังกล่าวสามารถนำไปใช้จ่ายได้คล่องตัว 

‘ดาต้าเซ็ต’ ส่องความเห็นโซเชียล ปม 'แจกเงินหมื่น' พบชาวเน็ตเสียงแตก มีทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน

(5 ต.ค.67) ภายหลังโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งปรับเปลี่ยนรูปแบบมาจาก 'ดิจิทัล วอลเล็ต' ได้ก่อให้เกิดประเด็นถกเถียงในสังคมออนไลน์ มีทั้งฝ่ายที่มองว่าเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิต ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าเป็นเพียงการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไม่ยั่งยืนพร้อมทั้งกังวลถึงผลกระทบระยะยาว โซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างคึกคัก สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจอย่างมากของผู้คนที่มีต่อนโยบายนี้

บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ DXT360 เพื่อฟังเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) ในช่วงวันที่ 25 กันยายน - 1 ตุลาคม 2567 ถึงประเด็นเกี่ยวกับ “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ” พบว่ามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างคึกคักในโลกออนไลน์ โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย ทั้งการวิจารณ์ตัวนโยบาย และการแบ่งปันไอเดียการใช้เงินที่ได้รับว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายกับอะไรบ้าง? สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างของประชาชนที่มีต่อมาตรการนี้

ส่องไอเดียโซเชียลใช้ 'เงินหมื่น' ไปกับอะไร ?
จากข้อมูลที่รวบรวมได้ในโซเชียลมีเดีย พบว่าประชาชนส่วนใหญ่วางแผนจะนำเงินไปใช้จ่ายค่อนข้างหลากหลาย โดยส่วนใหญ่จะนำเงินไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมากที่สุด รองลงมาคือนำเงินที่ได้รับไปชำระหนี้ การต่อยอดลงทุนโดยเฉพาะการซื้ออุปกรณ์ที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม และอื่น ๆ โดยสามารถแบ่งสัดส่วนการใช้จ่ายได้ดังนี้: 

1. สินค้าอุปโภคบริโภค: 47.8%
- อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในครัวเรือน ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องปรุง
- สินค้าเพื่อการเกษตร (ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง อุปกรณ์การเกษตร พันธุ์พืช สัตว์เลี้ยง)
- เครื่องใช้ไฟฟ้า/อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- เสื้อผ้า/เครื่องแต่งกาย

2. ชำระหนี้สิน: 17.4%
- ใช้หนี้ จ่ายหนี้ ชำระหนี้ต่าง ๆ
3. ลงทุน: 9.6%
-   ซื้อทอง เก็บเงิน ลงทุนในอุปกรณ์ทำมาหากิน ซื้อสลากออมสิน
4. เงินสำหรับการรักษาและซ่อมบำรุง: 8.7%
-  ค่ารักษาพยาบาล ยา อุปกรณ์การแพทย์ ทำฟัน
-  วัสดุซ่อมแซมบ้าน
5. อื่น ๆ: 16.5%
-  ชำระค่าสาธารณูปโภค
-  ทำบุญ/บริจาค
-  ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา

ชาวโซเชียลคิดเห็นอย่างไร ? กับนโยบายแจกเงินหมื่น

ความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายนี้มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังและข้อกังวลที่มีต่อผลกระทบในระยะยาว โดยสามารถแบ่งความคิดเห็นออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย: 51.8%
• กังวลเรื่องภาระหนี้สาธารณะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการคลัง เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดผลิตภาพในระยะยาว อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและภาระทางการคลังแก่คนรุ่นต่อไป
• มองว่าการคัดกรองผู้ได้รับสิทธิ์ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้คนที่ไม่ได้เดือดร้อนจริงได้รับเงิน ในขณะที่คนที่เดือดร้อนไม่ได้รับ สะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมและความล้มเหลวในการบริหารจัดการข้อมูล
• เห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน และอาจสร้างวัฒนธรรมการพึ่งพารัฐบาลมากเกินไป ทำให้ประชาชนขาดแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองและพึ่งพาตนเอง
• วิพากษ์วิจารณ์การใช้จ่ายเงินอย่างไม่เหมาะสมของผู้ได้รับ เช่น เล่นการพนัน ซื้อของฟุ่มเฟือย
• ต้องการให้นำงบประมาณไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือการลงทุนระยะยาวแทน เนื่องจากมองว่ามีความยั่งยืนต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่า

กลุ่มที่เห็นด้วยกับนโยบาย: 33.2%
• มองว่าเป็นการช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจริง ๆ เพราะสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้มีรายได้น้อยและช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตได้
• เห็นว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและร้านค้าท้องถิ่นได้รับประโยชน์ 
• เชื่อว่าเป็นการคืนภาษีให้ประชาชน และรัฐบาลมีความตั้งใจดีในการช่วยเหลือประชาชน แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในปัญหาและความต้องการของประชาชน
• มองว่าการให้เป็นเงินสดดีกว่า เพราะประชาชนสามารถนำไปใช้ได้ตามความจำเป็น ให้อิสระในการบริหารจัดการเงินตามสถานการณ์ของแต่ละครอบครัว
• สนับสนุนให้มีนโยบายแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชน เพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่ตรงจุดและเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว

กลุ่มที่เป็นกลาง: 15.0%
• เข้าใจความจำเป็นในการช่วยเหลือผู้เดือดร้อน แต่เสนอให้มีการปรับปรุงระบบการคัดกรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้ที่ต้องการจริง ๆ และลดความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร
• มองว่าควรมีการติดตามและประเมินผลนโยบายอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับปรุงให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยพิจารณาทั้งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวต่อเศรษฐกิจและสังคม
• เสนอให้มีมาตรการควบคุมการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนโยบาย เช่น การกำหนดประเภทสินค้าและบริการที่สามารถใช้จ่ายได้ หรือการให้เป็นเครดิตสำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็นเท่านั้น
• แนะนำให้พิจารณาทางเลือกอื่น ๆ ในการช่วยเหลือประชาชน เช่น การสร้างงาน หรือการพัฒนาทักษะ ซึ่งอาจเป็นวิธีที่ยั่งยืนกว่าในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
• เห็นว่าควรมีการสื่อสารและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและครอบครัว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความคิดเห็นต่อนโยบายนี้จะแตกต่างกัน แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากที่รอคอยและหวังจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ และประชาชนยังให้ความสนใจเรื่องความโปร่งใสในการดำเนินนโยบาย การเปิดเผยข้อมูลผลการดำเนินนโยบายอย่างชัดเจน และการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการปรับปรุงและพัฒนานโยบายให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง และส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง' เดินสายซับน้ำตา มอบเงินเยียวยา ครอบครัวผู้สูญเสีย และผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี

(5 ต.ค.67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการมูลนิธิ พร้อมด้วย นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ และ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกสาธารณภัย ลงพื้นที่ให้กำลังใจพร้อมมอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี ประสบอุบัติเหตุและไฟไหม้ รายละ 20,000 บาท รวม 23 ราย โดยมี นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ร่วมในพิธี ณ โรงเรียนเขาพระยาสังฆาราม หมู่ 5 ต.ลานสัก อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี 

พร้อมกันนี้ นายไปรเทพ ซอโสตถิกุล ผู้ช่วยกรรมการ และนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ นำทีมแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ เดินทางไปยังสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) กรุงเทพฯ และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี เข้าเยี่ยมนักเรียนที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ให้กำลังใจผู้ปกครอง พร้อมมอบกระเช้าและมอบเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาท รวม 3 ราย 

รวมงบประมาณการช่วยเหลือทั้งครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนี้ทั้งสิ้น 475,000 บาท (สี่แสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาทถ้วน)

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้ง และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ http://www.facebook.com/pohtecktungofficial

‘ดิ เอราวัณ กรุ๊ป’ ดึง Lapis Hospitality ร่วมทุน ‘ฮ็อป อินน์’ เตรียม Spin-off ธุรกิจ พร้อมลุยขยายโรงแรมเพิ่ม 3 ประเทศ

(5 ต.ค.67) ฮ็อป อินน์ ผู้นำโรงแรมระดับบัดเจ็ทที่ดำเนินงานอยู่ทั่วประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น พร้อมปรับกลยุทธ์เจาะตลาดใหม่ขยายฐานสร้างแบรนด์ระดับสากล ตอกย้ำมาตรฐานเดียวกันทุกที่ทุกประเทศ 'Consistency is Yours' เจาะตลาดนักเดินทางที่มองหาความคุ้มค่าทุกประเภททั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทสัญชาติไทยที่มีสาขามากกว่า 70 โรงแรม จำนวนห้องพักรวมมากกว่า 7,000 ห้อง ครอบคลุม 3 ประเทศ ภายใต้การพัฒนาและบริหารของบริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด ในเครือ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ตอบโจทย์นักเดินทางทุกประเภท ตั้งเป้าขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อย 3 ประเทศใหม่ ในเอเชียแปซิฟิก และเดินหน้าเป็นผู้นำเครือข่ายโรงแรมที่ครอบคลุมมากสุดในไทยมากกว่า 40 จังหวัด พร้อมแผนขยายสาขาในประเทศไทย ฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น เพื่อครองใจและเพิ่มฐานลูกค้า ตั้งเป้ารายได้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี(CAGR) มากกว่า 15% ปักธงในปี 2030 ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก

นางสาวพิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของโรงแรมฮ็อป อินน์ ตลอด 10 ปี เราสามารถทำได้ตามแผนทั้งการขยายและการรักษาคุณภาพการบริการ เราตั้งเป้าที่ใหญ่และสำคัญในปี 2030 จะขึ้นเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก เมื่อต้นปีที่ผ่านมาโรงแรมฮ็อป อินน์ ญี่ปุ่น เปิดให้บริการครบ 4 สาขา ในโตเกียวและเกียวโต โดยได้รับเสียงตอบรับที่ดีและเป็นการสร้างฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น จากหลายประเทศหลากหลายทวีป จึงทำให้เรามั่นใจว่าจะขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อยในอีก 3 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

"เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ฮ็อป อินน์ มีความพร้อมด้านการลงทุนตามแผนขยายระยะยาว แผนการ Spin-off ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป  (ERW) มีการแยกส่วนบริหารงานและตั้งเป้าหมายแผนการทำงานของแต่ละปีอย่างชัดเจน ตอนนี้เราได้ Strategic partner คือ Lapis Hospitality Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่บริหารจัดการโดยกองทุน Lombard Asia V, L.P.

เข้าร่วมลงทุน 16.09% ที่ ฮ็อป อินน์ มูลค่า 700 ล้านบาท ซึ่งเป็น Partner ที่มีความสามารถประสบการณ์ด้านการลงทุนทั่วเอเชียแปซิฟิก เป็นการเสริมความพร้อมในการยกระดับโรงแรมฮ็อป อินน์ เพื่อก้าวสู่อันดับหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก คาดการณ์ว่าจะยื่นเสนอบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2027 เพื่อให้สามารถนำหุ้นออกเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) เพื่อสนับสนุนแผนขยายงานระยะยาว ” คุณพิชานันท์ กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนางสาวนลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารธุรกิจ กล่าวว่า “ฮ็อป อินน์ อยากทำให้ทุกการเดินทางของทุกคนง่ายขึ้น เราตั้งใจทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายทุกขั้นตอน หาง่าย จองง่าย พักสบาย ราคาเข้าถึงได้ เราให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความสม่ำเสมอในทุกมิติ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีทั้งก่อนและหลังเข้าพักให้กับลูกค้า เรามีนโยบายที่เป็นเจ้าของและบริหารโรงแรมทั้งหมดเอง เพื่อรักษาคุณภาพให้ได้ 100% ของทั้งเครือ โดย 95% เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ทุกโรงแรมมีความสม่ำเสมอ ทั้งด้านการออกแบบรูปลักษณ์ และมาตรฐานการบริการ ที่ไม่ว่าไปพักที่ประเทศใด สาขาไหน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่เพิ่งเปิด หรือเปิดบริการมา 10 ปี จะได้รับประสบการณ์เดียวกันทุกที่ ที่กล่าวมาข้างต้นมาจากความตั้งใจของทีมงานทุกคน ซึ่งสะท้อนคำมั่นสัญญาตลอด 10 ปี ที่มอบให้กับลูกค้า 'Consistency is Yours' หรือ 'ความสม่ำเสมอเป็นของคุณเสมอ' เราให้บริการลูกค้ามากกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี ทีมงานทุกคนขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มาเข้าพักกับเรา ฮ็อป อินน์ มีความพร้อมที่จะมอบการบริการที่ดีมีคุณภาพในทุกประเทศที่เราไปขยายและมั่นใจว่าแบรนด์จะเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” กล่าวทิ้งท้าย

เลขาฯ ปชน. ประกาศกวาด 300 สส. ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แย้ม!! ส่งบัญชีนายกฯ มากกว่า 1 ชื่อ กันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

‘เลขาธิการพรรคประชาชน’ ลั่นเลือกตั้งรอบหน้า มีโอกาสกวาด สส. 270 – 300 ที่นั่ง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โวขั้นต่ำเกินกึ่งหนึ่งแน่ แย้มชงบัญชีนายกฯ มากกว่า 1 ชื่อ

พรรคประชาชน ที่มีณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นหัวหน้าพรรค เตรียมรณรงค์แคมเปญ 'เท้ง ทั่วไทย' โดยนายณัฐพงษ์ หลังจากนี้จะมีการเดินสายไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้ครบทุกจังหวัด ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีการ Kick off ไปแล้วแถวย่านเพชรเกษม ฝั่งธนบุรี พื้นที่เลือกตั้งเดิม ของนายณัฐพงษ์ สมัยเป็นสส.เขต กทม.

นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวถึงทิศทางการเมืองของพรรค หลังถูกถามว่า สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ได้มา 81 เสียง มาพรรคก้าวไกลได้ 151 เสียง แล้วมายุบพรรคก้าวไกล เลือกตั้งรอบหน้า จะได้เกิน 200 หรืออาจ 250 ที่นั่งได้หรือไม่ โดยกล่าวว่า ส่วนใหญ่ตอนนี้เราคิดว่าเราจะพัฒนาตัวเองอย่างไร การพัฒนาตัวเอง ความหมายก็คือ เราต้องชนะตัวเองในอดีต เมื่อวานเราได้แค่ไหน วันพรุ่งนี้เราต้องดีกว่าในความหมายแบบนี้

“หากมีการเลือกตั้งปี 2570 อย่างที่มีการประเมินกัน เรายังมีเวลาอีกพอสมควร อย่างน้อยสองปีกว่าถึงสามปี การที่เราดีขึ้นทุกวัน-ทุกวัน อย่างที่เราประเมิน มันก็ไปได้ไกลมาก อาจไปได้ไกลถึง 270 หรือ 300 เสียง ก็เป็นไปได้ ถ้าเราดีขึ้นทุกวันอย่างที่บอก เราเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวาน ดังนั้น เวลาผมพูดก็จะซีเรียสว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ตอนนี้พอเห็นทิศทาง มันเป็นไปได้ตั้งแต่มากกว่าเดิม ผมมั่นใจว่าเราได้มากกว่าเดิมแน่ แต่จะมากไปถึงไหน ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้และวันพรุ่งนี้เรื่อย ๆ ไป ส่วนตัวเลขจะได้ 200 เสียงหรือไม่ ในความเห็นส่วนตัวผม ผมมั่นใจว่าเราน่าจะไปได้ไกลกว่านั้น ความเห็นส่วนตัวผม” เลขาธิการพรรคประชาชน ระบุ

ส่วนที่ยังมีเสียงปรามาสว่า หลังเลือกตั้งรอบหน้า พรรคประชาชนจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านอีก นายศรายุทธิ์กล่าวว่า คิดว่าอาจจะเป็นอีกหนึ่งปี สองปี หรือสามปี ซึ่งเราไม่รู้อนาคต แต่เราต้องแข่งกับตัวเอง ณ เวลานั้น เราอาจเข้มแข็งมาก จนทะลุทะลวงได้ สส. เกิน 250 ที่นั่ง ก็เป็นไปได้

เมื่อถามว่า ความมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวกับรัฐบาลผสม มุ่งไปทางไหน เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวตอบว่า การทำงานของเรา ด้วยความคาดหวังที่อยากเห็นประเทศมีอนาคต ทุกคนที่มาทำงานที่พรรค ต่างมีความคาดหวังแบบนั้น ดังนั้น ทุกคนมุ่งมั่นทำเต็มที่ ที่จะทำอย่างไรให้สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่สังคมที่มีอนาคตได้เร็ว เราก็ทำเต็มที่อยู่แล้ว ดังนั้นเราพยายามให้เป็นอย่างนั้น (รัฐบาลพรรคเดียว) ก็เป็นไปได้ ถ้าทำสำเร็จ ก็ควรเป็นอย่างนั้น ผมเชื่อว่า สิ่งที่เรานำเสนอ มีความปรารถนาดีต่อประเทศจริงๆ อยากให้ประเทศเราเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี นี้คือความปรารถนาของเรา

ถามย้ำว่า โอกาสที่หากพรรคประชาชนเลือกตั้งรอบหน้า สมมุติว่าได้มา 200 เสียง โดยถ้ารวมกับพรรคเพื่อไทยแล้วเสียงในสภาฯ ท่วมท้น โอกาสจับมือกันตั้งรัฐบาลเป็นไปได้หรือไม่ นายศรายุทธิ์ กล่าวว่า ถ้าถาม ณ วันนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมา ผมคิดว่ายาก โดยส่วนตัวผม ประเมินว่าไม่ง่าย อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมบอก มันก็จะมีเวลาอีกหลายปีกว่าจะถึงวันนั้น การทำงานร่วมกันในสภา ไม่ว่าพรรคการเมืองไหน ไม่ใช่ว่าแค่พรรคเพื่อไทยรวมถึงพรรคอื่นๆ เราก็ต้องดูว่าเราผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงแก้ไขประเทศได้แค่ไหน ถ้ามันมีบางเรื่องที่เราทำงานร่วมกันได้ ผลักดันบางอย่างให้เกิดขึ้นได้ ผมคิดว่าสถานการณ์ ก็อาจเปลี่ยนไปในอนาคต ก็เป็นไปได้ หากเราจะต้องจับมือกับใคร ก็เป็นไปได้ ณ เวลานั้น

เมื่อถามว่า ฟังตอนนี้ ดูเหมือนจะจับมือกันยากกับเพื่อไทย เลขาธิการพรรคประชาชน ยอมรับว่า บรรยากาศโดยภาพรวมมันทำให้มองอย่างนั้น แม้แต่ตนเองก็รู้สึกแบบนั้น คือด้วยความที่เรามีคนจำนวนมากในพรรค เราก็ต้องฟังเสียงของทุกคน

ส่วนกรณีเสียงวิจารณ์ว่า ที่ผ่านมาในการเป็นฝ่ายค้าน ไม่ค่อยแตะเพื่อไทย ไม่แตะทักษิณ ชินวัตร แตะก็แตะแบบลูบเบาๆ นายศรายุทธิ์ ยืนยันว่า ไม่จริง เราก็ทำตลอด อย่างที่มีการพูดกันว่า เราไม่ตรวจสอบชั้น 14 ก็ไม่จริง ก็มีการอภิปรายในสภาฯ แต่ประเด็นที่เราจะตรวจสอบ และวิธีการที่เราจะตรวจสอบ เราไม่เลือกใช้ช่องทางที่เรามองว่ามีปัญหา อย่างเช่น ผ่านองค์กรอิสระต่างๆ เราไม่อยากจะใช้แบบนั้น เราไม่อยากให้เป็นนิติสงครามเหมือนที่เราโดน เราจะใช้เวทีปกติในระบบประชาธิปไตย อย่างเช่นการอภิปราย ก็อยากให้ดูว่าเราทำได้ดีแค่ไหนตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจ เราก็จัดเต็ม ทำเต็มที่แน่นอน ถ้าอะไรที่เป็นกลไกปกติ พรรคเราทำเต็มที่แน่นอน

เมื่อถามถึงเสียงวิจารณ์เรื่องดีลลับระหว่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับนายทักษิณ ชินวัตรนั้น เลขาธิการพรรคประชาชน ยืนยันว่า ไม่มี โดยตัวของธนาธร ไม่สามารถดีลลับได้อยู่แล้ว ต้องบอกว่าระบบพรรคเรา คือเวลาคนอื่นมอง เขามองโดยใช้แว่นตาแบบเดิม เช่นคนนั้นเป็นเจ้าของพรรค ต้องให้คนนั้นไปดีล คือเขาไปเอามุมมองแบบนั้น มามองพรรคเรา ทำให้คิดอย่างนั้น ซึ่งในความเป็นจริง พรรคเรามีความเป็นสถาบันมากกว่านั้น ธนาธร ไม่ได้มีบทบาทที่จะตัดสินใจชี้่ถูกชี้ผิดอะไรในพรรค แน่นอนว่าอาจจะมีคนในพรรคจำนวนหนึ่ง อาจมีความชื่นชอบนิยม แล้วให้การยกย่องอันนี้มีจริง แต่เขาไม่ได้เข้ามาล้วงลูก มาทำอะไรในพรรค

ส่วนการเสนอแคนดิเดตนายกฯ พรรคคงไม่เสนอคนเดียวแล้ว หลังมีบทเรียนจากเคสนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์นั้น นายศรายุทธิ์ กล่าวว่า ตอบไม่ได้ว่าใช่หรือไม่ แต่ยอมรับว่ามีการคุยจริง และหลายคนที่เป็นแกนนำพรรค ก็มองไปในทิศทางแบบนั้น แต่จะบอกตอนนี้เลยคงไม่ได้ เพราะคงต้องไปพูดกันตอนใกล้ๆ เลือกตั้ง ทั้งนี้ยอมรับว่าการเสนอชื่อ นายณัฐพงษ์ กับ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็เป็นไปได้สูง ซึ่งหากถามความเห็นส่วนตัว เห็นว่าควรเสนอไปเลยสามชื่อ และหากฟังคนในพรรค อย่างไรก็เสนอมากกว่าหนึ่งชื่อแน่นอน แต่จะเป็นอย่างไร ก็คงไปว่ากันตอนช่วงใกล้เลือกตั้ง

ผบ.สอ.รฝ.ท่านใหม่ มอบ 3 นโยบายหลักกำลังพล ต้องมีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ มีระเบียบวินัยและมีความสามัคคี

ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี มีพระบรมราชราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ ให้ พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ ประจำผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ผบ.สอ.รฝ.) ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 

หลังจากได้กระทำพิธีรับ - ส่งหน้าที่และพิธีมอบการบังคับบัญชา ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อย่างเป็นทางการ ณ บริเวณหน้ากองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี แล้ว ได้ให้คณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรง เข้ารายงานตน 

โดย พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้กล่าวต่อหน้ากำลังพล มีใจความว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ ผมได้ตั้งปณิธานว่า จะปฏิบัติหน้าที่ราชการสนองพระเดชพระคุณอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมทั้งได้มอบนโยบาย 3 ประการที่สำคัญ ได้แก่ 

ประการที่ 1 ต้องมีความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  ประการที่ 2 กำลังพลทุกนาย ต้องมีระเบียบวินัย และประการที่ 3 ด้านความสามัคคี มุ่งหวังให้ทุกคนมีความรัก สามัคคีในหมู่คณะ มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เสมือนร่วมอยู่ในเรือลำเดียวกัน พร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุข ดังที่ได้ยึดถือสืบต่อกันมา

รรท.ผบ.ตร.กำชับตำรวจภูธรภาค 5 ดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างเต็มที่ พร้อมเพิ่มความเข้มงวดดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

(5 ต.ค.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.)เปิดเผยว่า จากการประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัย เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้สั่งการให้ทุกพื้นที่เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อำนวยความสะดวกการจราจรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย รวมทั้งประสานบูรณาการกับหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบโดยตรง ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และฟื้นฟูหลังน้ำลด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในทุกมิติ รวมทั้งดูแลข้าราชการตำรวจที่ได้รับความเดือดร้อนจากความเสียหาย โดยจะมีแนวทางให้ความช่วยเหลือข้าราชการตำรวจและครอบครัวต่อไป

ล่าสุดยังมีสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.ภ.5) ว่า ยังมีพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนในหลายจุด ซึ่งได้กำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลัง 

วันนี้ ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ นำกำลังข้าราชการตำรวจเร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในหมู่บ้านสัมมากร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และร่วมวางแผนการฟื้นฟูในโอกาสที่น้ำลดลงต่อไป ซึ่งในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ มีหลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมวลน้ำที่เข้าท่วมบ้านเรือน และพื้นที่ต่างๆ ตำรวจทุกพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือในทุกมิติ เช่น พื้นที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ พ.ต.อ.ปรัชญา ทิศลา ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ นำกำลังสายตรวจออกไปช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ติดค้างอยู่ในพื้นที่อุทกภัย , พื้นที่ อ.จอมทอง พ.ต.อ.สิโณทัย ลิลิตธรรม ผกก.สภ.จอมทอง พร้อมกับชุดปฏิบัติการจิตอาสา ชุดชุมชนสัมพันธ์ และสายตรวจจราจร ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมพื้นที่หมู่บ้านแม่กลางบ้านลุ่ม หมู่ 4 ต.บ้านหลวง , อ.แม่ปิง สภ.แม่ปิง ร่วมกับ ตชด. ช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยว ถ.ทุ่งโฮเต็ล ในการเดินทาง และแจกอาหารพร้อมน้ำดื่ม , ที่ อ.แม่ริม สภ.แม่ริม ร่วมกับ กก.ตชด.33 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และได้เข้าช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่บ้านดวงดี บ้านต้นแก้ว บ้านท้องฝาย พร้อมทั้งจัดตั้งโรงครัวประกอบอาหาร และนำส่งอาหารพร้อมน้ำดื่มให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ , ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ ต.กื๊ดช้าง อ.แม่แตง เป็นเหตุให้น้ำท่วมในพื้นที่ศูนย์บริบาลช้างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และจิตอาสา ช่วยเหลือประชาชน นักท่องเที่ยว และช้างจำนวน 126 เชือก และสัตว์ต่าง ๆ โดยช่วยเคลื่อนย้ายไปสู่พื้นที่ปลอดภัย

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ ได้ส่งความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชนและข้าราชการตำรวจในพื้นที่ โดยมอบหมายให้ ผบช.ภ.5 ดูแลในเรื่องการให้ความช่วยเหลือ การอำนวยความสะดวกการจราจร และการจัดกำลังสายตรวจต่างๆ ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลัง และให้รายงานมายัง ศปก.ตร. ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการติดตามสถานการณ์อุทกภัย เพื่อผู้บังคับบัญชาจะได้สั่งการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

สงครามเงียบ ‘นายใหญ่’-‘ครูใหญ่’ ต่างฝ่ายต่าง 'ซ่อนดาบในรอยยิ้ม'

เบิร์ทเดย์ ครบ 66 ย่างปีที่ 67 ของเนวิน ชิดชอบ เมื่อ 4 ต.ค.2567 ยิ่งใหญ่อลังการตามรูปแบบฉบับของ ‘ครูใหญ่เนวิน’ และตระกูลชิดชอบ มีพิธีปะกำช้าง ผูกข้อมือเรียกขวัญโดยครูปะกำ..

ไฮไลต์ไม่ได้อยู่ที่การผูกข้อมือครูใหญ่ แต่อยู่ที่ครูใหญ่พูดเสียงดังขณะผูกข้อมือให้ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยว่า... “ผูกให้เป็นนายกฯ ผูกให้ยิ่งใหญ่ ผูกให้แข็งแรง..”

ข่าวงานวันเกิดก๊อปปี้เดียว แต่ถูกแพร่กระจายไปนับร้อยสำนักสื่อในชั่วพริบตา..ตามมาด้วยบทวิเคราะห์ โดยมีจุดร่วมคือ..วันนี้ครูใหญ่เนวินและพรรคสีน้ำเงิน รวมทั้งสว.สีน้ำเงิน คือขั้วอำนาจหรือ 'ดุลอำนาจ' ที่ทรงพลังยิ่ง ไม่แพ้ดุลอำนาจของอีกกลุ่มที่นำโดย ‘นายใหญ่’ ทักษิณ ชินวัตร..

ปี 2551 เนวิน แยกทางกับทักษิณ ชินวัตร พร้อมวลี “มันจบแล้วครับนาย”...พ.ศ.2566 -67 ทักษิณกลับบ้านพร้อมดีลลับ พรรคเนวิน 71 เสียงต้องยกมือพรึ่บหนุนเศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร แห่งพรรคเพื่อไทยที่มี ‘นายใหญ่’ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ..

ทั้งน.เนวินและน.หนู-อนุทิน ต่างเคยเป็นลูกน้องของนายใหญ่ แต่วันนี้ ‘อนุทิน’ ถึงเวลาสำแดงตัวตน แสดงวุฒิภาวะผู้นำภายใต้การสนับสนุนรัฐบาลแพทองธารด้วยท่วงทำนองแข็งแรง..จริงใจ ในขณะที่ครูใหญ่เนวินกำกับทั้งยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี...รักษาสมดุลอำนาจและพร้อมรุกฆาตทางการเมืองการเลือกตั้ง เพื่อตอบโจทย์..

ให้ ‘บิ๊กหนู’ เป็นนายกรัฐมนตรี จริง ๆ ไม่ใช่ 'นายกสมาคมคนเกลียมัว' ที่อนุทินพูดเล่นมุก..

ย้อนไปก่อนหน้านี้ไม่นาน..ปรากฏการณ์กรณีตั้งคำถามเรื่อง เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่หมายถึงคาสิโนแสนล้าน /กรณีสว.สีน้ำเงินพลิก 360 องศา แก้พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ (กรณีรัฐธรรมนูญ)ต้องใช้เสียงข้างมากสองชั้น ที่โดนใจชาวประชาฝั่งอนุรักษ์นิยม..ตลอดจนจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ประเด็นจริยธรรม..ฯลฯ

เป็นการสำแดงความเป็นตัวตนและจุดยืนของพรรคสีน้ำเงินที่ดูเหมือนจะพยายามเป็นหัวขบวนฝ่ายอนุรักษ์นิยมก้าวหน้า หัวใจสีน้ำเงิน ที่จากนี้ไปพรรคเพื่อไทยตลอดจน ‘นายใหญ่’ จะเริ่มอึดอัดมากขึ้นเป็นลำดับ...ขณะที่พรรคสีน้ำเงินเองก็รู้ว่าจะต้องโดนตอบโต้ในรูปแบบต่าง ๆ..

เพียงแต่ พ.ศ.นี้ทั้งสองฝ่ายไม่มีทางเลือก จะต้องประคับประคองต่อรองกันไป..จนกว่านายกฯอิ๊งค์จะไปต่อไม่ไหว หรือฉวยใช้จังหวะที่ได้เปรียบทางการเมืองยุบสภา..เพื่อจะเป็นนายกฯอีกรอบ

ในสนามการเมืองนอกจาก ‘ครูใหญ่เนวิน’ จะมีใครสักกี่คนที่ล่วงรู้ว่า เพลานี้ ‘นายใหญ่’ ที่หลบมุมหลบฉากสปอตไลต์นัยว่าเพื่อให้นายกฯอิ๊งค์เปล่งแสงได้เต็มที่นั้น กำลังจัดทัพปรับแถวสนามเลือกตั้งใหม่ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งเพื่อไทยได้เพียง 73 ที่นั่ง พลาดเป้าไปอย่างน้อย 30...เหตุผลหนึ่งเพราะพรรคสีน้ำเงิน 'ดูด' คนของพรรคเพื่อไทยไปจำนวนมาก แต่หลายคนสอบตก เช่น สนามศรีสะเกษ เป็นต้น ..และขณะนี้คนเหล่านั้นกำลังจะกลับบ้านมารับใช้ ‘นายใหญ่’..!!

ส่วนบนเวทีอำนาจนั้น ‘นายใหญ่’.. ‘ครูใหญ่’..ต่างฝ่ายต่างรู้...ใครกำลังเดินหมากเกมอย่างไร และต่างมีตัวแทนบนเวทีคือนายกฯกับรองนายกฯ... คือ ‘อิ๊งค์’ กับ ‘หนู’..ที่ดูเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ จะเริ่มเห็น 'ดาบในรอยยิ้ม' ของทั้งสอง..ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับแล้ว!?


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top