Tuesday, 18 February 2025
Hard News Team

ระดมทีม All-Star! เปิดลิสต์ผู้นำบริษัทเทคจีนร่วมโต๊ะหารือสีจิ้นผิง

เมื่อวันที่ (17 ก.พ. 68) ที่ผ่านมา สำนักข่าวซีซีทีวีของจีนเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำจีนได้จัดประชุมสัมมนานัดพิเศษ เพื่อเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภาคเอกชนของจีนที่ทำเนียบรัฐบาลจีนในกรุงปักกิ่ง  โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้พบปะกับผู้ประกอบการจากภาคเอกชนที่มีชื่อเสียงหลายราย

ที่น่าสนใจคือมีตัวแทนจากภาคธุรกิจสายเทคโนโลยีของจีนรายใหญ่หลายรีาย เข้าร่วมการหารือดังกล่าว อาทิ 

เหริน เจิ้งเฟย (Ren Zhengfei) – ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ หัวเว่ย (Huawei) ผู้นำระดับโลกด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยี 5G

หวัง ฉวนฝู (Wang Chuanfu) – ประธานและซีอีโอของ BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน

หลิว หยงห่าว (Liu Yonghao) – ผู้ก่อตั้งบริษัท New Hope ผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของจีน

อวี๋ เหรินหรง (Yu Renrong) – ผู้ก่อตั้งและประธานของ Will Semiconductor บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของจีน

หวัง ซิงซิง (Wang Xingxing) – ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Unitree Robotics ผู้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์

เล่ย จุน (Lei Jun) – ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Xiaomi บริษัทสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ IoT ชั้นนำ

นอกจากนี้  CMG สื่อท้องถิ่นจีนยังเผยให้เห็นผู้บริหารระดับสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตาเข้าร่วมประชุม เช่น

โพนี่ หม่า (Pony Ma) – ซีอีโอของ Tencent ยักษ์ใหญ่ด้านเกมและโซเชียลมีเดีย

แจ็ค หม่า (Jack Ma) – ผู้ก่อตั้ง Alibaba บริษัทอีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีระดับโลก

และรวมถึง เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) – ผู้ก่อตั้ง DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังมาแรงในเวลานี้ 

ไฮไลท์สำคัญของการประชุมนี้คือการปรากฏตัวของ ‘แจ็ค หม่า’ผู้ก่อตั้ง Alibaba ที่หายหน้าไปจากสื่อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะกลับมาในงานฉลองครบรอบ 20 ปี ของ Ant Group เมื่อปลายปี 2024 หลังจากหายไปนานถึง 4 ปี การที่เขามาพบ สี จิ้นผิง จึงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาลจีนที่เริ่มหันมาสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี

ในการกล่าวสุนทรพจน์ของ สี จิ้นผิง เขาเน้นถึงการขจัดอุปสรรคในการใช้ทรัพยากรอย่างเท่าเทียมและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม พร้อมทั้งยืนยันจะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจที่ประสบปัญหาในการเข้าถึงเงินทุน

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทเอกชนจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีเผชิญแรงกดดันจากการควบคุมของภาครัฐ ทำให้บรรยากาศในวงการเทคโนโลยีจีนเข้าสู่ยุคมืด มูลค่าหุ้นและผลประกอบการได้รับผลกระทบหนัก ส่งผลให้หลายซีอีโอถอยห่างจากสื่อ ซึ่งแจ็ค หม่าเป็นหนึ่งในนั้น

การที่รัฐบาลจีนเรียกบิ๊กเทคจีนเข้าพบครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณสำคัญของการผ่อนคลายมาตรการ และสะท้อนถึงการที่จีนกำลังมองเห็น AI และเทคโนโลยีเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการประชุมสัมมนาครั้งนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อภาคเอกชนของจีน โดยเน้นย้ำว่าธุรกิจเอกชนเป็นพลังสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ปัจจุบัน ภาคเอกชนจีนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยคิดเป็น 48.6% ของการค้าต่างประเทศ 56.5% ของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 59.6% ของรายได้ภาษี และมีส่วนในการสร้าง GDP มากกว่า 60% นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งคิดค้นนวัตกรรมกว่า 70% และสร้างการจ้างงานในเขตเมืองมากกว่า 80%

หลี่ หย่ง หัวหน้านักวิจัยจากสถาบัน D&C Think Tank ให้สัมภาษณ์กับ CGTN ว่าการคัดเลือกบริษัทเอกชนชั้นนำเข้าร่วมประชุมสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีนในการสนับสนุนเทคโนโลยีเอกชน โดยย้ำว่าการพัฒนาภาคเอกชนเป็นรากฐานของ "สังคมนิยมที่มีลักษณะจีน"

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่กล่าวถึงคือการปฏิเสธแนวคิด "เอกชนต้องถอยจากเศรษฐกิจ" (Exit Theory) พร้อมยืนยันว่าตำแหน่งของภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ โดยรัฐบาลจีนยังคงสนับสนุน และสภาพแวดล้อมการลงทุนจะยังคงเหมือนเดิม

ตามมติของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ออกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2024 จีนจะเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น AI เทคโนโลยีสารสนเทศรุ่นใหม่ การบินและอวกาศ พลังงานใหม่ วัสดุใหม่ อุปกรณ์ไฮเอนด์ และควอนตัมเทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

ผู้บัญชาการทหารเรือตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง

(18 ก.พ. 68) พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมผู้บังคับบัญชา และกำลังพลหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การต้อนรับ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาส ตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง โดยได้เข้าตรวจเยี่ยมเพื่อ รับทราบการปฏิบัติงาน ตลอดจนอุปสรรค ข้อเสนอแนะของหน่วย เพื่อให้มีความพร้อม และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้กับกองทัพเรือ ณ กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

โดย หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้จัดเตรียมแถวทหารกองเกียรติยศ ยุทโธปกรณ์ การนำเสนอภารกิจต่าง ๆ ของหน่วยที่ได้รับมอบหมาย และการสาธิตการช่วยเหลือคนในเขตเมืองของทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เพื่อแสดงถึงศักยภาพขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ 

#กองทัพเรือ
#เทิดทูนสถาบันป้องกันรัฐพัฒนาชาติราษฏร์ศรัทธา 
#MONARCHY_COUNTRY_GOVERNMENT_PEOPLE 
#หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
#จงรักภักดี_มีวินัย_พร้อมรับใช้ชาติ_ราชนาวี_และประชาชน
#ฝ่ายกิจการพลเรือนกองบัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง

ปราบพนันออนไลน์-คอลเซ็นเตอร์ไม่ยั้ง ทูตจีนแถลงขยายความร่วมมือยับยั้งอาชญากรรมข้ามชาติ

สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (18 ก.พ.68) ระบุว่า เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ได้หารือเชิงลึกกับฝ่ายไทยเกี่ยวกับความร่วมมือในการปราบปรามการพนันออนไลน์และอาชญากรรมฉ้อโกง แถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสถานทูตจีนระบุว่า

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเข้าพบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย และมีการติดต่อประสานงานกับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และหารือเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือในการปราบปรามการพนันออนไลน์และอาชญากรรมฉ้อโกงในเมืองเมียวดีและสถานที่อื่น ๆ รวมถึงการช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ติดอยู่ที่เมียวดี

เอกอัครราชทูตหานระบุว่า การเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรเมื่อไม่กี่วันก่อน ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ผู้นำทั้งสองประเทศแสดงความมุ่งมั่นในการปราบปรามการฉ้อโกง การพนันออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของทั้งสองประเทศดำเนินการอย่างรวดเร็วและบรรลุผลเบื้องต้น หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะให้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในขั้นต่อไป และทำงานร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างกลไกความร่วมมือ เร่งดำเนินการ และขจัดอาชญากรรมข้ามพรมแดนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทรัพย์สินและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างร้ายแรงให้หมดสิ้นไป

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขอบคุณฝ่ายจีนที่ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรอย่างอบอุ่น และกล่าวชื่นชมบทบาทสำคัญของการเยือนครั้งนี้ในการส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีนในทุก ๆ มิติ เน้นย้ำว่าไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกง และได้ดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพหลายประการ และยินดีที่จะเสริมสร้างความร่วมมือกับจีนต่อไปบนพื้นฐานของความร่วมมือที่ดีที่มีอยู่ และร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยสำหรับประชาชนของทุกประเทศในภูมิภาค”

ผบ.ตร.เยี่ยมบำรุงขวัญตำรวจทุ่งลุง สงขลา เน้นย้ำประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ เข้าถึงประชาชนสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธา

(18 ก.พ. 68) พล.ต.ต.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้บังคับการกองสารนิเทศ เปิดเผยว่า วานนี้ เวลา 16.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจ สภ.ทุ่งลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธเรศ แก้วละเอียด รอง ผบช.ภ.9/รอง ผบ.ศปก.ตร.สน. , พล.ต.ต.สาธิต พลพินิจ รอง ผบช ภ.9 และ พ.ต.อ.เอกชัย พราหมณกุล หน.อกส.ศปก.ตร.สน. โดยมี พ.ต.อ.วีระศักดิ์ เดชประมวลพล ผกก.สภ.ทุ่งลุง และข้าราชการตำรวจในสังกัด สภ.ทุ่งลุง ให้การต้อนรับ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำ สภ.ทุ่งลุง และมอบนโยบายการปฏิบัติราชการแก่กำลังพล เน้นย้ำปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมกำชับการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม บำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้กับประชาชน และต้องปฏิบัติด้วยความถูกต้องรอบคอบ เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด  อีกทั้งยังต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ทุกมิติของการปฏิบัติงาน รวมทั้งให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นดูแลทุกข์สุขและสวัสดิการของผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี และเหมาะสม

พร้อมกันนี้ขอให้ตำรวจทุกนายปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ เข้าถึงประชาชน ปรับปรุงการให้บริการ การอำนวยความสะดวกในหน้าที่ของตำรวจทุกด้าน พัฒนางานสถานีตำรวจ สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธา และขอให้สามัคคี ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชนและสังคมโดยรวม

นอกจากนี้ ผู้บังคับการกองสารนิเทศ กล่าวว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญผู้ใต้บังคับบัญชาในหน่วยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อกำชับการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นขวัญกำลังใจแก่กำลังพล ตามนโยบายการบริหารราชการที่ให้ไว้ เน้นย้ำการเปลี่ยนแนวคิด (MINDSET) ปรับองค์กร เร่งปราบปรามอาชญากรรม เพิ่มขีดความสามารถสถานีตำรวจ ดูแลสวัสดิการตำรวจและครอบครัว สร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กับพี่น้องประชาชน

มหันตภัย...บุหรี่ไฟฟ้า #2 ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มีสารที่เป็นพิษ ส่งผลทำให้เสพติด และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

(18 ก.พ. 68) บทความ “E-cigarettes contain hazardous substances, addictive and harmful” โดย ดร. Jos Vandelaer ผู้แทนองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำประเทศไทย ได้สรุปถึงพิษภัยของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เอาไว้ดังนี้

ข้อเท็จจริง 5 ประการของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’
1. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่ปลอดภัย! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ยังคงเป็นบุหรี่ แม้ว่า ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่มีส่วนผสมของยาสูบ แต่ยังมีนิโคตินและสารเคมี สารเติมแต่ง และสารปรุงแต่งรสต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเป็นสารเคมีชนิดใดบ้าง และเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า สารเคมีชนิดต่าง ๆ เหล่านั้น มีผลต่อสุขภาพในระยะยาวหรือไม่ แต่ผู้คนจำนวนหนึ่งกลับสูดดมเข้าไป ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อาจดูไม่เป็นอันตราย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เมื่อเราใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เราได้สูดดมไอระเหยที่มีพิษ เป็นไอระเหยที่มีอนุภาคและสารเคมีที่เข้าสู่ทางเดินหายใจที่เล็กที่สุด และร่างกายสามารถดูดซึมเข้าไปได้ สารเคมี สารเติมแต่ง และนิโคตินนั้นล้วนแต่เป็นพิษและเป็นอันตราย ไม่เพียงแต่สำหรับผู้สูบบุหรี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้อื่นด้วย เนื่องจากพวกเขาสามารถสูดดมไอระเหยได้เช่นกัน เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่มือสอง 

ตัวอย่าง : ในสหรัฐอเมริกา มีหลักฐานที่บันทึกไว้ว่าเกิดการระบาดของอาการป่วยที่ปอดและการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการสูบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) ยืนยันกรณีการบาดเจ็บที่ปอดที่เกี่ยวข้องกับการใช้บุหรี่ไฟฟ้าหรือการใช้บุหรี่ไฟฟ้า (EVALI) จำนวน 2,807 กรณี และเสียชีวิตจากภาวะดังกล่าว 68 ราย

2. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มีนิโคติน นิโคตินเป็นสารหลักในบุหรี่ทั่วไปและ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ และเป็นสารที่เสพติดได้ง่าย ทำให้อยากสูบบุหรี่และทำให้มีอาการหงุดหงิดหากเพิกเฉยต่อความอยาก นิโคตินเป็นสารพิษ ซึ่งจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและร่างกายหลั่งอะดรีนาลีนทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการหัวใจวาย การบริโภคนิโคตินในเด็กและวัยรุ่นมีผลกระทบสำคัญต่อการพัฒนาสมองและอาจนำไปสู่ความผิดปกติของการเรียนรู้และความวิตกกังวล อย่างไรก็ตาม เด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะของอุตสาหกรรม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ การได้รับนิโคตินในหญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อการพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ได้เช่นเดียวกัน นิโคตินยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้อีกด้วย ดังนั้น นิโคตินจึงไม่เพียงแต่ทำให้เสพติดเท่านั้น แต่ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอีกด้วย และนิโคตินเป็นส่วนประกอบหลักของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’

3. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ทำให้เสพติดได้เช่นเดียวกับบุหรี่ยาสูบแบบดั้งเดิม เนื่องจากทั้ง ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ และบุหรี่ยาสูบต่างก็มีนิโคติน บุหรี่ทั้งสองชนิดจึงทำให้ผู้สูบเสพติดได้ ดังนั้น การใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เพื่อเลิกบุหรี่ยาสูบ จึงไม่ใช่ความคิดที่ดี เนื่องจากบุหรี่ทั้งสองชนิดมีสารเติมแต่งชนิดเดียวกัน คือ นิโคติน ผู้สูบบุหรี่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีในการรับสารที่มีพิษแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น และดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ จึงไม่ใช่ทางเลือกในการเลิกบุหรี่ยาสูบที่ปลอดภัย แคมเปญต่อต้านบุหรี่ประสบความสำเร็จค่อนข้างมากในการโน้มน้าวให้ผู้คนเลิกบุหรี่ แต่ปัจจุบัน ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ มักได้รับการโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ "ลดความเสี่ยง" "ปลอดบุหรี่" และ "เป็นที่ยอมรับในสังคม" โดยใช้ความรู้สึกในลักษณะ "เท่" ทำการตลาด แต่ความเป็นจริงแล้ว ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไม่ได้ "เท่" แต่อย่างใด เพราะยังคงทำให้เสพติดได้ ไม่ดีต่อสุขภาพ และทำให้เกิดการสูบบุหรี่มือสอง ด้วยกลยุทธ์ส่งเสริมการขายเหล่านี้มีศักยภาพที่จะทำให้การสูบบุหรี่เป็นเรื่องปกติอีกครั้ง และกระตุ้นให้ผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินที่ทำให้เสพติดได้ในระยะยาว

4. คนรุ่นใหม่กำลังติด ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อุตสาหกรรม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ได้เปิดตัวแคมเปญการตลาดที่เข้มข้นมูลค่าหลายล้านเหรียญสหรัฐ โดยเน้นที่โซเชียลมีเดีย คอนเสิร์ต และงานกีฬาเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาสูบบุหรี่ที่อันตราย โปรดอย่าลืมว่า ยาสูบคร่าชีวิตผู้คนไป 8 ล้านคนต่อปีทั่วโลก สื่อต่าง ๆ สามารถช่วยเปิดโปงกลวิธีเหล่านี้ได้ กลวิธีที่พยายามทำให้คนเข้าใจผิด โดยเฉพาะเยาวชน และพยายามโน้มน้าวพวกเขาว่า หากต้องการ “เท่” ก็ต้องสูบ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เช่นเดียวกับที่อุตสาหกรรมยาสูบทำเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน สื่อสามารถช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับสาธารณชนเกี่ยวกับอันตรายของ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ได้ จากการสำรวจสุขภาพนักเรียนในโรงเรียนทั่วโลกในประเทศไทย พบว่าการใช้ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ในหมู่เด็กนักเรียนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จาก 3.3% ในปี 2015 เป็น 8.1% ในปี 2021 โดยเป็นในกลุ่มเด็กอายุ 13 - 15 ปี! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ เป็นภัยคุกคามต่อความพยายามควบคุมยาสูบของประเทศไทย และสามารถพลิกกลับความสำเร็จที่ได้รับจากการควบคุมยาสูบมาหลายทศวรรษ ไม่เพียงแต่เด็กที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะติดนิโคตินเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าในอนาคตอีกด้วย

5. ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ต้องได้รับการควบคุม ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าถูกห้ามจำหน่ายในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศไทย ในประเทศอื่นๆ บุหรี่ไฟฟ้าถูกควบคุมในฐานะสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์ยา ผลิตภัณฑ์ยาสูบ หรือสินค้าประเภทอื่นๆ หรือไม่ได้รับการควบคุมเลย ในขณะเดียวกัน สังคมไทยต้องติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการขายออนไลน์และช่องทางจำหน่ายอื่น ๆ และต้องเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อตอกย้ำว่า มีกฎหมายอยู่จริง การผ่อนปรนไม่ได้ช่วยให้การห้าม ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ไปได้ถึงไหน

องค์การอนามัยโลกสนับสนุนความพยายามของประเทศไทยในการห้ามนำเข้าหรือจำหน่าย ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อย่างแข็งขัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของประเทศไทยที่จะปกป้องประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะเยาวชนจากอันตรายของการใช้ยาสูบ ตลอดจนปฏิบัติตามพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก และองค์การอนามัยโลกยังคงมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อความพยายามของประเทศไทยในการยับยั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภท และปกป้องคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตจากการใช้ยาสูบและโรคไม่ติดต่ออื่น ๆ

ร่วมเป็น 1 เสียง ปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมลงชื่อที่ https://shorturl.at/ADMRJ

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ จัดพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรทหารใหม่ ภาคสาธารณศึกษา ผลัดที่ 4/67 มุ่งหวังสร้างทหารกองประจำการที่มีคุณค่าต่อประเทศชาติ และกองทัพเรือ

น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตรทหารใหม่ฯ โดยมีคณะผู้บังคับบัญชา , ข้าราชการ , ครูฝึก และครูหมวดวิชา เข้าร่วมพิธี ณ ลานสวนสนาม ศฝท.ยศ.ทร. ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

กองทัพเรือ โดยกรมยุทธศึกษาทหารเรือ มอบหมายให้ ศฝท.ยศ.ทร. รับการรายตัวทหารใหม่ ผลัดที่ 4/67  ระหว่างวันที่ 1 - 2 ก.พ.68  เพื่อเข้าสู่การฝึกอบรมฯ เป็นเวลาทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ นั้น บัดนี้ทหารใหม่ จำนวน 2,894 นาย ผ่านขั้นตอนทางธุรการ การคัดกรองสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ เรียบร้อยแล้ว มีความพร้อมในการรับการฝึกอบรมฯ เพื่อหล่อหลอมให้เป็นทหารกองประจำการที่เป็น “สุภาพบุรุษทหารเรือ” ที่เข้มแข็ง องอาจ ก่อนเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของกองทัพเรือ โดยมีหัวข้อการฝึก ประกอบด้วย
- การฝึกบุคคลท่ามือเปล่า และบุคคลท่าอาวุธ
- การฝึกสวนสนาม
- การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
- การอบรมวิชาการเรือ , วิชาการอาวุธ , วิชาข้อบังคับ , วิชาสังคมและมนุษยศาสตร์ และการป้องกันความเสียหาย

โอกาสนี้ ผบ.ศฝท.ยศ.ทร. ได้มอบธงอันเป็นสัญลักษณ์ประจำหลักสูตร และให้โอวาทเพื่อเป็นแนวทางในการฝึกอบรมฯ ความว่า “...การที่ท่านได้เข้ามารับราชการทหารเรือ นั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ของลูกผู้ชาย ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ประการหนึ่งแล้ว ยังถือว่าท่านเป็นผู้ที่มีความเสียสละอย่างยิ่ง ที่ต้องห่างจากบ้าน และครอบครัวอันเป็นที่รัก เพื่อมารับใช้ประเทศชาติ ในห้วงการฝึกหลักสูตรทหารใหม่ ภาคสาธารณศึกษา 2 เดือนนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับสถานะ จากพลเรือนให้เป็นทหารเรือ ที่เข้มแข็ง องอาจ สง่างาม มีเกียรติ และศักดิ์ศรี มีความพร้อมที่การปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ตลอดระยะเวลาการฝึกจะมีความเข้มงวด จริงจัง แต่จะอยู่ภายใต้กรอบของความเมตตา ความปรารถนาดี โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย  ดังนั้นจึงขอให้ท่านอุทิศตน อดทน ตั้งใจฝึกหัดศึกษาหาความรู้ ในส่วนของครูที่ทำหน้าที่ฝึก ก็จะเป็นผู้ที่สร้างความเชื่อมั่นดูแลทุกท่านด้วยความมุ่งมั่นเเละตั้งใจเป็นอย่างดี ดังนั้น ขอให้ทุกท่านแจ้งกับครอบครัวได้เลยว่า ไม่ต้องห่วงกังวล ตราบใดที่ท่านอยู่ในรั้วของ “ศูนย์ฝึกทหารใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง” และเราจะดูแลท่านอย่างดีที่สุด ผมขอยืนยันว่า ศูนย์ฝึกทหารใหม่ จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ เเละคุ้มค่ามากที่สุด เพื่อสร้างทหารกองประจำการ ผลัดที่ 4/67 ที่มีคุณค่าต่อประเทศชาติ และกองทัพเรือ"

ทั้งนี้การฝึกฯ ของ ศฝท.ยศ.ทร. มีการเตรียมพร้อมทั้งครูฝึก สิ่งอำนวยความสะดวก และมาตรการด้านต่างๆ โดยอยู่ภายใต้กรอบความปลอดภัยสูงสุด เป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือที่กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ 'Navy-Safety 2025'

พยาบาลสาวถูกญาติคนไข้ตบ ยัน ไม่ยอมความจะเอาเรื่องถึงที่สุด หลังผู้ก่อเหตุเย้ยบนโรงพัก “พลาดที่ทำในเวลาทำการ”

(18 ก.พ.68) เพจ ‘ชมรมพนักงานกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดระยอง’ โพสต์กรณี พยาบาลถูกญาติคนไข้ทำร้าย โดยโพสต์แรกเป็นข้อความระบุว่า ญาติคนไข้ตบพยาบาลศูนย์ แต่ฝ่ายกฎหมายของโรงพยาบาลกลับพยายามไกล่เกลี่ย และไม่ให้วงจรปิด เพื่อที่จะเป็นหลักฐานดำเนินคดี จริงหรือไม่ ความปลอดภัยของบุคลากรอยู่ที่ใด

โพสต์ต่อมา ระบุว่า เหตุบุคลากรของโรงพยาบาลในจังหวัดระยอง ถูกญาติคนไข้ทำร้ายร่างกาย ด้วยการตบหน้า เพราะไม่พอใจที่ถูกเตือน ถือเป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรง และไม่ควรจะเกิด ทางชมรมจึงขอประณามการกระทำดังกล่าว และขอให้สำนักงานข่าวช่วยให้ความเป็นธรรม กับบุคลากรรายนี้ด้วย เพราะทราบมาว่า หน่วยงานต้นสังกัด ไม่ให้ความร่วมมือในการเอาผิดกับผู้ก่อเหตุ

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ว่า เหตุที่เกิดขึ้น เพราะพยาบาลให้คำแนะนำว่า ไม่ควรเอาเด็กเข้ามา ภรรยาออกไปบอกสามี สามีเดินเข้ามาเคาน์เตอร์ ทำการตบเจ้าหน้าที่ มีกฎหมายไม่ยอมความมากกว่านี้ไหม ขอทนายด่วน ช่วยแชร์หน่อยค่ำ

ต่อมา โพสต์ที่ 3 ระบุว่า เหตุทำร้ายร่างกายตบหน้าพยาบาล ฝ่ายกฎหมายโรงพยาบาลได้มอบคลิปหลักฐานถึงมือตำรวจแล้ว พบว่า ตบไปถึงสองครั้ง จนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ผู้ก่อเหตุกล่าวทิ้งท้ายเป็นนัยยะว่า "พลาดที่ทำในเวลาทำการ" ส่วนกระแสข่าวว่าทางโรงพยาบาล ไม่อยากให้ผู้เสียหายเอาความนั้น ไม่เป็นความจริง ทางผู้อำนวยการยืนยันเอาเรื่องถึงที่สุด

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายดังกล่าว ได้โพสต์ “ขอบคุณทุกคนค่ะ รพ. เจ้าหน้าที่ รพ. พลังโซเชียล ทางครอบครัวขอไปต่อค่ะ ดำเนินคดีโดยนิติกร รพ.และท่าน ผอ.ก็ช่วยค่ะ ไม่ยอมความและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด”

“กรณีโดนญาติคนไข้ตบหน้า ขอทนายฝีมือเก่งๆหน่อยค่ะ เหตุเพราะให้คำแนะนำว่าไม่ควรเอาเด็กเข้ามา ภรรยาออกไปบอกสามี สามีเดินเข้ามาเคาน์เตอร์ทำการตบเจ้าหน้าที่ มีกฎหมายไม่ยอมความมากกว่านี้ไหม ขอทนายด่วน ช่วยแชร์หน่อยค่ะ ณ สถานีตำรวจทิ้งท้ายที่ว่า พลาดที่ทำในเวลาทำการ ประโยคแบบนี้คือการข่มขู่ไหมคะ จะเอาให้ถึงที่สุดดดด คลิปถึงสถานีตำรวจหล่ะค่ะ

ขอบคุณทุกคนค่ะ รพ เจ้าหน้าที่รพ. พลังโซเชียล ทางครอบครัวขอไปต่อค่ะ ดำเนินคดีโดยนิติกร รพ.และท่าน ผอ.ก็ช่วยค่ะ ไม่ยอมความและดำเนินคดีให้ถึงที่สุด”

ขณะที่เพจ Drama-addict ได้โพสต์ข้อความที่ระบุว่า เป็นฝั่งญาติคนไข้ ที่ออกมาชี้แจงว่า ครอบครัวมีกัน 6 คน พ่อ แม่ ลูก 3 คน และคุณยาย น้องทั้ง 3 คนไปโรงเรียนและติดไข้หวัดสายพันธุ์ A กันมาแล้ว โดยคุณยายเป็นคนดูแลน้องเลยติดไข้มา เช้าวันเสาร์คุณยายมีอาการไข้ พาไปหาหมอโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ได้ยากลับมากิน เช้าวันอาทิตย์ มีอาการช็อกหายใจไม่ออก เลยส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน โรงพยาบาลเลยส่งต่อมาโรงพยาบาลใหญ่ เพราะไวรัสลงปอดทั้งสองข้างแล้ว มันเร็วมากจนตั้งตัวไม่ติด

ช่วงบ่ายคุณหมอโทรมาบอกว่า คุณแม่อาการหนัก ให้สแตนด์บายรอที่ รพ. ลูกสาวเลยโทรบอกสามีให้มาอยู่ด้วย ก็ต้องเอาลูกมาด้วยอยู่แล้ว เพราะไม่มีคนเลี้ยง พอถึงเวลาเข้าเยี่ยม สามีก็เลยพาหลานรักยายเข้า 1 คน เผื่อถ้าคุณยายเห็นจะได้มีกำลังใจสู้ เจอพี่พยาบาลคนที่ 1 เค้าก็พูดจาน่ารัก บอกเด็กเข้ามาอันตรายนะคะ พ่อเค้าเลยบอกว่า ยายติดจากเด็กครับ เด็กเพิ่งหาย มาให้ยายเห็นหน้าหน่อย ยายจะได้สู้ ๆ พี่พยาบาลคนเดิมบอกว่า ได้ ๆ แต่คนไข้เช็ดตัวอยู่ ค่อยเข้ามาใหม่นะ ก็เดินออกไปจากห้อง

รอบใหม่ ลูกสาวบอกเดี๋ยวพาน้องไปดูแม่เอง (เพราะสามีต้องเฝ้าลูกอีก 2 คน ที่ต้องหอบมาด้วย) ลูกสาวก็พาน้องเข้าไป พยาบาลที่เช็ดตัวยายอยู่ เดินออกมาจากห้อง ปิดประตูดัง ดึงแมสลงจากปาก ชักสีหน้าแล้วพูดเสียงดังแบบตะคอก ว่า สูญเสียแม่อีกคนยังไม่พอ อยากจะสูญเสียลูกอีกคน ยอมรับได้ใช้ไหม พาเด็กออกไปเดี๋ยวนี้

ลูกสาวก็ตกใจ พูดแต่ว่า โอเคได้ค่ะ แล้วเดินออกไป ยังไม่ทันได้ดูแม่เลย พอออกไปข้างนอก ก็บอกสามีว่า เธอเข้าไปดูแม่คนเดียวเลย เดี๋ยวพาลูกลงไปรอข้างล่าง โดนพี่เค้าว่ามา แล้วลูกก็เล่าพ่อเค้าว่า ปาป๊า พยาบาลด่าหนู แล้วพี่เค้าก็ไม่ขอโทษหนูเลย เค้าตะคอกใส่หนู พร้อมพ่อถามด่าเรื่องอะไรลูก เมียเลยเล่า แล้วร้องไห้หนักมาก ไม่ได้ร้องไห้เพราะโดนด่ามา แต่งงว่า สรุปแม่ตายแล้วเหรอ คือแม่จะไม่รอดเหรอ มันรวดเร็วไปหมดในความรู้สึกนั้นมาก สามีเค้าเลยโมโห แต่เข้าไปแล้วดูแม่ยาย ก็พยายามอดทนคำพูดที่ได้ยินมา แต่ไม่ไหวจริง ๆ เลยถามเมื่อกี้ใครด่าลูกเมียผม และตบที่หน้าไป 2 ครั้ง ก็สอนไปว่าเวลาพูดกับใครก็ให้รู้จักให้เกียรติคนไข้และญาติคนไข้บ้าง ทำร้ายความรู้สึกกันทำไม คุณเป็นพยาบาล ไม่มีจรรยาบรรณบ้างเหรอ แล้วก็เดินมาบอกเมียว่า เดี๋ยวรอพบตำรวจ และก็ยอมรับกับตำรวจว่า ทำจริงครับ ผมบันดาลโทสะ ไปจริง ๆ ทางครอบครัวเราไม่ได้สนับสนุนความรุนแรง และยอมรับว่าทำจริง จากการบันดาลโทสะ และถ้าทางคู่กรณีจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดก็ยินดีน้อมรับ

ทีมข่าวสอบถามไปที่ผู้โพสต์ ซึ่งเป็นญาติของพยาบาลที่ถูกทำร้าย โดยการคุยทาง Inbox บอกว่า ได้นำคลิปไปยื่นที่สถานีตำรวจแล้ว และตอนที่ถูกทำร้าย รุนแรงจนเซ ญาติคนอื่นเห็น คนไข้ที่นอนใส่ท่อเห็น ส่วนน้องสาว หลังถูกทำร้ายก็ยังมีอาการปวดกกหู เวียนหัวไม่หาย รวมถึงปวดที่ต้นคอด้วย ยืนยันว่าจะเอาเรื่องผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด หาก รพ.พร้อม พวกหนูก็พร้อม กลัวเรื่องจะเงียบ และกลัวว่าน้องจะถูกรังแกอีก

(สุรินทร์) กกล.สุรนารี ทำหนังสือเตือนทหารฝ่ายกัมพูชา ฉบับที่ 2 หลังมีเหตุการณ์ ผบ.พลน้อย.ร.42นำคณะแม่บ้าน จำนวน 25 คน ขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม พร้อมร่วมร้องเพลงปลุกใจชาติ

พลตรีสมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ลงพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือน โดยตรวจเข้มบริเวณโดยรอบตัวปราสาท พร้อมย้ำกำลังพลในพื้นที่ ห้ามมิให้เกิดเหตุการณ์ เช่น เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ที่มีทหารชาวกัมพูชาพาคณะแม่บ้าน จำนวนกว่า 25 คน ขึ้นมาเยี่ยมชมตัวปราสาทตาเมือน แล้วร่วมกันร้องเพลงชาติ หรือเพลงปลุกใจของชาวกัมพูชา ใดๆ ทั้งสิ้น 

โดยกองกำลังสุรนารีเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการทำหนังสือประท้วงการกระทำที่ไม่เหมาะสมไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหาร ที่ 4 ประเทศกัมพูชา และถือว่าเป็นหนังสือประท้วงถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นฉบับที่ 2 เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์คล้ายลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 โดยทางกองทัพก็ได้ทำหนังสือประท้วงไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหาร ที่ 4 ประเทศกัมพูชา แล้วครั้งที่ 1 และนี้ถือว่าเป็นเหตุการณ์เดิมๆ เป็นครั้งที่ 2

โดยหนังสือประท้วงมีเนื้อหาดังนี้ “ด้วยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 กองกำลังสุรนารี ได้ตรวจพบว่ามีประชาชน ทหารกัมพูชา ทำการรวมกลุ่มยืนร้องเพลงบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้เข้าห้ามปรามไม่ให้กระทำในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงเดิม ที่ทั้งสองฝ่ายได้กำหนดถึงการปฏิบัติของทั้งสองฝ่ายในการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม “กองกำลังสุรนารี จึงขอแสดงความไม่สบายใจต่อการกระทำของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ ซึ่งอาจกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีในระดับพื้นที่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงขึ้นในอนาคต 

จึงขอให้ท่านแจ้งเจ้าหน้าที่ ให้ชี้แจงถึงการปฏิบัติในการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ให้กับประชาชน หรือนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังปราสาทตาเมือนธม ไม่ให้กระทำการในลักษณะดังกล่าวอีก ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงความจริงใจ และความพยายามในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ทั้งเป็นการรักษาความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศต่อไป 

ทั้งนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ยังได้กล่าวถึงกรณีมีชาวกัมพูชาจำนวนหนึ่งขึ้นไปร้องเพลงปลุกใจ บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ว่า จริงๆ พื้นที่ตรงนี้อยู่ในประเทศไทย แต่ยังมีเส้นที่ยังแบ่งกันไม่ชัดเจน ยังเป็นเรื่องค้างคาอยู่ ซึ่งเราก็เปิดให้ฝ่ายกัมพูชา ประชาชนขึ้นไปสักการะสิ่งต่างๆ ได้เป็นปกติ แต่การขึ้นไปร้องเพลง หรือแสดงเชิงสัญลักษณ์แบบนี้ เราไม่สบายใจ ทางผู้บัญชาการทหารที่เกี่ยวข้องทำเรื่องประท้วงไปแล้ว
โดยล่าสุดสถานการณ์ในพื้นที่โดยรอบบริเวณปราสาทตาเมือนธม ยังคงมีการเฝ้าระวังของทหารทั้งสองฝ่าย โดยล่าสุดจะมีการหารือพูดคุยระหว่างผู้นำทหารทั้งสองฝ่ายอีกครั้งในเร็วๆนี้
 

สตูล ผู้บังคับบัญชาห่วงใยหน่วยที่ห่างไกล สร้างขวัญและกำลังใจได้เดินทางไปเยี่ยมเยือน

(17 ก.พ. 68) ที่ผ่านมา นาวาเอก จรัญ  ดิศอรุณ ผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 พร้อมด้วยนาวาเอก รุ่งโรจน์ อินตรา รองผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 (1) นาวาเอก ชุติกร วงศ์ปรีดี รองผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 (2)และนาวาโท น้ำน่าน บุนนาค เสนาธิการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 เดินทางมาตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ หน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 ได้ตรวจเยี่ยมสถานีเรดาร์ตรวจการณ์ทางทะเลเกาะปูยู ตำบลเกาะปูยู อำเภอเมือง จังหวัดสตูล โดยมี นาวาโท ธนภูมิ ประทีป ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 ,พร้อมด้วย เรือโท สุโภชน์ ทองย้อย รองผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศและรักษาฝั่งที่ 452 และกำลังพล ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปการปฏิบัติภารกิจของหน่วย พร้อมทั้งนำตรวจอาคารสถานที่ภายในหน่วย ในการนี้ผู้บังคับการกรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 ได้กล่าวโอวาทและมอบนโยบายแก่กำลังพลถึงแนวทางการปฏิบัติเพื่อให้การปฏิบัติสัมฤทธิ์ผลบรรลุตามวัตถุประสงค์ของหน่วยเหนือและกองทัพเรือ หลังจากนั้นได้เดินตรวจแถวทักทายกำลังพลสอบถามความเป็นอยู่ด้วยความห่วงใยใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่กำลังพลทั้งขอขอบคุณกำลังพลที่ได้ตั้งใจปฏิบัติงานและในการต้อนรับ พร้อมทั้งรับทราบอุปสรรคข้อขัดข้องเพื่อแก้ไขต่อไป

นิตยา  แสงมณี  //  ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

'ดร.เฉลิมชัย รมว.ทส.' มอบสมุดที่ดินทำกินป่าสงวนแห่งชาติ ใน 5 อำเภอ จ.ปัตตานี

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เดินทางไปโรงเรียนดรุณศาสน์วิทยา อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับสิทธิที่ดินทำกินในป่าสงวนแห่งชาติ ลุ่มน้ำชั้น 1 และ 2 ให้ประชาชน 454 ราย รวมพื้นที่ 2,300 ไร่  ได้อยู่อาศัยทำกินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ครอบคลุม 5 อำเภอ ในจังหวัดปัตตานี (สายบุรี  โคกโพธิ์ อำเภอทุ่งยางแดง ยะรัง อำเภอกะพ้อ)

โดยมี นายยูนัยดี วาบา สส.ปัตตานี พลตำรวจตรี สุรินทร์ ปาลาเร่ สส.สงขลา  นาวาตรี สุธรรม ระหงษ์  เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม   เเละรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ และผู้บริหารกรมป่าไม้ ร่วมเดินทางไปด้วย

ดร.เฉลิมชัย ย้ำถึงความสำคัญของการเร่งรัดกระบวนการช่วยเหลือที่ดินทำกินเพื่อความเป็นธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

“ที่ดินทำกินเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับประชาชน กระทรวงทรัพยากรฯ จึงมุ่งมั่นในการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนให้เร็วที่สุด ผมมอบนโยบายให้กรมป่าไม้เร่งดำเนินการ เพราะความล่าช้าคือความอยุติธรรมอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราจะช่วยเหลือประชาชนได้ ก็คือทำให้เร็วขึ้นให้ถึงมือประชาชนมากที่สุดและเร็วที่สุด เพราะที่ดินทำกินจะเป็นขวัญและกำลังใจที่ดีให้กับประชาชน” ดร.เฉลิมชัย กล่าว

ดร.เฉลิมชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อที่ดินถูกต้องตามกฎหมายแล้ว หน่วยงานต่างๆ จะสามารถเข้าไปพัฒนาสาธารณูปโภคได้ ทำให้พี่น้องประชาชน ได้มีถนน ไฟฟ้า และมีน้ำประปาใช้ ซึ่งส่งผลให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

ในโอกาสนี้ กรมป่าไม้ยังแจกจ่ายกล้าไม้มีค่าให้ประชาชนปลูกเพิ่มพื้นที่สีเขียวและช่วยฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่ต้นน้ำ โดยขอความร่วมมือประชาชนร่วมดูแลรักษาป่าไม่ให้ถูกบุกรุก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top